นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1237 หมู่บ้านเซี่ยซาน
ตอนที่ 1237 หมู่บ้านเซี่ยซาน
“พี่ชาย โปรดช้าก่อน ! ”
เยี่ยนซีเหวินแผดเสียงเรียกมาแต่ไกล หลี่เอ้อร์หนิวชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองทางต้นเสียง
ฟังสำเนียงก็พอรู้ว่าพวกเขามาจากต่างถิ่น แต่ก่อนเคยมีคนต่างถิ่นเข้ามาที่หมู่บ้านบ้างประปราย พวกเขาได้เอ่ยวาจาสวยหรูมากมาย ทว่าท้ายที่สุดก็หนีหายมิได้ยินข่าวคราว
ทว่าคนเหล่านี้มิเคยโกหกพวกเขา หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะชาวบ้านที่นี่ยากจนข้นแค้น จึงมิมีอันใดให้พวกเขาหลอกได้
มิรู้ว่าคนพวกนี้มาทำอันใด ?
แต่จะว่าไปแล้วคนพวกนี้ก็เก่งเอาการ ภูเขาสูงใหญ่และเส้นทางทรหดถึงเพียงนั้น มองเพียงปราดเดียวก็พอรู้ว่ามิใช่พวกสมบุกสมบันทว่าก็เดินทางข้ามภูเขาได้สำเร็จ
หลี่เอ้อร์หนิวส่ายศีรษะพลางครุ่นคิดว่าคนพวกนี้คงเป็นพวกที่ทำตัวน่าเบื่อหน่ายเป็นแน่
เยี่ยนซีเหวินเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่เอ้อร์หนิว จากนั้นเขาก็ประคองสองมือคารวะ “มิทราบว่าพี่ชายมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
คนพวกนี้เป็นพวกมีการศึกษาอย่างที่คิดไว้มิผิดเพี้ยน รู้จักถามชื่อเสียงเรียงนามอย่างมีมารยาท
“เรียกข้าว่าหลี่เอ้อร์หนิวก็พอ พวกเจ้า…” หลี่เอ้อร์หนิวเงยหน้ามองท้องนภา สุริยาได้คล้อยต่ำอยู่หลังภูเขา อีกมิถึง 2 เค่อ ท้องนภาก็จะมืดสนิท
“พวกเจ้ามายังสถานที่แร้นแค้นเพื่ออันใดกัน ? ราตรีนี้เกรงว่าจะกลับออกไปมิได้แล้วสิ ! อย่าได้เดินทางยามมืดค่ำเชียว ที่นี่มีหมีดำ อีกทั้งยังมีหมาป่าอีกด้วย… พวกเจ้าเป็นแขกเดินทางมาไกลเเท้ ๆ มิใช่ว่าพวกเรามิต้อนรับพวกเจ้าหรอกนะ แต่เป็นเพราะมิมีอันใดมาต้อนรับพวกเจ้าต่างหากล่ะ”
เยี่ยนซีเหวินรีบตอบว่า “ถ้าหากพี่หลี่จะสามารถให้ที่กำบังลมได้ก็จะดียิ่ง พวกเราแบกของพักแรมมา ข้างในนั้นมีของสำหรับทำอาหารและก็มีฝ้ายสำหรับรองนอน”
เมื่อหลี่เอ้อร์หนิวได้ยินดังนั้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้น พวกคนรวยนี่ใช้ชีวิตแตกต่างไปจริง ๆ หรือว่าพวกเขาจะออกเที่ยวยามวสันตฤดูกัน ?
“ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีนามว่าหมู่บ้านเซี่ยซาน ส่วนข้าเป็นผู้นำหมู่บ้านของหมู่บ้านเซี่ยซาน หมู่บ้านเรามีชาวบ้านทั้งสิ้น 72 คน แต่ละคนมีสภาพหิวโซจนสายตาพร่ามัว”
“พวกเจ้าจะมาค้างคืนที่นี่ก็ย่อมได้ แต่จงพึงระวังอย่านำเอาทรัพย์สินออกมาเปิดเผยต่อผู้คนภายนอกล่ะ เพราะข้ามิอาจรับประกันได้ว่าจะมิมีชาวบ้านที่หิวโหยเข้ามาลักขโมยทรัพย์สินของพวกเจ้าในยามราตรี ! ”
“พื้นที่ป่าเขาเช่นนี้ ถ้าหากพวกเขาเห็นทรัพย์สินเงินทองของพวกเจ้าเมื่อใด พวกเจ้าก็จงซ่อนเอาไว้ให้มิด ถ้าหากว่าทำหล่นหาย ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าจะมิเหลือแม้แต่โครงกระดูกกลับไป และต่อให้ครอบครัวของเจ้าแจ้งความกับทางการ พวกทางการมิมีทางถ่อมาถึงพื้นที่ยากจนทุรกันดารเช่นนี้เป็นแน่ ! ”
เยี่ยนซีเหวินยกยิ้มออกมา รู้สึกว่าหลี่เอ้อร์หนิวผู้นี้ดูจริงใจ และทุกสิ่งที่เขาเตือนย่อมมีเหตุผล
“หมู่บ้านเซี่ยซานยากจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ถึงขั้นมิมีอาหารตกถึงท้องจนต้องลักขโมยและทำร้ายผู้คนเชียว ? ”
“ฮึ ๆ ๆ ”
หลี่เอ้อร์หนิวเดินนำหน้า ส่วนพวกเยี่ยนซีเหวินเดินตามหลัง
“มิได้มีเพียงแค่หมู่บ้านเซี่ยซานของเราที่ยากจน หมู่บ้านของเราอยู่ภายใต้เขตการปกครองของเมืองหวงถาง ส่วนเมืองหวงถางอยู่ในการปกครองของอำเภอเชียนซานอีกทีหนึ่ง… พวกเจ้ามาจากหมู่บ้านข้างนอก พวกเจ้ามิได้สืบเรื่องราวอันใดมาเลยหรือ ? ”
“สืบเรื่องราวอันใดกัน ? ”
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเป็นพวกปัญญาชนที่มิรู้จักสอดรู้สอดเห็นสินะ ก็อำเภอเชียนซานนั้นยากจนข้นแค้น ดังนั้นเมืองภายใต้การบริหารของอำเภอทั้งหกแห่งจึงยากจนยิ่งกว่าเยี่ยงไรเล่า ! และในหกเมืองนี้ เมืองหวงถางเป็นเมืองที่ยากจนที่สุด”
“เมืองหวงถางประกอบด้วยหมู่บ้าน 6 แห่งด้วยกัน…แต่ละแห่งมีสภาพมิต่างกันมากนัก ทุกคนยากจนเหมือนกันหมด”
แน่นอนว่าเยี่ยนซีเหวินย่อมได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่เขาคาดมิถึงว่าสถานการณ์จริงจะแย่กว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
หลี่เอ้อร์หนิวที่เดินอยู่เบื้องหน้า เขามิเห็นว่าบัดนี้สีหน้าของเยี่ยนซีเหวินมืดครึ้มเสียยิ่งกว่าสีของท้องนภา เขาจึงเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าพวกเราใช้ชีวิตแร้นแค้นมาจนชินชาเเล้วล่ะ พวกเรายากจนกันมารุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่สมัยแคว้นฝาน เดิมทีก็หวังว่าเมื่อต้าเซี่ยกำจัดแคว้นฝานได้แล้ว พวกเราจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมสักเล็กน้อย”
เขาส่ายศีรษะช้า ๆ “มนุษย์มันก็เลวทรามต่ำช้าเหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ จะให้ผู้ใดขึ้นเป็นจักรพรรดิก็มิต่างกันมากหรอก ! ”
จางฉีซานจ้องหลี่เอ้อร์หนิวตาเขม็ง พวกชาวบ้านมิรู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจมาใส่ร้ายจักรพรรดิของข้า !
เยี่ยนซีเหวินโบกมือห้ามปราม มิให้จางฉีซานหุนหันพลันแล่นจนชักปืนขึ้นมา
“พี่หลี่ ข้าเกรงว่าท่านจะมิเข้าใจนโยบายของฝ่าบาท”
“ข้ามิเข้าใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าก็แค่อยากทำนายังต้องเข้าใจอันใดอีกกัน ? ข้าก็แค่อยากมีข้าวให้กินครบสามมื้อ เมื่อถึงฤดูหนาวก็อยากมีผ้าหนา ๆ ให้นุ่งห่ม”
“ฝ่าบาทจะมาใยดีอันใดกับเรื่องของราษฎรตาดำ ๆ เยี่ยงข้า ถ้าชีวิตของพวกเราดีขึ้นกว่านี้สักหน่อย ข้าย่อมเคารพต่อเขา เเต่ถ้าหากว่าเจ้าเกือบเอาชีวิตของตนเองมิรอดอยู่รอมร่อ…เจ้าจะเอ่ยถึงสิ่งดี ๆ ของฝ่าบาทได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“…ท่านเอ่ยได้ถูกต้อง ! ”
เยี่ยนซีเหวินมิได้ขัดหลี่เอ้อร์หนิวแต่อย่างใด เพราะสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะความเกียจคร้านของเขา ทว่าเป็นเพราะน้ำมือของขุนนางพวกนั้นต่างหากเล่า
สำหรับองค์จักรพรรดิในสายตาของราษฎร ขุนนางพวกนั้นคือคนที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้ง สิ่งที่ขุนนางพวกนั้นทำพวกเขาย่อมเข้าใจว่าเป็นรับสั่งของฝ่าบาทเป็นธรรมดา
เมื่อราษฎรยากลำบากถึงเพียงนี้ พวกเขาย่อมก่นด่าพวกขุนนางที่มิเอาอ่าวแม้กระทั่งยามหลับฝัน และในขณะเดียวกันก็อาจจะเอ่ยถึงฝ่าบาทในด้านเสีย ๆ หาย ๆ อย่างโจ่งแจ้ง
หลี่เอ้อร์หนิวเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าบ่นกับปัญญาชนพวกนี้ไปก็มิมีประโยชน์ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกเจ้ามาจากที่ใดกัน ? ”
“อ่า พวกเรามาจาก…เมืองจินหลิง”
หลี่เอ้อร์หนิวนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ เพราะเขามิรู้ว่าเมืองจินหลิงอยู่ที่ใด
“ที่บ้านของพวกเจ้า…ชาวบ้านกินอิ่มท้องกันหรือไม่ ? ข้าหมายถึงพวกชาวนาชาวไร่ มิได้หมายถึงตระกูลร่ำรวยเยี่ยงพวกเจ้า”
“ชาวไร่ชาวนาที่บ้านของพวกเราอย่าว่าแต่กินอิ่มท้องเลย พวกเขามีเนื้อให้กินในทุก ๆ วัน และมีเครื่องนุ่งห่มให้สวมใส่ตามฤดูกาล”
หลี่เอ้อร์หนิวชะงักฝีเท้ากะทันหัน จนเยี่ยนเป่ยซีเกือบจะชนเข้าที่แผ่นหลังของเขา
เขาหันขวับไปมองเยี่ยนซีเหวินด้วยสายตาสงสัย “เจ้า…เจ้าคงมิได้โกหกข้าหรอกนะ ได้กินเนื้อทุกวันจริงหรือ ? ”
“ข้าจะโกหกเจ้าเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ข้าเอ่ยเรื่องจริง ! ข้าเดินทางท่องเที่ยวหลายแห่งในต้าเซี่ย ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เยวี่ยซานเป่ยเต้านี่แหละ…ที่แร้นแค้นมากที่สุด”
หลี่เอ้อร์หนิวมิสนใจว่าคนอื่น ๆ จะทุกข์ยากเยี่ยงไร “เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ” เขาโพล่งถามออกมา
เขาเอ่ยถามอย่างให้เกียรติ ทั้งยังดูระมัดระวังเป็นพิเศษอีกด้วย สายตาของเขามีประกายแห่งความหวังฉายชัดออกมา
“ตัวข้านั้นแซ่เยี่ยน เจ้าเรียกข้าว่า…น้องเยี่ยนก็แล้วกัน”
“อ่า…เอ่อ” หลี่เอ้อร์หนิวถูมือไปมา “น้องเยี่ยนข้าอยากจะขออันใดที่อาจจะมากไปหน่อย น้องเยี่ยน…เจ้าต้องเป็นคนที่มีฐานะเป็นเเน่ เจ้าพอจะมีวิธีที่ทำให้พวกเราทั้งเจ็ดสิบคนย้ายไปยังเมืองจินหลิงได้หรือไม่ ? ”
“จะให้พวกเราไปเป็นบ่าวรับใช้ของจวนเจ้าก็ยังได้ ! ”
“พวกเรามิขอให้ได้กินเนื้อทุกวันหรอก ขอเเค่ให้พวกเราได้มีข้าวกินก็พอ ! พวกเรามิต้องการเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ทุกฤดูกาลหรอ ของแค่ผ้าป่านพวกเราก็สวมใส่ได้เป็นสิบปีแล้ว ! ”
เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในเมื่อพวกเขาปรารถนาที่จะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างแรงกล้า นั่นก็หมายความว่าที่นี่คงเลวร้ายเกินเยียวยาสำหรับพวกเขาแล้ว !
มิมีผู้ใดอยากหันหลังหนีจากบ้านเกิดหรอก
นอกจากว่าจะอับจนหนทางแล้วจริง ๆ
บัดนี้หลี่เอ้อร์หนิวจิตใจกระวนกระวาย ถ้าหากชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ารับปากเขา เขาจะขอสัญญาว่าตลอดชีวิตนี้ ไม่สิ ! แม้แต่ลูกหลานของตนก็จะเป็นบ่าวรับใช้ให้กับตระกูลของเขาตลอดไป
เพราะอีกประเดี๋ยวก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาดแคลนเสบียงแล้ว ถ้าหากล่าสัตว์มาได้มิพอประทังชีวิตก็เกรงว่าจะต้องอดตายสถานเดียว
“เอาเยี่ยงนี้” แน่นอนว่าเยี่ยนซีเหวินมิได้ตอบรับคำขอนั้น และเขาก็มิใช่ชายหนุ่มที่มิรู้อิโหน่อิเหน่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
“วันนี้พวกเราขอพักที่หมู่บ้านของท่านก่อน ช่วงนี้ขอให้พี่ชายช่วยพาข้าออกไปเที่ยวชมรอบ ๆ สักหน่อย ถ้าหากว่าที่นี่…มิมีความหวังแล้วจริง ๆ ข้าจะคิดหาวิธีช่วยพวกท่านเอง ! ”
“ขอบคุณน้องเยี่ยนยิ่งนัก บ้านข้าก็ตั้งอยู่ด้านหน้านี้เอง อย่าได้รังเกียจไปเลย ข้าสร้างแค่ให้มันกันลมกันฝนได้เท่านั้น”
หลี่เอ้อร์หนิวนับคณะของเยี่ยนซีเหวินที่เดินมาถึงลานหน้าบ้านของตน จากนั้นก็มีเสียงสตรีแว่วดังมาจากในบ้าน “ข้าวเหลือพอกินมิถึงสามวันแล้ว ภาษีข้าวพวกเจ้าก็เอาไปแล้ว ชาวบ้านจะอดตายกันอยู่แล้ว ทว่าเจ้ายังจะมาเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวนั่นไปอีก”