นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1238 ข้าวต้มหนึ่งถ้วย
ตอนที่ 1238 ข้าวต้มหนึ่งถ้วย
ถ้าหากมิได้ยินกับหูตนเอง ถ้าหากยังอยู่ในท้องพระโรงเมืองฉางอัน เยี่ยนซีเหวินย่อมมิปักใจเป็นแน่ว่ายังมีคนที่จมปลักในความทุกข์ยากหลงเหลืออยู่ในต้าเซี่ยแห่งนี้ !
ขณะที่ยืนอยู่บริเวณลานบ้านหลังคามุงหญ้าที่ชำรุดทรุดโทรมอยู่นั้น ก็มีเด็กเล็กอายุราว 5 ขวบวิ่งออกมาจากเรือนด้านข้าง
“ปู่ ๆ ” เด็กคนนั้นปรี่เข้ามาหาหลี่เอ้อร์หนิว “วันนี้ข้าไปหลังเขากับพวกฮวาฮวา ข้าเก็บเห็ดและขุดหน่อไม้กลับมาได้มากโขเลยล่ะ”
หลี่เอ้อร์หนิวอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ตอนนี้นี่เองที่เด็กน้อยหันไปเห็นพวกเยี่ยนซีเหวิน เขาตกใจจนต้องเอาใบหน้าของตนเองไปแนบกับใบหน้าของหลี่เอ้อร์หนิว จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “ท่านปู่ พวกเขา…พวกเขาเป็นผู้ใดกัน ? ”
“เถี่ยต้าน พวกเขาเป็นแขกที่เดินทางมาจากนอกเขา พ่อกับแม่ของเจ้าไปไหนแล้วล่ะ ? ”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ขึ้นไปบนภูเขาตั้งแต่เช้าแล้ว บัดนี้ยังมิกลับมาเลย”
หลี่เอ้อร์หนิวผงะตกใจ “มีผู้ใดขึ้นเขาไปกับพวกเขาบ้างกัน ? ”
“มีอาจ้าว ลุงสองและลุงสาม พวกเขาไปกันทั้งหมดห้าหกคน”
หลี่เอ้อร์หนิวจึงค่อย ๆ ถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนว่าลูกชายและลูกสะใภ้จะเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขากันแล้วสินะ หากมีจ้าวต้าเจี่ยวอยู่ก็คงมิมีอันตรายใดเกิดขึ้น
เขาวางเถี่ยต้านลง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไปช่วยย่าจุดไฟสิ ข้าจะไปเก็บห้องให้แขกสักหน่อย”
บ้านหลังนี้มี 3 ห้องด้วยกัน ผนังยังคงใช้ดิน ส่วนหลังคาทำมาจากหญ้า ตรงกลางเป็นห้องโถง มีห้องของหลี่เอ้อร์หนิวและห้องของลูกชายขนาบสองข้าง ตอนนี้ปัญหาก็คือพวกเยี่ยนซีเหวินมีกันสิบกว่าคน จะจัดที่หลับนอนเยี่ยงไรดี ?
เยี่ยนซีเหวินเดินเข้าไปแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่หลี่…มิต้องเก็บหรอก ลานหน้าบ้านก็มิเลวนัก กว้างขวางดี พวกเราเอาเพิงพักติดตัวมาด้วย อีกประเดี๋ยวหากกางออกก็สามารถนอนในนั้นได้”
เพิงพักที่ว่านั้นหน้าตาเป็นเยี่ยงไรหลี่เอ้อร์หนิวก็ยังมิรู้ เขารู้เพียงว่าถ้าเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าตนจะต้อนรับแขกได้มิดีเท่าที่ควร
“เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่…เจ้านอนที่ห้องของข้ากับเมีย ส่วนพวกข้าจะไปนอนที่ห้องโถง”
“อย่าเลย…ข้ายังต้องพำนักอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยซานอีกหลายวัน แค่นี้ก็รบกวนท่านมากพอแล้ว จะให้ท่านไปนอนที่ห้องโถงได้เยี่ยงไรกัน”
เมื่อเอ่ยเสร็จเยี่ยนซีเหวินก็หันไปสั่งการจางฉีซาน “ฉีชาน ให้พวกเขากางเพิงพักออกสิ และก็…นำข้าว 100 ชั่งออกมาให้พี่หลี่ ขอให้พี่สะใภ้ช่วยหุงข้าวให้พวกเราหน่อยเถิด”
หลี่เอ้อร์หนิวถลึงตาโต ข้าว 100 ชั่งเชียวหรือ ? !
นี่…นี่มันของหายากชัด ๆ เลยนี่ !
น้องเยี่ยนผู้นี้มิธรรมดาจริง ๆ เดินทางไกลถึงเพียงนี้ก็ยังพกข้าวติดตัวมาด้วย ช่างพิถีพิถันเสียเหลือเกิน
จางฉีซานยกหลัวมาวางไว้เบื้องหน้าของหลี่เอ้อร์หนิว “นี่ต้องมากกว่า 100 ชั่งเป็นแน่ มิจำเป็นต้องนำไปชั่งแล้วล่ะ รบกวนท่านช่วยหุงให้สักหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อหลี่เอ้อร์หนิวเห็นข้าวขาววางละลานตา เขาก็เกือบน้ำตาไหลออกมาแล้วด้วยซ้ำ “นี่มัน…พวกเจ้าเป็นแขกของข้า ข้ามิควรรับสิ่งนี้ไป แต่ถ้าหากข้ามิรับ บ้านข้าก็คงมิมีข้าวให้พวกเจ้ากิน”
“ข้ามิอยู่สนทนาเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้ว ข้าจะบอกให้เมียข้าผัดเห็ดกับหน่อไม้ไว้เป็นกับข้าวให้พวกเจ้าก็แล้วกัน”
หลี่เอ้อร์หนิวรับหาบข้าวสารไปอย่างมิเสแสร้ง เขาหาบข้าวสารผ่านห้องโถง จากนั้นก็นำไปวางไว้ในห้องนอนของเขา
พลันมีเสียงดังแว่วมาจากด้านใน น่าจะเป็นเสียงเขาของเขาที่เอ่ยทักภรรยา ครู่เดียวหลังจากนั้นก็มีเสียงสตรีโห่ร้องประหลาดดังแว่วมา คาดว่าน่าจะเป็นภรรยาของเขาที่รู้สึกตื้นตันเพราะเห็นข้าวมากมายถึงเพียงนั้น
เยี่ยนซีเหวินสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันไปเอ่ยกับจางฉีซานว่า “คราหนึ่งฝ่าบาททรงตรัสว่าเมื่อเจริญรุ่งเรือง ราษฎรทุกข์ยาก เมื่อดับสลาย ราษฎรก็ยิ่งทุกข์ยาก แต่ก่อนข้ามิเข้าใจความหมายของคำเอ่ยนี้เลย คิดว่าในเมื่อประเทศมั่งคั่งรุ่งเรือง ราษฎรจะอดอยากได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“ทว่าบัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
“การผงาดขึ้นของราชวงศ์ใด ๆ โดยปกตินั้นมักจะเกิดการก่อสร้างขึ้นเป็นการใหญ่ เช่นนี้ก็จำต้องขูดรีดทรัพย์สินจากราษฎร ฝ่าบาททรงรู้แจ้งในข้อนี้ดี แม้พระองค์จะทรงก่อสร้างเมืองฉางอัน ทว่าการก่อสร้างเมืองฉางอันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมั่งคั่งทางการค้าของต้าเซี่ย”
“ดังนั้นการที่ราษฎรต้องทนทุกข์นั้นมิจำเป็นต้องเป็นเพราะการก่อสร้างเสมอไป ทว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะการตรวจตรามิทั่วถึงภายใต้ความเจริญมั่งคั่งนี่ต่างหาก และนี่ก็คือแหล่งบ่มเพาะความเน่าเฟะเยี่ยงไรเล่า ! ”
“พวกขุนนางทุจริตคิดคดโกงประชาชนเพื่อความสุขส่วนตน พวกเขามิได้แบ่งผลประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ทว่ากลับเป็นประเทศชาติที่ถูกพวกเขาขูดรีด…ยิ่งพื้นที่ห่างไกลเท่าใดก็ยิ่งเน่าเฟะ ยิ่งเป็นพื้นที่ที่ยากจนการทุจริตโกงกินก็ยิ่งทวีความรุนแรง ! ”
“แล้วพวกเราจะหยุดการทุจริตนี้ได้เยี่ยงไร ? ” จางฉีซานเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“คราหนึ่งฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่าทางที่ดีราษฎรควรจะเป็นฝ่ายที่ตรวจตราการทำงานของส่วนราชการเสียเอง ดังนั้นถึงมีสิทธิของราษฎรบัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ราษฎรที่ในพื้นที่ที่เจริญกว่า ย่อมรู้กฎหมายข้อนี้ดี เพราะพวกเขาสามารถเข้าถึงข่าวสารและสามารถอ่านออกเขียนได้”
“ทว่าในสภาพของหมู่บ้านเซี่ยซานนี้…ราษฎรมิรู้หนังสือก็ว่าหนักหนาแล้ว ผนวกกับการที่ส่วนราชการมิได้ตั้งใจประชาสัมพันธ์ พวกเขาจะรู้จักกฎหมายรัฐธรรมนูญได้จากที่ใดกัน ? พวกเขาจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าตนมีสิทธิเช่นนี้อยู่ในมือ ? ”
“ดังนั้นฝ่าบาทถึงได้มีพระราชดำริว่าการพัฒนาต้าเซี่ยในรอบร้อยปีนี้ให้เน้นการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญ นี่เป็นการปลูกสร้างสติปัญญาให้กับราษฎรของต้าเซี่ย เพื่อทะลายกรงที่ครอบงำอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา แน่นอนว่าพระประสงค์ของฝ่าบาทนั้นดีเยี่ยม ทว่าเหตุใดเมื่อนำมาใช้กับที่นี่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปเสียหมด”
ในขณะที่เยี่ยนซีเหวินกำลังนับถือในความคิดอันฉลาดหลักแหลมของฟู่เสี่ยวกวนและแสดงความเกลียดชั่งต่อขุนนางอยู่นั่นเอง หลี่เอ้อร์หนิวก็ได้เดินเข้ามา
เขาหันไปมองรอบ ๆ แล้วหันมากระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “น้องเยี่ยน พวกเจ้าจงระวังทรัพย์สินของพวกเจ้าให้ดี ! คนเราเมื่ออับจนหนทาง พวกเขาก็อาจจะยอมแลกด้วยชีวิต ! ”
“ขอบคุณท่านพี่ที่ตักเตือน องค์รักษ์ของข้ามีฝีมือพอตัว พวกเรามิกลัวชาวบ้านเข้ามาลักขโมยหรอก”
“เช่นนั้นก็ดี ถ้าหากมีคนเข้ามาขโมยของจริง ๆ ก็ขอให้คนของน้องเยี่ยนได้โปรดเมตตาพวกเขาด้วยเถิด…พวกเขามิใช่คนเลวทรามแต่อย่างใด เพียงแค่อับจนหนทางแล้วจริง ๆ ก็เท่านั้น”
เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วพยักหน้ารับ เขาหันไปเอ่ยกับจางฉีซาน “ถ้าหากมีโจรบุกเข้ามายามราตรีสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยก็พอ อย่าให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ เพราะมิแน่พวกเขาอาจจะเป็นเสาหลักของครอบครัวก็เป็นได้”
“น้องเยี่ยนช่างมีเมตตายิ่งนัก หลี่เอ้อร์หนิวรู้สึกซาบซึ้งเสียเหลือเกิน ! ”
เยี่ยนซีเหวินกางเพิงพักทั้งหมดสิบเอ็ดหลัง ภรรยาของหลี่เอ้อร์หนิวหุงข้าวเสร็จพอดี เธอทำข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุย เพียงแต่ข้าวต้มมีน้ำโหลงเหลงมากไปหน่อยก็เท่านั้น
นางตักข้าวต้มให้ทั้งสิบเอ็ดคน จำต้องคนไปถึงก้นถ้วยถึงจะเจอข้าว ที่เหลือเป็นน้ำข้าวต้มล้วน ๆ
เถี่ยต้านเห็นข้าวต้มแล้วรู้สึกมิถูกใจเท่าใดนัก เขาจึงแผดเสียงร้องงอแง “ท่านย่า ท่านย่า… ข้ามิอยากกินน้ำข้าวต้ม ข้า… ข้าอยากกินข้าวสวย ! ”
“หลานรัก เจ้าอย่าดื้อไปเลย นี่เป็นข้าวที่แขกนำมาให้พวกเรานะ น้ำข้าวต้มนี่อร่อยกว่าน้ำซุปผักมิรู้ตั้งเท่าใด รีบ ๆ กินแล้วเข้านอนเถิด ! ”
“ข้ามิ… ข้า…”
เยี่ยนซีเหวินจึงเดินเข้าไปหาแล้วยื่นข้าวต้มในมือให้เด็กน้อยพร้อมกับยกยิ้ม “เถี่ยต้าน เจ้าเอาข้าวต้มชามนี้ไปกินก็แล้วกัน ลุงรู้สึกกระหายให้ลุงกินน้ำข้าวต้มแทนเถิด”
“น้องเยี่ยน อย่าทำเช่นนี้เลย เจ้า…เจ้าเป็นแขกของข้า เถี่ยต้าน อย่าดื้อสิ รอให้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างในฤดูใบไม้ร่วง พวกเราก็จะมีข้าวกินแล้ว ! ”
เถี่ยต้านยกมือขึ้นคลึงดวงตา “ท่านปู่โกหกข้า ปีที่แล้วท่านก็เอ่ยแบบนี้ แล้วไหนล่ะข้าว ? ”
“แล้วข้าวเล่าอยู่ที่ใด ? ”
เยี่ยนซีเหวินลูบไหล่ของหวางเอ้อร์หนิว “เด็กกำลังโต ข้ามิหิวจริง ๆ มิต้องเอ่ยอันใดให้มากความแล้ว ข้าวต้มชามนี้ให้เถี่ยต้านก็เเล้วกันนะ”