นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1240 ประชุมด้านการทหาร
ตอนที่ 1240 ประชุมด้านการทหาร
ณ ห้องประชุมวางเเผนยุทธการรบ กรมยุทธการประจำเมืองฉางอัน
ฟู่เสี่ยวกวนจูงมืออู๋เทียนซื่อเดินเข้าไปด้านใน เขาเงยหน้ามองทับหลังประตูที่เขียนว่าเคร่งขรึมและสง่างาม จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับเทียนซื่อว่า “ประเทศใดที่มีจุดยืนในใต้หล้านี้ นอกจากจะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย นอกจากจะมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพแล้วนั้น ยังต้องมีกองทัพที่มีแสนยานุภาพสูง ! ”
“บัดนี้กองทัพต้าเซี่ยแบ่งเป็นกองทัพบกและกองทัพเรือ หลังจากนี้…ก็อาจจะมีกองทัพที่สำคัญที่สุดในบรรดากองทัพทั้งหมดก่อตั้งขึ้นมา ซึ่งก็คือกองทัพอากาศนั่นเอง”
อู๋เทียนซื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยความฉงนว่า “ตอนนี้พวกเราก็มีกองทัพอากาศมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มพลางลูบศีรษะของอู๋เทียนซื่ออย่างแผ่วเบา การกระทำครานี้ของเขาทำให้อู๋เทียนซื่อรู้สึกใกล้ชิดกับบิดาอย่างแปลกประหลาด
“นั่นมินับว่าเป็นกองทัพอากาศหรอก กองทัพอากาศจริง ๆ จะต้องเดินทางไปโจมตีทางไกลได้เป็นหมื่น ๆ ลี้ มันสามารถเป็นตัวตัดสินได้ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ”
“ทว่ากองทัพต้าเซี่ยที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้มีความสามารถเพียงพอที่จะปราบปรามศัตรู พวกเขาถือเป็นต้นแบบของกองทัพอากาศอย่างที่ควรจะเป็น”
“ไปกันเถิด พวกเราเข้าไปกันเถิด วันนี้ข้าจะพาเจ้ามาทำความรู้จักกับผู้บัญชาการทหารเรือของต้าเซี่ย”
อู๋เทียนซื่อรู้สึกตื้นเต้นมากยิ่งนัก เพราะเขารู้ถึงความเก่งกาจของทหารต้าเซี่ยดี และเขาก็รู้ดีว่าคราหนึ่งเสด็จพ่อเคยนำทัพทหารเรือ ทั้งยังสามารถแย่งชิงอาณาเขตที่อยู่ห่างไกลได้อีกด้วย
เขาปรารถนาจะไปเยือนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์สักครา เพราะบัดนี้เส้นทางสัญจรระหว่างต้าเซี่ยกับแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว มีชาวลีอาห์เดินทางมายังต้าเซี่ย และแน่นอนว่ามีชาวต้าเซี่ยไปเยือนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์มากยิ่งกว่า
ที่เมืองฉางอันมีคนจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์มาเยือนเช่นกัน ว่ากันว่าผู้มาเยือนมาจากสามแคว้นในแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ น่าเสียดายที่เขามิเคยพบเห็นมาก่อน มิรู้ว่าผู้คนที่นั่นมีตาสามดวงตั้งแต่เกิดเลยหรือไม่
ทหารรักษาการณ์ทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนด้วยการวันทยาหัต อู๋เทียนซื่อรู้สึกสงสัยมากยิ่งนักเพราะปกติขุนนางในราชสำนักมักจะโค้งคารวะเป็นการถวายความเคารพ
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องวางแผนยุทธการรบ ข้างในมีคนอยู่ราวสิบกว่าคน ขณะที่ทั้งสองเดินเข้ามา คนในห้องก็ได้ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ทำความเคารพด้วยการวันทยาหัตถ์ต่อสองพ่อลูกอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นเรือนร่างที่เหยียดตรง สีหน้าดุดันและน่าเกรงขาม พลันทำให้อู่เทียนซื่อรู้สึกฮึกเหิมเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาหันไปวันทยาหัตถ์ตอบพวกจัวเปี๋ยหลี จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องชายตาไปมอง
“นั่งลงเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนจูงมืออู๋เทียนซื่อไปจนถึงโต๊ะประชุม เมื่อสองพ่อลูกนั่งลงแล้ว พวกจัวเปี๋ยหลีถึงค่อย ๆ นั่งลง
“เหล่าไป๋ แนะนำทุกคนให้อู๋เทียนซื่อรู้จักหน่อยสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนยืนขึ้นอีกครา “ผู้บัญชาการกองทัพเรือที่หนึ่ง จั่วมู่ ! ”
จั่วมู่ยืนขึ้นทันใด จากนั้นก็ยกมือขึ้นถวายความเคารพ
“เสนาธิการกองทัพเรือที่หนึ่ง ฟางจาวหยาง ! ”
“ต่อมาแม่ทัพเผิงหลางและเสนาธิการต้วนฉีเฟิงประจำกองทัพเรือที่สอง ! ”
“แม่ทัพเฉินฉงซานและเสนาธิการฉางหยูประจำกองทัพเรือที่สาม ! ”
“แม่ทัพจ้าวจือเหลียนและเสนาธิการซุนเสี่ยวฮุยประจำกองทัพเรือที่สี่ ! ”
“แม่ทัพเซี่ยตงหลายและเสนาธิการโจวฉางชุนประจำกองทัพเรือที่ห้า ! ”
“แม่ทัพปี้หลินชิวและเสนาธิการอู๋ซีเช่อประจำกองทัพเรือที่หก ! ”
“กระหม่อมไป๋ยู่เหลียนผู้บัญชาการสูงสุดประจำกองทัพเรือขอสิ้นสุดการรายงานตัว ! ”
ทั้งสิบสามคนยืนตัวตรงอย่างชายชาติทหารในชุดทหารเรือสีกรมท่า ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำ ทรงผมของพวกเขามิเหมือนกับชาวต้าเซี่ยทั่วไป ทรงผมของพวกเขาสั้นเกรียนทำให้ดูกระฉับกระเฉงเป็นพิเศษ
ทหารต้าเซี่ยถูกฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้ตัดผมสั้นเหมือนกันหมด ในหมู่ทหารด้วยกันมีคำเอ่ยที่ว่าการปฏิวัตินั้นเริ่มต้นจากศีรษะเป็นลำดับแรก
ทหารป้องกันเมืองประจำเมืองหลวงก็ตัดผมสั้นเช่นกัน ทว่าการตัดผมสั้นนั้นเคยเกิดกระแสต่อต้านมาแล้วก่อนหน้านี้ เพราะผู้คนเชื่อกันว่าเส้นผมและผิวหนังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ทว่าทหารเหล่านี้กลับยอมตัดผมจนสั้นเกรียนโดยง่าย… ถ้าหากคำสั่งนี้มิได้เป็นบัญชาของฟู่เสี่ยวกวน และหากฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นที่เคารพนบนอบของราษฎรต้าเซี่ย เกรงว่าพวกปัญญาชนทั้งหลายแหล่คงมิเห็นด้วยเป็นแน่
ทว่าเรื่องนี้กลับถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ…นักศึกษาชาวต้าเซี่ยจำนวนมิน้อยที่ตัดผมสั้นเลียนแบบ พวกทหาร หลังจากนั้นพวกเขาจึงค้นพบว่าผมสั้นนั้นสบายกว่าผมยาวเป็นไหน ๆ
เมื่อเห็นศีรษะเรียบ ๆ ของทหารตรงหน้า อู๋เทียนซื่อจึงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของตนเองพลางครุ่นคิดในใจว่าจะขอเสด็จพ่อตัดผมสั้นด้วยเช่นกันกัน
ฟู่เสี่ยวกวนกวาดสายตาไปมองรอบห้องประชุม “นั่งลงเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
เมื่อทุกคนนั่งลง ฟู่เสี่ยวกวนจึงเปิดการประชุม “ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามาเมืองฉางอันประการแรกเห็นว่าพวกเจ้าฝึกกันหนักหนาสาหัส ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเดือนสี่ที่อากาศช่างเย็นสบายยิ่งนัก พวกเจ้าเลยได้มีโอกาสพักผ่อนที่เมืองฉางอันสักระยะ”
“ส่วนประการที่สองนั้น…หลังจากที่พวกเจ้าพักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าจะมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ”
สายตาของทุกคนเป็นประกายขึ้นมาทันใด ในเมื่อเป็นทหาร…จะมีภารกิจใดอีกนอกเหนือจากการออกรบ !
บรรดาทหารเหล่านั้นมีเผิงหลางและเฉินฉงซานที่เคยติดตามฝ่าบาทไปออกรบที่แผ่นดินใหญ่ลีอาห์ พวกเขามีความสามารถโดดเด่นในหมู่ทหารด้วยกัน ต่างเป็นที่อิจฉาตาร้อนสำหรับแม่ทัพคนอื่น ๆ
การได้ติดตามฝ่าบาทไปออกรบนั้นถือว่าเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ !
บัดนี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังองค์จักรพรรดิเพื่อหวังจะได้ยินแผนการจากพระโอษฐ์ของพระองค์
“บัดนี้…กองทัพเรือทั้งหกของเราได้ก่อตั้งขึ้นมาเสร็จสมบูรณ์แล้ว มิว่าจะเป็นจำนวนของเรือรบ การจัดสรรต่าง ๆ รวมไปถึงทหารล้วนพร้อมสรรพ”
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งปี ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้บัญชาการประจำกองทัพเรือ พวกเจ้าต้องฝึกนายทหารในกองทัพของตนให้แล้วเสร็จภายในครึ่งปีนี้”
“ปีหน้า…พวกเจ้าทั้งหกกองทัพจะต้องตามข้าไปออกรบ ! ”
พวกเขารู้สึกดีใจขึ้นมาทันพลัน ตอนนี้มิมีผู้ใดสนใจรูปลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะอายุเลยสามสิบไปแล้ว ทว่าบัดนี้พวกเขาต่างก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น !
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กองทัพเรือที่หนึ่งขอรับประกันความเก่งกาจเหนือทัพใด กระหม่อมจั่วมู่จะต้องได้นำทัพรักษาพระองค์เหมือนเคย ! ”
“แม่ทัพจั่ว เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับมิเห็นหัวเฉินฉงซานเลยสินะ ? ”
“พวกเจ้าทั้งสองอย่างทึกทักเอาเองสิ มีเวลาฝึกฝนตั้งนานกองทัพเรือที่หกของข้าจะต้องแซงหน้ากองทัพของพวกเจ้าอย่างแน่นอน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้ม จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบ “พวกเจ้านี่ใช้มิได้เลยจริง ๆ นี่เป็นห้องประชุมแผนยุทธการรบมิใช่ตลาดสด ! ”
พวกเขาทุกคนนั่งเงียบ ทว่าแต่ละคนต่างมิยอมกัน พวกเขาจ้องจะสู้กันราวกับไก่ตัวผู้ก็มิปาน
“พวกเจ้าเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือของต้าเซี่ย การรบต้องอาศัยความสามารถของตนเอง ซึ่งมาจากการฝึกฝนในชีวิตประจำวัน มิใช่มาแผดเสียงข่มกันว่าผู้ใดจะเก่งกว่ากัน เจ้าดูแม่ทัพจ้าวจือเหลียนสิ เขาโวยวายอันใดกับพวกเจ้าบ้าง ? แต่ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ากองทัพเรือที่สี่ก็มีฝีมือการรบโดดเด่นมิแพ้กัน”
“เอาล่ะ ! เรื่องการฝึกทหารเรือเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า อีกอย่างที่ข้าต้องการจะเอ่ยถึงก็คือกองทัพเรือที่เจ็ด แปดและเก้า”
“ข้าได้แต่งตั้งรองเสนาบดีกรมยุทธนาการขึ้นมาใหม่ พวกเจ้าอาจจะเคยได้ยินนามของเขามาก่อน เขามีนามว่าหยูเวิ่นเทียน เขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งประจำการอยู่ที่ซีเซี่ย”
“วันนี้เขาติดภารกิจจึงมิอาจมาเข้าร่วมการประชุมได้ แต่ข้าจะขอเอ่ยให้พวกเจ้าได้ฟังตรงนี้เลยว่า หยูเวิ่นเทียนเป็นรองเสนาบดีกรมยุทธนาการก็จริง ทว่าเขาทำหน้าที่ดูแลกองทัพเรือเป็นหลัก ซึ่งครอบคลุมในส่วนของการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหาร การเกณฑ์พลทหารเรือเป็นต้น เขาคือผู้รับผิดชอบแนวหลัง”
“กองทัพทหารเรือที่เหลืออีกสามกองทัพ ผู้บัญชาการให้เลือกจากพวกเจ้าทั้งหกกองทัพ ดังนั้นหากพวกเจ้ามีทหารฝีมือดีภายใต้บังคับบัญชา ก็จงแนะนำให้แก่แม่ทัพใหญ่ไป๋ยู่เหลียนตัดสินใจ จากนั้นเขาจะนำเสนอต่อกรมยุทธการเอง”
“เรือรบสำหรับกองทัพที่เจ็ด แปดและเก้ากำลังอยู่ในขึ้นตอนการก่อสร้าง ส่วนเรื่องการจัดการพลทหาร โดยเฉพาะการแต่งตั้งหัวหน้ากองพลให้พวกเจ้าจัดตั้งได้ตามเหมาะสม”
“จงจำเอาไว้ว่าต้องตามข้าไปออกรบในปีหน้า และก่อนจะออกรบจงก่อตั้งกองทัพเรือที่เหลืออีกสามกองทัพให้สำเร็จเสียก่อน มิเช่นนั้นเมื่อพวกเราออกไปรบแล้ว ต้าเซี่ยก็จะมิเหลือกองทัพไว้ป้องกันทางทะเลอีกเลย”
“เอาล่ะ ! ส่วนที่เหลือก็ให้เสนาบดีจัวเป็นคนจัดประชุมต่อ เพื่อแจ้งพวกเจ้าให้ทราบถึงยุทธการรบ ข้าไปล่ะ ! ค่ำวันนี้ขอเชิญพวกเจ้าเข้าวังเพื่อมาดื่มฉลองร่วมกัน ! ”