นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1241 ตัดศีรษะ
ตอนที่ 1241 ตัดศีรษะ
ฟู่เสี่ยวกวนพาอู๋เทียนซื่อกลับมาที่ห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อ ปีหน้าท่านจะออกเดินทางไกลไปรบอีกคราจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ใช่แล้วล่ะ ! พ่อจำต้องจัดการปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของต้าเซี่ยไปเสีย เช่นนี้เมื่อเจ้าขึ้นครองบัลลังก์จะได้มิต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่ใด ๆ ”
สองพ่อลูกนั่งอยู่หน้าโต๊ะชา อู๋เทียนซื่อจัดแจงต้มชาโดยที่มิรู้ตัวเลยว่าเขาได้วางตัวผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนเป็นไหน ๆ
“พากระหม่อมไปด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
อู๋เทียนซื่อจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาวาดหวัง ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลังเลยิ่งนัก แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว แท้ที่จริงแล้วสงครามเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนมิได้ ถ้าเกิดอันใดขึ้นมา แม้ตนจะมีบุตรชายหลายคน ทว่าหลิงเอ๋อร์นางจะคิดเยี่ยงไร ?
บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้อู๋เทียนซื่อค่อย ๆ คุ้นเคยกับงานบ้านงานเมือง ให้เขาค่อย ๆ เติบโต
“เจ้าไปมิได้ ! ”
อู๋เทียนซื่อผิดหวังจนต้องส่งเสียงครางออก “ฮือ…”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงไปมิได้ ? ”
“เพราะกระหม่อมยังเยาว์ และยังแบกปืนมิไหวเป็นแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ “เพราะประเทศจะขาดจักรพรรดิมิได้แม้แต่วันเดียว พ่อออกไปรบยังดินแดนห่างไกล แต่ต้าเซี่ยยังต้องมีคนรักษาการณ์อยู่ หลังจากที่พ่อออกไปแล้ว เจ้าจำต้องปกครองบ้านเมือง จำต้องจัดการธุระใด ๆ ก็ตามด้วยตัวของเจ้าเอง”
“พ่อไปราวสองปีแล้วจะกลับมา พ่อหวังว่าตอนที่กลับมาลูกพ่อจะยังอยู่ดีมีสุข และหวังว่าต้าเซี่ยจะดำรงอยู่ในความผาสุกทุกประการ”
“เทียนซื่อเอ้ย เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ พ่อ…จะไปออกรบแล้วขนทรัพย์สินเงินทองกลับมาให้เจ้า ส่วนเจ้าจำต้องจัดการปัญหาด้วยตนเอง เจ้าจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าเสนาบดีอย่างกลมเกลียว เพราะเจ้าต้องคอยดูแลบ้านเมืองภายใต้การช่วยเหลือของพวกเขา”
ที่แท้เสด็จพ่อทรงมีพระดำริลึกซึ้งยิ่งนัก ที่เเท้ตนก็เข้าใจเสด็จพ่อผิดไป
อู๋เทียนซื่อกล่าวโทษตนเองอยู่ในใจ เมื่อได้ยินบิดาอธิบายเช่นนี้ เขาจึงรีบรับปากทันใด “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะร่วมมือกับเสนาบดีทั้งหลายบริหารบ้านเมืองให้ดีสุด เพื่อมิให้เสด็จพ่อต้องกังวลพระทัยยามอยู่แดนไกล ! ”
“ดี ! นี่แหละบุตรของข้า มา ๆ ๆ ชาถ้วยนี้แทนสุรา หมดถ้วย ! ”
อู๋เทียนซื่อชูถ้วยชาขึ้นมา สองพ่อลูกยกถ้วยชาขึ้นมาซดจนหมดจอก ความผูกพันระหว่างพ่อลูกค่อย ๆ ก่อประสานแนบแน่น เขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างเงียบ ๆ ว่า ข้าอู๋เทียนซื่อจะดูแลบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้สมกับความรักที่เสด็จพ่อทรงมอบให้ข้า !
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยเรื่องการทหารให้อู๋เทียนซื่อฟัง ทว่ามินานนัก จี้หยุนกุยหัวหน้าหอเทียนจีก็เดินเข้ามา
“ฝ่าบาท”
“แน่ใจแล้วหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม
“แน่ใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ หยูซูหรงมีสายลับจำนวนหนึ่งอยู่ในต้าเซี่ย หนึ่งในนั้นก็คือเมิ่งซีอดีตดาวเด่นคณิกาจากหอหลิวหยุน ! ”
“เมิ่งซีออกจากหอหลิวหยุนเมื่อสองปีก่อน เนื่องด้วยอายุที่ย่างเข้าวัย 30 ปี มิรู้แน่ชัดว่านางไปที่ใด ทว่าทุกวันนี้นางคือเถ้าแก่เนี้ยที่คอยบริหารงานอยู่เบื้องหลังหยินเหอจิ่วเทียน”
“และในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เหว่ยชังอดีตเสนาบดีกรมโยธาธิการถูกนางล่อลวงเพื่อเป็นสะพานเข้าหานักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัย”
“ณ บัดนี้นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยถูกนางลักพาตัวไปแล้ว 5 ราย พวกเราค้นพบช้าจนเกินไป ทางหอเทียนจีจึงไล่ตามพวกเขาทั้งห้าคนที่บริเวณชายแดนมิทัน”
“ท่านเสนาบดีฉินบอกว่าทั้งห้าคนนี้เคยทำงานในศูนย์วิจัยอาวุธและศูนย์วิจัยดินปืนมาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะมิเคยคลุกคลีกับการวิจัยและพัฒนาปืนยาวระบบกึ่งอัตโนมัติที่ออกแบบใหม่ล่าสุด ทว่าพวกเขาก็คุ้นเคยกับปืนเหมาเซ่อและกระสุนของมันเป็นอย่างดี ดังนั้นท่านเสนาบดีฉินจึงออกความเห็นว่า…ต้องสังหารพวกเขาทั้งหมดเสีย มิเช่นนั้นจะเป็นการนำหายนะมาสู่ต้าเซี่ยได้”
“บัดนี้เมิ่งซีและเหว่ยชังถูกกับกุมตัวเอาไว้แล้ว จากการสอบสวนของหอเทียนจี นางได้ให้การว่าตอนนั้นหยูซูหรงเคยอาศัยอยู่ในเมืองกวนหยุนช่วงหนึ่ง และเมิ่งซีก็ถูกหยูซูหรงซื้อตัวตั้งแต่ตอนนั้น”
“สองปีก่อน ตอนที่ต้าเซี่ยเพิ่งเริ่มก่อสร้างเมืองฉางอัน หยูซูหรงได้มอบหมายภารกิจให้นางหนึ่งอย่าง ซึ่งนั่นก็คือเข้ามาก่อตั้งหอนางโลมที่เมืองนี้ เพื่อป้องกันการเกิดเรื่องมิคาดฝัน คนที่นางจ้างล้วนถูกเกณฑ์มาจากหยวนตงเต้าทั้งสิ้น”
“กระหม่อมเห็นว่า…หยูซูหรงสมควรตายอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปพักใหญ่ อู๋เทียนซื่อที่นั่งฟังอยู่รู้สึกงุนงงยิ่งนัก เพราะเขามิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ท่านหัวหน้าหอเทียนจีผู้นี้จริงจังถึงที่สุด เขาเลยคาดเดาเอาว่าน่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
“ใกล้เข้าสู่เดือนห้าเต็มที มิรู้ว่าทางจักรวรรดิโมริยะรบไปถึงไหนแล้ว ? ”
“ทรงมีบัญชาให้บั่นศีรษะนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ หยูซูหรงนางเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษเพราะนางมีปืนอยู่ในครอบครอง พวกเราจำต้องสังหารนักวิทยาศาสตร์ทั้งห้าคนนั้นด้วยเช่นกัน”
“เรื่องนี้ให้กองนาวิกโยธินยกทัพไปเถิด ข้าจะออกราชโองการให้เจ้า เจ้าจงให้เว่ยอู๋ปิ้งส่งกองกำลัง 1,000 นายเข้าไป และจงถือโอกาสนี้สำรวจสถานการณ์ในจักรวรรดิโมริยะมาด้วย”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท อีกอย่าง…มิทราบว่าจะให้ตัดศีรษะคูฉานด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ถ้าหากมองที่ความรู้สึกส่วนตัวฟู่เสี่ยวกวนหวังให้คูฉานได้มีชีวิตอยู่ต่อ เพราะเขารู้สึกโปรดปรานสามเณรน้อยคนนั้นที่ได้พบพานระหว่างเดินทางไปยังเมืองกวนหยุน
ทว่าถ้ามองในแง่มุมผลประโยชน์ของประเทศชาติ แม้ตนจะเคยเอ่ยมาก่อนว่าการที่ประเทศมหาอำนาจเกิดขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งแห่งจะช่วยกระตุ้นให้ต้าเซี่ยเจริญก้าวหน้าขึ้น ทว่าถึงตอนนั้นตนคงมิมีโอกาสได้อยู่บนผืนปฐพีต้าเซี่ยอีกต่อไป หากจักรวรรดิโมริยะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกคราภายใต้การนำของคูฉาน สิบปีต่อจากนี้ หรืออีกร้อยปีต่อจากนี้ มันจะนำภัยคุกคามมาสู่ต้าเซี่ยหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแน่น “ตัดศีรษะไปพร้อมกันเสีย ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพระราชทานราชโองการให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นมาเขียนราชโองการ จากนั้นก็มอบให้จี้หยุนกุย “รีบไปเถิด…”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อจี้หยุนกุยลาจาก ฟู่เสี่ยวกวนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครา เดิมทีคูฉานเป็นมิตรสหายของเขาคนหนึ่ง
เดิมทีเขาเดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ทว่าบัดนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะการเข้ามาแทรกแซงของหยูซูหรง
ที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมิรู้ก็คือ…ระยะเวลาสั้น ๆ มิกี่เดือนกองทัพบัญญาสวรรค์ของคูฉานได้ออกอาละวาดไปครึ่งค่อนประเทศเพราะการแทรกแซงของหยูซูหรง
หยูซูหรงมิเพียงขนเงินทองไปจำนวนมหาศาลเท่านั้น ทว่านางยังขนคนฝั่งตนไปอีกด้วย !
คนเหล่านั้นก็คืออดีตขุนนางสมัยราชวงศ์หยู !
ทั้งยังมีคนจากป่ากระบี่อีกด้วย !
อดีตขุนนางในสมัยราชวงศ์หยูพวกนั้น มิได้เป็นที่รู้จักมากนัก เหตุเพราะการสถาปนาขึ้นมาของต้าเซี่ย ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงาน
แม้พวกเขาจะมิใช่ขุนนางขั้นสองหรือขั้นสามที่โด่งดัง ทว่าพวกเขาก็เป็นขุนนางที่ราชวงศ์หยูขาดไปมิได้
หยูซูหรงพาคนเหล่านั้นไปยังจักรวรรดิโมริยะ เมื่อคูฉานยึดแต่ละเมืองได้เมื่อใด นางก็จะแต่งตั้งคนเหล่านั้นให้เป็นเจ้าเมืองทันใด
ส่วนคนจากป่ากระบี่ถูกแต่งตั้งให้เป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของคูฉานนั่นเอง !
พวกเขาเป็นผู้มีฝีมือระดับสูง ทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชนด้านการรบ ปีนั้นหยูเวิ่นเต้าได้เข้าไปเรียนรู้วิธีฝึกทหารของกองทัพดาบเทวะ เขาจึงก่อตั้งกองทัพสวรรค์ฆาตขึ้นมา ซึ่งเหมือนกันทุกประการกับกองทัพดาบเทวะ !
ส่วนผู้มีฝีมือจากป่ากระบี่เคยได้รับการฝึกฝนจากกองทัพสวรรค์ฆาตมาก่อน เพียงแต่พวกเขามิเคยเข้าร่วมศึกตัดสินชะตาบนที่ราบฮวาจ้งเท่านั้นเอง
ดังนั้นกองทัพบัญชาสวรรค์ของคูฉาน จึงมีความคล้ายคลึงกับกองทัพดาบเทวะประมาณหนึ่ง
กองทัพของพวกเขามีแสนยานุภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความโกลาหลของประเทศโมริยะ ถือว่าเป็นกองทัพที่ไร้เทียมทานเลยทีเดียว
ส่วนปืนและกระสุนที่หยูซูหรงขนมาพันกว่ากระบอกนั้นยังมิเคยนำออกมาใช้แม้แต่คราเดียว มิใช่ว่านางมิอยากนำออกมาใช้ แต่เป็นเพราะนางอยากเก็บเอาไว้ ต่อให้ต้องเผชิญศึกหนักเยี่ยงไรก็จะมินำออกมาใช้เด็ดขาด
บัดนี้คูฉานมีทหารองค์รักษ์รายล้อมราวพันนาย ทั้งหนึ่งพันนายนี้ติดอาวุธปืนครบ ปืนเหล่านี้มีไว้เผชิญหน้ากับกองนาวิกโยธิน มิว่าเยี่ยงไรฟู่เสี่ยวกวนย่อมส่งพวกเขามาอย่างแน่นอน !