นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1244 สังหาร !
ตอนที่ 1244 สังหาร !
และแล้วฝนก็เทกระหน่ำลงมา หยาดฝนปรอย ๆ ชวนให้ผู้คนรู้สึกเหนื่อยหน่าย
หลี่เอ้อร์หนิวจ้องมองแผ่นหลังของเยี่ยนซีเหวินที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า อยู่ ๆ ก็พลันรู้สึกว่าแผ่นหลังของน้องเยี่ยนผู้นี้ดูยิ่งใหญ่เสียจริง
เขายังมิรู้เลยว่าเยี่ยนซีเหวินผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าน้องเยี่ยนผู้นี้… ไม่สิ ! มิควรเรียกเขาว่าน้องเยี่ยนอีกต่อไป แต่ควรเรียกเขาว่านายท่านต่างหาก
นายท่านผู้นี้รู้สึกโกรธแค้นต่อการทุจริตคดโกงของขุนนาง คาดว่าเขาน่าจะมีสถานะเป็นชายผู้สูงส่ง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังก้มหัวให้กับหลิวเอ้อร์เหนียงหญิงชรานางนั้น
เขาคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยสองประโยคที่ยากจะเข้าใจ ตนมิรู้ความหมายอย่างสิ้นเชิงว่ามันหมายความว่าเยี่ยงไร
“ถ้าหากราษฎรยืนมิได้ เช่นนั้นขุนนางก็จำต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพวกเขา ! ”
“นี่มิใช่ความผิดของพวกเจ้า ทว่าเป็นความผิดของหน่วยงานราชการของต้าเซี่ย ! ”
ขึ้นชื่อว่าขุนนาง… มิใช่ว่าขุนนางทุกราชวงศ์สามารถเหยียบย่ำศีรษะของราษฎรได้เต็มที่หรอกหรือ ?
มิเช่นนั้นเหตุใดถึงได้มีคำกล่าวว่า… คุณค่าใดหรือจะเทียบเท่าการศึกษาหาความรู้ด้วยการร่ำเรียนตำรา ?
ที่ทุ่มเทร่ำเรียนก็มิใช่ว่าเพื่อรับราชการขุนนางหรอกหรือ ?
แล้วขุนนางจะคุกเข่าต่อหน้าราษฎรได้เยี่ยงไรกัน คนที่ขุนนางควรจะคุกเข่าต่อหน้าควรจะเป็นขุนนางตำแหน่งสูงกว่าหรือองค์จักรพรรดิถึงจะถูกต้อง !
คุณชายเยี่ยนผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขากล้าชี้ข้อผิดพลาดของหน่วยราชการต้าเซี่ย !
ทว่าหน่วยราชการจะมีข้อผิดพลาดจริง ๆ หรือ ?
ต่อให้หน่วยราชการทำผิดแต่สามารถเปลี่ยนให้เป็นถูกได้ ส่วนชาวบ้านเยี่ยงพวกตน…ต่อให้ทำถูกก็ยังถูกตัดสินว่าผิดอยู่ดี
นี่แหละที่เขาเอ่ยว่าลมปากขุนนางมิอาจเชื่อถือได้
และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลาย ๆ คนถึงอยากเป็นขุนนาง
คุณชายเยี่ยนผู้นี้ดูเหมือนจะมีการศึกษาดี ทว่าเขากลับมิเข้าใจหลักในการเป็นขุนนาง หากคนนิสัยเยี่ยงเขาไปรับราชการขุนนาง เขาต้องเป็นขุนนางที่ดีมากคนหนึ่งเป็นแน่ แต่เขาก็คงจะเป็นขุนนางที่มีอายุมิยืนยาวอย่างแน่นอน
ซึ่งก็โชคดีที่เขามิได้เป็นขุนนาง
มิเช่นนั้น เขาคงจะมีจุดจบที่น่าอเนจอนาถเป็นแน่
เยี่ยนซีเหวินมิรู้ว่าการที่เขาคุกเข่าลงนั้นจะทำให้หลี่เอ้อร์หนิวคิดไปต่าง ๆ นานา บัดนี้เขาคิดเพียงแค่ว่าใกล้เข้าเดือนสี่แล้ว ถ้าหากยังมิมีเมล็ดพันธุ์ข้าวอีก เกรงว่าจะมิทันเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิเสียแล้ว
บัดนี้เห็นทีจะมีเพียงมันเทศเท่านั้นที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ก็มิรู้ว่าเมื่อฝ่าบาททรงทราบข่าว ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดถึงจะส่งเมล็ดพันธุ์มันเทศมา ถ้าหากส่งมามิทัน…เห็นทีว่าเมืองหวงถางจะต้องวุ่นวายเป็นแน่
จะทำเยี่ยงไรดี ?
จะให้คนตายไปมากกว่านี้อีกมิได้ กรมคลังจะต้องส่งเสบียงมา เพื่อให้พวกเขาประคองชีวิตผ่านปีที่อดอยากขาดแคลนนี้ไปได้
ในขณะที่พวกเยี่ยนซีเหวินกำลังจะเดินไปถึงบ้านของหลิวเอ้อร์หนิว พวกเขาได้เห็นลานบ้านของหลี่เอ้อร์หนิวแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งยังส่งเสียงเอะอะดังมาเป็นระยะ ๆ
“ไอหยา…ชีวิตดีจังเลยนะ มีข้าวขาวให้กินด้วย ! ”
“เจ้าพวกคนเถื่อน เจ้าจงตั้งใจฟังข้าให้ดี ! ข้าเฉียนฉงซู่ยังคงเป็นนายอำเภอของอำเภอเชียนซานแห่งนี้ ! ”
“ที่ว่าการได้ประกาศชัดแล้วว่าการเก็บภาษีข้าวในฤดูร้อนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น นี่เป็นนโยบายของประเทศ พวกเราต่างเป็นราษฎรชาวต้าเซี่ย พวกเราต้องช่วยแบ่งเบาภาระของประเทศชาติ ! ”
“เหตุใดพวกเจ้าถึงกล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ ? หรือพวกเจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้า ? ”
“เจ้าเมืองหยาง ราษฎรภายใต้การดูแลของท่านมิเคารพนโยบายของต้าเซี่ย ! บอกข้ามาสิว่าเขามีนามว่าเยี่ยงไร ? ข้าจะสั่งสอนให้เขารู้จักว่าอันใดคือกฎบ้านกฎเมือง อันใดคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ ! ”
เจ้าเมืองหวงถางรีบชักสีหน้าใส่บุรุษผู้นั้น จากนั้นก็ทำหน้ายิ้มแย้มประจบประแจงพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉียน ใต้เท้าคงมิโกรธเคืองข้าน้อยหรอกนะ เขาเป็นเพียงชาวบ้านที่มิรู้จักที่ต่ำที่สูง บังอาจย้อนท่านใต้เท้า ขอท่านใต้เท้าได้โปรดประทานอภัยด้วยเถิด ! ”
พวกเยี่ยนซีเหวินได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามา เมื่อเห็นนายอำเภอยืนอยู่เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ทว่ามิได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมา
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่า” นายอำเภอเฉียนชี้นิ้วด้วยความเหยียดหยาม “ถ้าหากข้ามิเห็นแก่เจ้าเมืองหยางที่อุตส่าห์ไหว้วอนขออภัยให้เจ้า เจ้าคิดว่าที่ข้าพาทหารมาในวันนี้ข้าพามาเดินเล่นหรือเยี่ยงไร ? ”
นิ้วของเขาชี้ไปมา “มิต้องมาร้องไห้อ้อนวอนขอความเห็นใจจากข้า ! กฎก็คือกฎ ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เมื่อเจ้าทำนาได้ผลผลิต พวกเจ้าก็ต้องจ่ายภาษี ! ”
“ข้าให้เวลาเจ้าเตรียมตัวสิบวัน ถ้าหากผ่านไปสิบวันแล้ว พวกเจ้าแต่ละครัวเรือนยังมิส่งข้าวสำหรับฤดูร้อนมายังที่ว่าการของข้า… บุรุษในครัวเรือนของพวกเจ้าจะถูกส่งไปเป็นทหารทั้งหมด ! ส่วนสตรี…จะถูกส่งไปเป็นนางโลมที่หอนางโลมทั้งหมด ! ”
“เจ้ากล้าเยี่ยงนั้นหรือ… ! ”
“พวกเจ้าเป็นพวกขุนนางโฉดชั่วเอาแต่จะขูดรีดราษฎรตาดำ ๆ เยี่ยงพวกข้า ! ภาษีข้าวฤดูร้อนอันใดกัน เจ้าไปแหกตาดูในนานั่นสิว่ามีต้นข้าวงอกขึ้นมาสักต้นหรือไม่ ? เมล็ดพันธุ์ข้าวของพวกข้าถูกเจ้าขูดรีดไปจนหมดเกลี้ยง พวกเจ้าคิดจะขูดรีดจนมิให้พวกเราได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือเยี่ยงไร ? ” ชายผู้นั้นเดือดดาลขึ้นมา
“บังอาจนักเจ้าคนเถื่อน ! ”
“จับมันมาให้ข้า ข้าจะยัดมันเข้าคุกเสีย ! ”
“ขุนนางโฉดชั่ว ถ้าเจ้ากล้าจับเขา พวกข้าจะเล่นงานเจ้าให้น่วม ! ”
ราษฎรที่รายล้อมพวกเขาเกิดความชุลมุนขึ้นมา แต่ละคนต่างโกรธแค้นและดาลเดือด ทำเอานายอำเภอเฉียนตกใจจนต้องถอยหลังกลับ
“พวกเจ้าคิดจะกบฏเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หัวหน้าทหารซ่ง จัดการพวกมันเสีย สังหารพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ! ”
ทหารนับยี่สิบนายที่ถือไม้ตะบองและสะพายดาบไว้บนหลังกำลังรุดเข้าไปในฝูงชน เยี่ยนซีเหวินจึงแผดเสียงคำรามดังลั่นว่า “หยุดประเดี๋ยวนี้นะ ! ”
ทุกคนต่างชะงักงัน เขารีบเบียดเข้าไปในฝูงชนโดยการอารักขาของจางฉีซาน หลี่เอ้อร์หนิวคว้าชายเสื้อของเขามาได้ “นายท่าน เมื่อตกบนที่นั่งลำบากต้องรู้จักถอยมิยอมเป็นเบี้ยล่าง เจ้าสู้เขามิได้หรอก ! ”
เยี่ยนซีเหวินหันไปมองหลี่เอ้อร์หนิว “เจ้าสบายใจได้ ข้าจะปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม คนพวกนี้ก็มิต่างอันใดจากตัวตลกหรอก”
เมื่อนายอำเภอเฉียนได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองเยี่ยนซีเหวินตาเขม็ง “เจ้าว่าผู้ใดเป็นตัวตลกนะ ? ”
“ข้าเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก เจ้ากล้ากล่าวหาข้าเยี่ยงนี้ นี่ก็เท่ากับว่าเจ้ากำลังต่อว่าโอรสแห่งสวรรค์”
“เสื้อผ้าก็ดูโกโรโกโส เจ้ามิใช่ชาวเซี่ยซานหรอกหรือ ? คิดอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกมันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จางฉีซานส่งสายตาไปให้ทหารอีกสามนาย นายทหารทั้งสามเข้าไปประชิดนายอำเภอเฉียนโดยที่เขามิรู้ตัว
เยี่ยนซีเหวินยืนอยู่ด้านหน้าชาวบ้านเหล่านั้น เข้าจ้องหน้านายอำเภอเฉียนเขม็ง “ถ้าข้าจะสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้พวกเขา แล้วเจ้าจะทำอันใดได้กัน ? ”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้ถึงราคาที่ต้องแลกกับการทำสิ่งนี้ ! ”
“เจ้าคงรู้กฎหมายของต้าเซี่ยดี ! ” รูม่านตาของเยี่ยนซีเหวินพลันหดลง
“เจ้าจะถกกับข้าเรื่องกฎหมายของต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ที่เยวี่ยซานเป่ยเต้าแห่งนี้ ท่านเต้าถายหยุนคือกฎหมาย ! เขตฉงโจว…จือโจวคือกฎหมาย ! ที่อำเภอเชียนซานแห่งนี้ ข้าคือกฎหมาย ! ” นายอำเภอเฉียนยืดคอเอ่ยอย่างจองหอง
“ตอนนี้ข้าจะสั่งสอนกฎหมายของอำเภอนี้ให้พวกเจ้าได้เห็นเยี่ยงไรเล่า ! ”
นายอำเภอเฉียนโบกมือส่งสัญญาณ “ไปเอาตัวมันมา ! ทุบสองขานั่นให้หัก ให้มันคุกเข่าเข้ามาฟังกฎหมายบ้านเมืองนี้ต่อหน้าข้าเสียดี ๆ ! ”
นายทหารทั้งยี่สิบนายรีบรุดเข้าไปหาเยี่ยนซีเหวิน พวกชาวบ้านต่างตกตะลึง และในตอนนั้นเองจางฉีซานก็ได้ยกปืนขึ้นมาเล็ง “ปัง… ! ”
เขาลั่นไกปืนอย่างมิลังเล “เฮือก…” ทหารนายหนึ่งร้องโหยหวน จากนั้นก็ล้มพับไปกองกับพื้น
จางฉีซานลั่นไกปืนอย่างใจเย็นอีกครา ทหารคนที่สองตกตายคาที่ ส่วนอีก 18 คนที่เหลือต่างก็ตกใจขวัญกระเจิงจนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เฉียนฉงซู่ตื่นตกใจกระสุนสองนัดนี้จนมือไม้อ่อนแรง
เขาคาดมิถึงว่าคนพวกนี้จะมีปืน !
“เจ้า… พวกเจ้า…เป็นผู้ใดกันแน่ ? ”
มิทันสิ้นเสียง ทหารรักษาการณ์ทั้งสามนายก็ผลักเขาให้ล้มลง จับสองมือไขว้หลังพลางกดเขาให้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“เจ้ากล้าโจมตีขุนนางของราชสำนักอย่างเปิดเผย เจ้า…หากมีอันตรายเกิดขึ้นกับข้า ท่านใต้เท้าจงย่อมฆ่าล้างบางพวกเจ้าเป็นแน่ ! ”
เยี่ยนซีเหวินหรี่ตามองเขา เเล้วเอ่ยสั่งอย่างเรียบเฉยว่า “หักขามันเสีย ! ” ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชาวบ้านที่มายืนมุงดู
“แคร่ก ! ” ทหารนายหนึ่งเหยียบขานายอำเภอเฉียนจนเขาล้มลงไป “อ้าก… ! ” เฉียนฉงซู่ร้องเสียงหลง
“ถอดชุดขุนนางของมันทิ้งเสีย มันเหยียบย่ำชุดนี้จนป่นปี้ ! ”
เฉียนฉงซู่เหงื่ออาบท่วมร่าง และเพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่า ตนโดนเล่นงานเข้าแล้ว “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ! ”
“เจ้ามิคู่ควรที่จะได้รู้หรอก ! ”