นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1249 สถานการณ์
ตอนที่ 1249 สถานการณ์
ไป๋ยู่เหลียนนำกองนาวิกโยธิน 3,000 นายเคลื่อนทัพทั้งวันทั้งคืนมาจนถึงอำเภอเชียนซานในที่สุด
พวกเขามิหยุดพักและมิได้เข้าไปในอำเภอเซียนชาน แต่กลับเลือกที่จะอ้อมไปยังทิศที่ตั้งของภูเขาชูหยุน
ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบคำสั่งเร่งด่วนให้แก่เขา เสนาบดีเยี่ยนได้แฝงตัวเข้ามาอาศัยอยู่ในอำเภอเชียนซาน ขณะนี้เขาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยซานในเมืองหวงถาง !
เจ้าหมอนั่นได้บุกปล้นข้าวในโกดังของอำเภอเซียนซานออกมาจนหมดเกลี้ยง มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะตกเป็นเป้าสายตาของจงสือจี้จือโจวของฉงโจวแห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นกังวลว่าจงสือจี้จะกลายเป็นสุนัขจนตรอกแล้วทำบางอย่างที่เป็นภัยต่อเยี่ยนซีเหวิน ไป๋ยู่เหลียนจึงมิกล้าประมาท หากเสนาบดีของต้าเซี่ยถูกจงสือจี้จับไปเป็นตัวประกัน เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี
ขุนนางจากกรมขุนนางและกรมราชทัณฑ์โดยสารรถม้ามาที่นี่ คาดว่าอีกสองสามวันก็น่าจะเดินทางมาถึง ก่อนที่จงสือจี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ
“ทหาร รีบเดินทางเร็วเข้า เมื่อข้ามภูเขาชูหยุนลูกนี้ไปได้ พวกเราก็จะถึงที่หมาย ! ”
……
……
ขบวนรถของจงสือจี้ได้ข้ามภูเขาชูหยุนมาแล้ว
กองทหารท้องถิ่นล่วงหน้าพวกเขาไปเพียงมิกี่ก้าวเท่านั้น ทว่าพวกเขาก็เลือกที่จะหยุดอยู่บริเวณเชิงเขามิได้เดินหน้าเข้าไปยังหมู่บ้านเซี่ยซาน
หยางเว่ยเจ้าเมืองหวงถางได้ส่งทหารยามขึ้นภูเขาไปสังเกตลาดเลา เมื่อเห็นกองทัพทหาร พวกเขาจึงห้อตะบึงกลับมารายงานข่าวด้วยความหวาดกลัวทันใด
หยางเว่ยตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขารีบร้อนเดินทางออกจากเมืองหวงถางแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านเซี่ยซานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
บัดนี้จงสือจี้ได้ลงจากรถม้าเพราะถนนบนภูเขาแห่งนี้ทั้งแคบและขรุขระ
“จะว่าไปแล้วข้าเป็นจือโจวอยู่ที่นี่ตั้งหลายปี ทว่าข้ามิเคยเดินทางมาที่นี่เลยสักครา”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาพลางเอ่ยว่า “อีกฝากหนึ่งของภูเขาก็สดใสอยู่หรอก ทว่าพอมาถึงฝั่งนี้ฝนกลับตกเสียอย่างนั้น”
“ภูเขาลูกเดียวกันทว่าสภาพอากาศกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“คล้ายกับภูเขาฉินหลิงมิน้อย”
“นายท่าน ท่านยังจำภูเขาฉินหลิงได้อยู่อีกหรือขอรับ ? ” จงถังผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่ได้โน้มตัวลงเอ่ยถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว ภูเขาฉินหลิงเป็นพื้นที่ยากจนอยู่แล้วเดิมที ทว่าตอนที่ต้าเซี่ยถูกสถาปนาขึ้นมาในตอนแรกทางสายเก่าจินหนิวก็ถูกขยายให้กว้างและทำให้เรียบขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทางสายเก่าจินหนิวก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นและกลายเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญของหยูโจวในเจียงหนานเต้าเยี่ยงไรเล่า”
“แม้แต่เมืองเปาเฉิงก็พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ว่ากันว่าทุกวันนี้เมืองเปาเฉิงก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากโขเลยล่ะ”
“แท้ที่จริงถนนบนภูเขาชูหยุนนี้ก็พอจะทำให้ดีขึ้นได้…”
เขาเอ่ยประโยคนั้นมิจบ เพราะมิรู้ว่าควรจะเอ่ยต่อเยี่ยงไรดี
หากตนมาที่นี่ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ บางทีตนอาจจะตัดถนนเส้นนี้จนเสร็จแล้วก็เป็นได้
ทว่าบัดนี้…เขาจะมีกะจิตกะใจคิดถึงเรื่องนี้ได้เยี่ยงไรกัน
“ไปกันเถิด ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้วสิ กว่าจะถึงหมู่บ้านเซี่ยซานก็เกรงว่าจะค่ำมืดพอดี”
……
……
ณ บ้านของหลี่เอ้อร์หนิวในหมู่บ้านเซี่ยชาน
“นายท่านเยี่ยน นายท่านเยี่ยน…”
เยี่ยนซีเหวินเดินออกมาจากห้องโถง “เจ้าเมืองหยาง มีเรื่องเร่งด่วนใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิได้การแล้ว นายท่านเยี่ยน” หยางเว่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “ทหารท้องถิ่น ทหารท้องถิ่นมากันแล้วขอรับ ! ”
เยี่ยนซีเหวินผงะตกใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “ทหารท้องถิ่นเยี่ยงนั้นหรือ ? หมายความว่าเป็นทหารที่จงสือจี้ จือโจวของที่นี่ส่งมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ขอรับ ! มิผิดเป็นแน่ มีเพียงจือโจวเท่านั้นที่มีอำนาจเคลื่อนย้ายทหารได้ ! ”
“พวกเขามีจำนวนเท่าใด ? ”
“ราวสามถึงห้าพันคนขอรับ ! ”
“อืม…บัดนี้พวกเขาอยู่ที่ใดกัน ? ”
“อยู่ที่เชิงเขาชูหยุนนี่เองขอรับ”
“ยังมิมาที่นี่อีกหรือ ? ”
“…ยังขอรับ เหมือนว่า…เหมือนว่ากำลังรออันใดบางอย่างอยู่”
“นายท่านเยี่ยน พวกเขาจะต้องยกทัพมาเพราะเรื่องที่ท่านบุกปล้นข้าวในโกดังเป็นแน่ หรือว่า…พวกเราจะเข้าไปหลบบนภูเขาดีหรือไม่ ? ”
“หลบได้แค่มิกี่วันเท่านั้นแหละ ถ้าพวกเขาเลือกที่จะพำนักอยู่ที่นี่มิเคลื่อนทัพออกไป พวกเรามิต้องติดอยู่บนภูเขาจนตายเลยหรือ ! ” เยี่ยนซีเหวินหัวเราะร่า
“มิเป็นไรหรอก ฉีซาน ! ”
“ขอรับ ! ”
“บอกคนอื่น ๆ ให้เตรียมปืนและกระสุนให้พร้อม ถ้าหากทหารท้องถิ่นกล้าย่างกรายเข้ามา…จงสังหารสถานเดียว ! ”
“รับทราบขอรับ ! ”
จางฉีชานมอบหมายงานให้ลูกน้อง จากนั้นก็หันไปมองหยางเว่ยพลางเอ่ยว่า “เจ้าพาชาวบ้านไปหลบบนภูเขาก็แล้วกัน เรื่องนี้ข้าเป็นต้นเหตุ ข้าจะรับผิดชอบจัดการมันเอง”
“ข้ามิไป เจ้าเมืองหยาง เจ้าจงไปเอ่ยถามว่ามีชาวบ้านกี่คนที่ยอมไป จากนั้นท่านก็พาพวกเขาไปซ่อนตัวเถิด ส่วนคนที่มิยอมไป…ก็ให้พวกเขาขนเคียวขนพลั่วมาที่บ้านของข้า ! ” หลี่เอ้อร์หนิวเอ่ยออกมา
“ข้าทนมามากพอแล้ว ที่ท่านเยี่ยนทำลงไปก็เพื่อพวกเราทุกคน ครานี้ต่อให้ต้องสละชีวิตข้าก็ยอม เพื่อที่จะไล่ตะเพิดทหารพวกนั้นออกไปจากหมู่บ้านเซี่ยซานของพวกเรา ! ”
หยางเว่ยอับจนหนทางเลยได้แต่รับปาก “ก็ได้ ! เยี่ยงนั้นข้าจะไปสอบถามทุก ๆ ครัวเรือน”
สองชั่วยามหลังจากนั้น คนที่เดินทางมาที่บ้านของหลี่เอ้อร์หนิวมากขึ้นเรื่อย ๆ
คนพวกนี้ล้วนเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านเซี่ยซานทั้งสิ้น เยี่ยนซีเหวินคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดี เมื่อกวาดสายตามองก็รู้ได้ทันทีว่ามิมีผู้ใดยอมไปซ่อนตัวเลยสักคน แม้แต่เด็กและสตรีก็ยังมาเข้าร่วมการรวมตัวครานี้
พวกนางมิได้มีอาวุธอันใด ในมือมีเพียงไม้กวาดและไม้กระบองเท่านั้น
“เฮ้อ…” เยี่ยนซีเหวินส่ายศีรษะไปมา
เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่าฝั่งตนมีทหารเพียงแค่ 11 คนกับปืนแค่ 11 กระบอกเท่านั้น คงจะต้านทานพวกเขามิไหวเป็นแน่
ศึกครานี้ก็คงจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
แม้องครักษ์ของเขาจะเป็นอดีตทหารนาวิกโยธินที่มีความสามารถในการรบสิบต่อหนึ่ง ทว่าพวกเขาก็มิสามารถต่อสู้กับผู้คนมากมายถึงเพียงนั้นได้
เขามิได้โน้มน้าวให้ชาวบ้านพวกนั้นหนีไป
เพราะนี่จะเป็นศึกเพื่อปกป้องหมู่บ้านของพวกเขา !
พวกเขาต้องเผชิญกับศึกแบบนี้ หลังจากที่ชนะศึกครานี้แล้วพวกเขาถึงเข้าใจว่าตนเองมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะปกป้องครอบครัวของตนเอง
นี่เป็นการใช้เลือดเนื้อทำให้เกิดการตระหนักรู้ เมื่อต้องแลกด้วยเดิมพันที่หนักหนา ลูกหลานเหลนโหลนของเขาย่อมเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ได้เอง
ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องมิขาดสาย
ชาวบ้านมายืนเบียดกันแน่นขนัดที่บ้านของหลี่เอ้อร์หนิว ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นกลับเงียบเชียบไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด
ชาวบ้านรู้ดีว่านี่จะเป็นศึกที่รุนแรงอีกคราหนึ่ง พวกเขารู้ดีว่าต่อให้ฝ่ายตนชนะก็จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น เพราะต่อไปทหารก็จะกรูเข้ามามากขึ้นไปอีก
เมื่อถึงตอนนั้นก็คงอยู่ในหมู่บ้านเซี่ยชาน เมืองหวงถางเเห่งนี้มิได้อีกต่อไปแล้ว
แม้จะรู้อยู่เต็มอกแต่ก็มิมีผู้ใดยอมถอนกำลังออกไป เพราะมันมิมีหนทางใดให้ถอยอีกแล้ว
เมื่อยามอาทิตย์อัสดง
สิ่งที่พวกเขารอนั้นมิใช่ทหารท้องถิ่นที่เข้ามาห้อมล้อม แต่กลับเป็นหนึ่งขบวนแทน
จงสือจี้พาองครักษ์ติดตัวมาด้วย 2 คน เขาเดินเข้ามาที่ลานบ้านของหลี่เอ้อร์หนิว เขายืนในลานบ้าน จ้องมองฝูงชนที่ยืนอยู่ใต้หลังคา เขาเห็นเยี่ยนซีเหวินยืนอยู่ด้านหน้าสุด !
เป็นเยี่ยนซีเหวินจริง ๆ ด้วยสินะ !
เยี่ยนซีเหวินมองเห็นจงสือจี้แล้วเช่นกัน ทั้งสองมิได้พบกันมานานหลายปี คราหนึ่งเคยพบกันเมื่อครายังหนุ่มที่เมืองจินหลิง บัดนี้เขามีหนวดเครายาวเฟื้อยแล้ว เขามิมีความทะเยอทะยานของคนหนุ่มสาวอีกต่อไป ทว่าก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมากโข
“ข้าน้อยจงสือจี้จือโจวแห่งฉงโจวขอคารวะท่านเสนาบดีเยี่ยน ! ”
จงสือจี้ยกชายเสื้อขึ้นมา จากนั้นก็คุกเข่าต่อหน้าเยี่ยนซีเหวิน !
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของต้าเซี่ยในปัจจุบันนี้ ยกเลิกพิธีคุกเข่าคารวะมานานมากแล้ว ทว่าจงสือจี้ยังคงยึดถือธรรมเนียมนี้อยู่
เขาคุกเข่าลงโดยที่มิแยแสโคลนที่เปียกแฉะเลยแม้แต่น้อย
ชาวบ้านทุกคนต่างตื่นตกใจมากยิ่งนัก ท่านผู้นี้คือจือโจวแห่งฉงโจวเยี่ยงนั้นหรือ ?
สายตาของพวกเขาย้ายจากจงสือจี้มาที่เยี่ยนซีเหวิน…ท่านผู้นี้คือเสนาบดีเยี่ยนเยี่ยงนั้นหรือ ?
เสนาบดีเยี่ยนนี่มันตำแหน่งอันใดกัน ?
แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าตำแหน่งของนายท่านเยี่ยนนั้นสูงกว่าตำแหน่งของจือโจว !
ที่แท้นายท่านเยี่ยนก็เป็นขุนนางในราชสำนักนี่เอง !
เยี่ยนซีเหวินยังคงนั่งอยู่ดังเดิม เขาจ้องมองจงสือจี้ที่นั่งตากฝน เขาจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน
“แท้ที่จริงเจ้ามิควรมา”
“ข้าน้อยมาช้าไป ขอใต้เท้าเยี่ยนได้โปรดอภัยความผิดนี้ด้วยเถิด ! ”
“ความผิดของเจ้ามิได้อยู่ที่มาช้าไปหรอก แต่อยู่ที่…ชาวบ้านที่มิมีเครื่องนุ่งห่มเพียงพอและมิได้กินข้าวจนอิ่มท้องเหล่านี้ต่างหาก ! ”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จึงอยากขอโอกาสใต้เท้าเยี่ยนให้ข้าได้ปรับปรุงตนเองใหม่อีกครา ! ”
เยี่ยนซีเหวินหรี่ตามองแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “เพราะข้ามิให้โอกาสเจ้าได้ปรับปรุงตนเองใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้พาทหารหลายพันนายมาสังหารข้า ! ”
“ข้าน้อยมิกล้า ! ข้าน้อยได้นำของขวัญมาให้ท่าน ขอท่านเยี่ยนได้โปรดรับด้วยเถิด ! ”
“ไอหยา..ไหนเอามาให้ข้าดูสิ”