นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1253 เมืองหลวง
ตอนที่ 1253 เมืองหลวง
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่สาม เดือนหก วันที่ยี่สิบหก
ช่วงต้นฤดูร้อน เมืองฉางอันมิได้ร้อนเท่าใดนัก ทว่าบัดนี้เมืองฉางอันกลับกำลังอยู่ในสภาวะเดือดปุด ๆ นั่นเป็นเพราะหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยฉบับล่าสุด…
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยได้รายงานคดีทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งสองเต้าของเขตเยวี่ยซาน อีกทั้งยังรายงานปัญหาการปกครองอันร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเยวี่ยซานเป่ยเต้าและจิงตงซีเต้า
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดที่จะปกปิดเรื่องฉาวโฉ่นี้เอาไว้ เขาเลือกที่จะเปิดเผยให้ราษฎรได้รับรู้
ขุนนางจำนวนมิน้อยของต้าเซี่ยอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อติดตามข่าวสารเป็นประจำ ทว่าเมื่ออ่านฉบับนี้จบก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ พวกเขาเพิ่งได้รู้ในตอนนั้นเองว่าต้าเซี่ยยังมีพื้นที่ยากจนและล้าหลัง และเพิ่งได้รู้ว่ายังมีขุนนางที่คดโกงและทำผิดกฎหมายหลงเหลืออยู่
พวกขุนนางโฉดชั่ว !
ขุนนางในสายตาของราษฎรส่วนใหญ่ถูกมองว่ามีความโปร่งใส พวกเขารู้สึกได้ถึงความขาวสะอาด ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ขุนนางทุกคนต่างมีความทุ่มเทที่จะบริการประชาชนอย่างเต็มที่
ขุนนางสวะพวกนี้มันมิต่างอันใดจากฉี่หนูที่หวังจะทำให้หม้อข้าวใหญ่ของต้าเซี่ยเน่าเสีย !
โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีสติปัญญาปราดเปรื่อง โชคดีที่ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรที่เฉียบแหลม โชคดีที่พวกเสนาบดีเยี่ยนเข้าไปสำรวจและรวบรวมหลักฐาน พวกเขามองหนูเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คาดว่าเรื่องนี้จะต้องสะเทือนวงการขุนนางเป็นแน่ นี่คงจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อเป็นการขีดเส้นตายให้ขุนนางทั้งต้าเซี่ยได้เห็นเป็นประจักษ์
และนี่ย่อมเป็นเรื่องดี !
เมื่อมีตัวอย่างให้เห็น ขุนนางคนอื่น ๆ ที่คิดจะทุจริตก็อาจจะเกิดความลังเลขึ้นมาบ้าง
“ได้ยินมาว่าค้นพบทองคำและเงินจำนวนนับมิถ้วนที่เรือนของเต้าถายเหยียนซีไป๋ และจือโจวของฉงโจวนามว่าจงสือจี้…”
“ข้าล่ะมิเข้าใจจริง ๆ พวกเขาทุจริตเพื่ออันใดกัน ? ”
“เจ้ามิมีทางเข้าใจหรอก อย่างพวกเขาน่ะเรียกว่าโชคดี ! ถ้าหากเสนาบดีเยี่ยนมิได้ตรวจพบเล่า ? ถ้าหากว่าฝ่ายตรวจการมิได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติเล่า ? เงินทองตั้งมากมายถึงเพียงนั้นเพียงพอที่จะเลี้ยงลูกหลานของพวกเขาไปได้หลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว ! ”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก พวกเขาจะปิดบังฝ่าบาทได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าว่านะ…เช่นนี้เขาเรียกว่าโลภมากมิรู้จักพอมากกว่า ตอนนี้ดีขึ้นเเล้ว พวกเขาได้รับผลกรรมที่ก่อเอาไว้แล้ว สูญเสียเพียงชีวิตเดียวมันมิใช่เรื่องสาหัสอันใดหรอก แต่เกรงว่านามของพวกเขาจะถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ต้าเซี่ยเพื่อย้ำเตือนคนรุ่นหลัง ! ”
“ว่ากันว่ารถคุมขังจงสือจี้จะเดินทางมาถึงเมืองฉางอันในยามอู่ของวันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นี่ ๆ ๆ เกรงว่าพวกเจ้าจะยังมิรู้ว่าท่านใต้เท้าจงผู้นี้เคยเป็นสหายของฝ่าบาท ! ทั้งยังลือกันว่าพี่เขยใหญ่ของเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพของกองทัพบกต้าเซี่ยอีกด้วย ! ”
“จริงหรือ ? มิแปลกใจเลยที่เขากล้าโกงกิน ที่เเท้ก็มีเบื้องหลังตระกูลเยี่ยงนี้นี่เอง ! ”
“เบื้องหลังตระกูลเช่นนี้จะไปมีประโยชน์กับผีอันใดเล่า เพราะเยี่ยงไรเสียฝ่าบาทก็ยังเล่นงานเขาอยู่ดี ! ข้าคิดว่า…ใต้เท้าจงผู้นี้ คงจะมีจุดจบที่อเนจอนาถยิ่งนัก เพราะเขาได้ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”
“ไป ๆ ๆ พวกเราไปดูสถานการณ์ที่ประตูเมืองกันเถิด ข้าอยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่าใต้เท้าจงผู้นี้มีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ! ”
“……”
โรงน้ำชาและร้านสุราทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างก็หยิบยกเรื่องนี้มาสนทนากัน ราษฎรหลายคนถึงกับเดินทางไปยังประตูเมืองเพื่อรอดูขุนนางโฉดชั่วที่อยู่ในรถคุมขัง
นี่ถือเป็นเรื่องใหม่ อย่างน้อยก็ยังมิเคยเกิดขึ้นในรัชสมัยของฝ่าบาทพระองค์นี้
บัดนี้ทหารนาวิกโยธินและรถคุมขังได้เดินทางมาถึงนอกเมืองฉางอันแล้ว
ไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้บังคับม้าที่ลากรถคุมขังของจงสือจี้ เขาหันไปมองจงสือจี้ในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “นี่คือเมืองฉางอัน เจ้าอยากจะดูสักหน่อยหรือไม่ ? ”
“ดูเอาไว้ให้มาก แล้วจำเอาไว้ในสมอง ข้าคิดว่านี่จะเป็นคราสุดท้ายที่เจ้าจะได้เห็นมันแล้วล่ะ”
จงสือจี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงสุริยาที่ส่องกระทบใบหน้าค่อนข้างจ้าไปสักหน่อย เขาหรี่ตาลงพลางจ้องมองไปยังเมืองที่ไร้กำแพงทว่าดูใหญ่โตโอ่อ่ามากยิ่งนัก
ที่นี่คือเมืองฉางอัน
และที่นี่เคยเป็นเมืองว่อเฟิงมาก่อน
สถานที่แห่งนี้มิมีเค้าลางของเมืองว่อเฟิงหลงเหลืออีกต่อไป มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
มันดูทันสมัยมิต่างอันใดจากต้าเซี่ย !
เมื่อแสงสุริยาสาดกระทบอาคารสูงก็พลันขับความมีชีวิตชีวาส่องประกายออกมา ราวกับต้องการจะบอกว่านี่แหละอนาคตอันรุ่งเรืองของต้าเซี่ย
“มันสวยมากจริง ๆ ! ”
“มันต้องสวยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะฝ่าบาททรงออกแบบด้วยพระองค์เอง”
“…ท่านแม่ทัพไป๋ เมื่อถึงกรมราชทัณฑ์เเล้ว ถ้าหากฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะสืบสวนข้า ข้าจะขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้หรือไม่ ? ”
“เจ้าอยากไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างมีเกียรติเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่เยี่ยงนั้นหรอก” จงสือจี้ส่ายศีรษะ “ข้าเกรงว่าหากไปเข้าเฝ้าในสภาพแบบนี้มันจะเป็นที่อุจาดในสายพระเนตรของฝ่าบาทน่ะ”
“ได้สิ ! จงสือจี้ บัดนี้เจ้าสำนึกในสิ่งที่เจ้าได้กระทำลงไปแล้วหรือยัง ? ยิ่งฝ่าบาททรงเกลียดเจ้ามากเท่าใด มันสามารถอธิบายได้ว่าพระองค์ทรงคาดหวังในตัวเจ้ามากเท่านั้น น่าเสียดายจริง ๆ… เจ้ากับฝ่าบาทมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าควรจะมีอนาคตที่สดใสมากกว่านี้”
“ถ้าหากเจ้าทำคะแนนบริหารได้ดี สักวันหนึ่งเจ้าอาจจะกลายเป็นเต้าถายหรืออาจจะได้เข้ามาเป็นขุนนางในศูนย์กลางอำนาจที่เมืองฉางอันก็เป็นได้”
“ทว่าเจ้า…” ไป๋ยู่เหลียนส่ายศีรษะช้า ๆ “ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญแก่มิตรสหายเป็นอย่างยิ่ง และเจ้าก็เป็นมิตรสหายคนหนึ่งในพระทัยของพระองค์ ทว่าเจ้ากลับคว้าเอามีดกรีดลงตรงกลางพระทัยของฝ่าบาท เจ้า…เจ้าคือคนที่ลืมรากเหง้าของตนเอง ! ”
จงสือจี้เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เขาหรี่ตามองท้องนภาสีฟ้าคราม แสงสุริยาสว่างจ้าจนมิอาจมองไปตรง ๆ ได้
“ข้าผิดไปแล้ว ทว่าบัดนี้มันสายเกินไปเสียแล้ว ข้ารู้ดีว่าเยี่ยงไรวันนี้ก็ต้องมาถึง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงหวาดวิตกอยู่เสมอ ถึงขั้นที่ทำให้ข้านอนฝันร้ายเป็นประจำ แม่ทัพใหญ่ไป๋ เจ้าคงมิรู้ว่าการนั่งในรถคุมขังนี้ยังรู้สึกมั่นคงกว่าตอนที่ข้านั่งเก้าอี้จือโจวเสียอีก”
“ข้ารู้ดีว่าชีวิตของข้าจะพบจุดจบในเร็ว ๆ นี้ ข้าคงมิบังอาจอ้อนวอนขออภัยโทษต่อฝ่าบาท เพราะสิ่งที่ข้าทำต่อให้ตายเป็นร้อยพันครั้งมันก็ยังชดใช้บาปมิหมด ข้ารู้สึกว่าตนเองมิคู่ควรต่อองค์ฝ่าบาท รู้สึกมิคู่ควรต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ รู้สึกมิคู่ควรต่อความคาดหวังของพระองค์”
“ตลอดทางมานี้ข้าคิดอยู่เสมอว่า ถ้าหากมิได้พบกับพระองค์บนทางสายเก่าจินหนิวในวันนั้น บัดนี้จงสือจี้จะเป็นเช่นไร ? ”
“บางทีข้าอาจจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเปาเฉิง แต่งงานกับเซียงหาน จากนั้นก็ไปสอบขุนนางที่เมืองจินหลิง หากสอบมิผ่าน ข้าก็คงจะอยู่กับเซียงหานที่เมืองเปาเฉิงตลอดชีวิต…แม้จะเรียบง่ายแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข”
“ดังนั้น…นี่แหละที่เขาเรียกว่าโชคชะตา”
“ถ้าหากข้าทุ่มเทเพื่อสังคม บริการราษฎรอย่างแข็งขัน บางทีตอนนี้ข้าอาจจะได้มาอาศัยอยู่ในเมืองอันงดงามแห่งนี้ก็เป็นได้”
“หลังจากเสร็จงานก็อาจจะแวะไปดื่มสุรากับพวกหยุนซีเหยียนเป็นครั้งครา ไปฟังเพลงที่หอนางโลม เล่นหมากรุกหรือดื่มชา”
“แน่นอนว่าเส้นทางนี้ย่อมดีที่สุด ทว่าน่าเสียดายที่ข้าจะต้องตายไปทั้งอย่างนี้ เรื่องนี้มิอาจโทษใครได้ แม้แต่โชคชะตาก็มิอาจโทษได้ ทำได้เพียงโทษตัวข้าเองเท่านั้น”
ไป๋ยู่เหลียนยิ่งฟังเงียบ ๆ เขามิได้เอ่ยอันใดต่ออีก เพราะเอ่ยไปก็มิมีประโยชน์อันใด
ขบวนได้เดินทางมาถึงประตูเมืองทางเหนือ ราษฎรเบียดเสียดกันแน่นขนัดทั้งสองข้างทาง พวกเขาต่างมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ พวกเขาสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ ทั้งยังชี้ไม้ชี้มือมายังรถคุมขัง
จงสือจี้โพล่งหัวเราะออกมา
เขารู้สึกว่าตนเองมีสภาพมิต่างอันใดจากลิงตัวหนึ่ง
เดิมทีตนควรแต่งองค์ทรงเครื่อง ดูเที่ยงตรงโปร่งใส เดินเข้าเมืองฉางอันอย่างมั่นใจเยี่ยงวีรบุรุษ
ทว่าบัดนี้ ตนกลับกลายเป็นลิงซึ่งเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ในสายตาของคนอื่นไปเสียแล้ว !