นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1254 สัญญาณเตือนภัย
ตอนที่ 1254 สัญญาณเตือนภัย
ณ ห้องทรงพระอักษร
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนาถึงเรื่องแผนพัฒนาชุมชนต่อจากนี้กับเยี่ยนซีเหวินและหยุนซีเหยียน หลิวจิ่นเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาโน้มตัวลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท…จงสือจี้ถูกคุมตัวมาถึงกรมราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยว่า “พาเขาเข้ามาหาข้าสิ ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท เรือนร่างของเขาสกปรก ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง เขาไหว้วานให้แม่ทัพใหญ่ไป๋พาเขาไปอาบน้ำ พระองค์ทรง…”
“อ่า…เช่นนั้นก็พาเขาไปอาบน้ำพร้อมกับเปลี่ยนชุดใหม่ให้เขาเถิด ให้เขาได้เข้ามาหาข้าอย่างมีเกียรติ”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวจิ่นเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปหาอู๋เทียนซื่อแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หากวันใดวันหนึ่ง เสนาบดีที่เจ้าโปรดปรานกระทำความผิด ทั้งยังผิดมหันต์ ผิดจนสมควรถูกประหาร ดังนั้นเจ้าจะยังให้อภัยเขาเพราะโปรดปรานในตัวเขาหรือไม่ ? ”
“เจ้ามิต้องรีบตอบพ่อหรอก เจ้าจงพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน”
อู๋เทียนซื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ครุ่นคิดในใจว่าข้ามิได้โปรดปรานเสนาบดีคนใดเลย พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเสนาบดีที่เสด็จพ่อทรงเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเองมิใช่หรือ ?
เขามิอาจเข้าถึงสถานการณ์นั้นได้ จึงทำได้เพียงจินตนาการเท่านั้น ดังนั้นคำถามนี้จึงเป็นคำถามที่ตอบได้ยากสำหรับเขา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าหารือกับเยี่ยนซีเหวินและหยุนซีเหยียนต่อ มินานนัก… หลิวจิ่นก็ได้พาตัวจงสือจี้เข้ามา
จงสือจี้เข้ามาในสภาพสวมกุญแจมือและโซ่ตรวน เขายืนอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น
“กระหม่อมคนบาปจงสือจี้ ถวายบังคมฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิแม้แต่จะชายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นอู๋เทียนซื่อที่จ้องมองเขาด้วยสายตาตกตะลึง
“ข้าคิดว่าจะย้ายชืออีหมิงไปรับตำแหน่งเต้าถายที่เยวี่ยซานเป่ยเต้า และให้ฟางเหวินซิงเข้ารับตำแหน่งเต้าถายที่เยวี่ยซานหนานเต้า ส่วนตำแหน่งจือโจวก็ให้เลื่อนขั้นนายอำเภอจากแต่ละเต้าเข้ารับตำแหน่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองเยี่ยงเจียงหนานซีเต้าหรือที่จิงหูเป่ยเต้าก็ให้เลื่อนขั้นมากหน่อย”
“ชืออีหมิงกับฟางเหวินซิงปฏิบัติหน้าที่จือโจวได้ดีเยี่ยม ผลประเมินจากกรมขุนนางและฝ่ายตรวจการอยู่ในเกณฑ์ดีเลิศมาตลอดสองปี ดูจากประสบการณ์ของพวกเขาแล้ว พวกเขาน่าจะบริหารทั้งสองเต้านี้ได้ดี”
“พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ พวกเจ้าสามารถเสนอชื่อมาได้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดก็ต้องผ่านคณะรัฐมนตรีอยู่ดี”
จงสือจี้ที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าลง เมื่อได้ยินสองชื่อนี้ก็ตกใจขึ้นมาทันพลัน เพราะทั้งสองล้วนเป็นคนรู้จักของตน !
จะว่าไปแล้วชืออีหมิงนั้นมุ่งร้ายต่อฝ่าบาทเมื่อครายังอาศัยอยู่ในเมืองจินหลิง
ตั้งแต่ที่ตระกูลชือได้ร่วงลงจากอำนาจเพราะเข้าไปเกี่ยวพันกับกบฏเซวี๋ยติ้งชาน ฟู่เสี่ยวกวนคือคนที่เข้าไปช่วยซืออีหมิงออกมาจากคุกใหญ่ของกรมราชทัณฑ์
ทว่าบัดนี้เขากลับได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทให้เข้ารับตำแหน่งขุนนางใหญ่โตในระดับท้องถิ่น !
ถ้าหากตนมิได้กระทำความผิดเหล่านี้ ถ้าหากตนมิได้ร่วมมือกับเหยียนซีไป๋เพื่อกระทำเรื่องเลวทรามเหล่านี้ ตำแหน่งเต้าถายประจำเยวี่ยซานเป่ยเต้าจะต้องตกเป็นของตนอย่างแน่นอน !
แต่ชีวิตจริงมิมีคำว่า…ถ้าหาก ทั้งหมดนี้ควรกล่าวโทษตนเองที่มิรักดี
เขามิกล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง มีเพียงหยุนซีเหยียนเท่านั้นที่มองมาที่เขา เพราะเยี่ยงไรเสียทั้งสองก็เคยสอบเอินเคอในปีเดียวกัน อีกทั้งยังเคยร่วมกินหม้อไฟด้วยกันอีกด้วย
เวลาหลายปีผ่านไป…
ผู้ใดจะคาดคิดว่าเรื่องจะลงเอยเช่นนี้
โชคชะตากลั่นแกล้งกันชัด ๆ
หยุนซีเหยียนหยุดคิดถึงเรื่องราวในอดีต เขาจะมิร้องขอให้ฝ่าบาททรงเห็นใจสหายเก่าคนนี้ เพราะสิ่งที่เจ้าหมอนี่ได้กระทำมันเลยเถิดไปไกล เขาบังอาจคิดจะสังหารเสนาบดีเยี่ยน !
ความผิดนี้มิอาจนิรโทษกรรมได้
จากท่าทีของฝ่าบาทที่มิยอมชายตาไปมองเขาเลยสักครา เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่า…มิว่าเทพเจ้าองค์ใดก็มิอาจช่วยเหลือเขาได้
“กระหม่อมขอเสนอชื่อเหอเชิงอันกับหวงเฉิงสองคนนี้พ่ะย่ะค่ะ เหอเชิงอันสอบเอินเคอปีเดียวกันกับกระหม่อม กระหม่อมสอบได้อันดับที่หนึ่ง ส่วนเขาสอบได้อันดับที่สอง !
“เหอเชิงอันเคยถูกฝ่าบาทส่งไปยังอำเภอหลานหลิงในว่อเฟิงเต้า เขาคือผู้ที่จัดการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าประจำอำเภอหลานหลิง และจัดการในส่วนของการขุดแม่น้ำขนส่งหนานเป่ยเช่นกัน”
“เขาทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่อพระองค์เสด็จจากไป ผนวกกับความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดในสมัยราชวงศ์หยู ทำให้การก่อสร้างครานั้นหยุดชะงักลง”
“ในช่วงแรกของการก่อตั้งต้าเซี่ย เหอเชิงอันถูกย้ายไปยังอวี้โจวในต้าหลี่เป่ยเต้าเพื่อเข้ารับตำแหน่งจือโจว ผลการประเมินจากกรมขุนนางและฝ่ายตรวจการล้วนอยู่ในระดับดีเลิศ คนที่มีความสามารถย่อมถูกแนะนำแม้จะมิใช่คนสนิทชิดใกล้ก็ตาม แม้ว่าเจ้าหมอนี่จะมิใช่คนสนิทของกระหม่อม แต่กระหม่อมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะเข้ารับตำแหน่งนี้”
“ส่วนหวงเฉิงผู้นั้น จากความเห็นของกระหม่อม กระหม่อมคิดว่าที่ฉินโจวนั้นสบายจนเกินไป ควรจะเพิ่มภาระความรับผิดชอบให้เขามากกว่านี้สักหน่อย โดยส่งเขาไปยังเยวี่ยซานเต้า ให้เขาได้ลิ้มรสชาติการเป็นขุนนางในพื้นที่ทุรกันดารเสียบ้าง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ได้ ! เพิ่มนามของทั้งสองคนลงไปด้วย ซีเหวิน…เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“กระหม่อมคิดว่าทั้งสี่เหมาะที่จะเข้ารับตำแหน่งนี้ เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ พวกเรารอให้หนิงหยู่ชุนและฉินโม่เหวินกลับมาเสียก่อน จากนั้นค่อยดูว่ามีที่ใดอีกบ้างที่จำต้องเปลี่ยนเต้าถาย ? ”
“ทำเช่นนั้นมิได้ บัดนี้สถานการณ์ทั้งสองเต้าของเขตเยวี่ยซานร้ายแรงถึงขีดสุด พวกเราจำต้องเลือกคนที่เหมาะสมเอาไว้ก่อน เพราะกว่าพวกเขาจะเข้าไปรับตำแหน่งก็อาจจะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง”
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้กระหม่อมจะนำประวัติของทั้งสี่คนไปเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ให้พวกเขาลงมติเลือกเต้าถายประจำสองเขตนั้นเสียก่อน”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็หันไปมองหยุนซีเหยียนอีกครา “เงินและเสบียงทั้งหมดที่จะทำการขนย้ายไปยังสองเต้าในเขตเยวี่ยซาน จำต้องลงมือให้เร็วที่สุด ! ”
“ทั้งสองเต้าของเขตเยว่ซานยังมีอีกหลายแห่งที่มิได้ทำการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาอดอยากมิมีแม้แต่ธัญพืชประทังชีวิต หากเป็นเช่นนี้ไปจนถึงปีหน้า หากเกิดกรณีหิวโซจนล้มตายอีกล่ะก็…ข้าจะสอบสวนเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ! ”
หยุนซีเหยียนหัวเราะร่า “ฝ่าบาททรงวางพระทัยเถิด กรมคลังของเรามีเงินทองถมเถ ส่วนเสบียงก็ให้ขนจากเจียงหนานซีเต้ากับจิงโจวหนานเต้าก็แล้วกัน แน่นอนว่าเสบียงที่ขนไปขณะนี้เป็นการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน กระหม่อมยังต้องรอสถิติที่แน่นอนจากทั้งสองเต้าเพื่อที่จะได้จัดเตรียมงบประมาณให้เพียงพอต่อการช่วยเหลือพวกเขา”
“อืม…ทำเช่นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน”
ประโยคเมื่อครู่หมายความว่างานประชุมย่อยในห้องทรงพระอักษรได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในขณะที่หยุนซีเหยียนและเยี่ยนซีเหวินกำลังจะเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รั้งทั้งสองเอาไว้
เขาเพิ่งจะหันไปมองจงสือจี้ในตอนนั้นนั่นเอง “เจ้าจงเงยหน้าขึ้นมาให้เจิ้นดูหน่อยสิ”
เขาแทนตนเองว่าเจิ้น หยุนซีเหยียนและเยี่ยนซีเหวินนั้นเข้าใจดีว่าการที่ฝ่าบาททรงแทนตนเองว่าเจิ้นนั้นหมายถึงพระองค์มิรู้สึกสนิทชิดใกล้ด้วย
จงสือจี้เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด หยาดน้ำตาพรั่งพรูเป็นสาย “กระหม่อม…รู้สึกละอายที่ต้องมองฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไม่หรอก การที่เจ้ารู้สึกละอายต่อข้ามิใช่เรื่องสำคัญหรอก ที่สำคัญคือเจ้ารู้สึกละอายต่อราษฎรที่เจ้าปกครองหรือไม่ ? รู้สึกละอายต่อความรับผิดชอบของตัวเจ้าเองหรือไม่ ! ”
“เจิ้นคาดมิถึงเลยจริง ๆ ว่าคน ๆ หนึ่งจะเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ นี่เป็นความผิดของเจิ้นเอง เจิ้นทำให้ราษฎรในทุก ๆ อำเภอของฉงโจวต้องลำบากลำบนถึงเพียงนี้”
“เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก เจ้าบดบังความจริงด้วยมือของเจ้าเอง เจ้าทำให้ราษฎรกล้าที่จะชี้หน้าด่าเจิ้น ! ”
“ด้วยเหตุนี้เจิ้นถึงได้บอกว่าเจ้าเก่งกาจเยี่ยงไรเล่า”
“ กระหม่อม…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือขัดจังหวะจงสือจี้ “เจ้ามิต้องปริปากเอ่ยอันใดทั้งสิ้น เพราะเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์ เจิ้นแค่อยากจะเห็นหน้าเจ้าเป็นคราสุดท้ายก็เท่านั้น เมื่อเห็นหน้าเจ้าแล้ว เจิ้นก็ได้แต่ถามตนเองซ้ำ ๆ ว่า…เหตุใดเจิ้นถึงได้ตาบอดเพียงนั้นกัน ! ”
“เจิ้นต้องขอบใจเจ้าจริง ๆ จงสือจี้ ! ถ้ามิใช่เพราะเจ้าเป็นคนเคาะสัญญาณเตือนภัยให้เจิ้นได้ตระหนัก บัดนี้เจิ้นก็คงหลงคิดเอาเองว่าต้าเซี่ยแห่งนี้ยังสดใสไร้เมฆดำทะมึนคอยบดบัง”
“ดังนั้นเจ้าทำได้ดีมาก เจ้าทำให้เจิ้นได้เข้าใจว่า…จิตใจของมนุษย์เปลี่ยนไปได้มากน้อยเพียงใด”
“อืม…สิ่งที่เจ้าทำไปทั้งหมดเจิ้นยังมิอยากรับรู้ในตอนนี้หรอก เจ้าจงไปสารภาพต่อกรมราชทัณฑ์เสียเถิด”
“หลิวจิ่น นำตัวเขาไปยังกรมราชทัณฑ์ เจิ้นเห็นเขาจนรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาแล้วสิ”
“ฝ่าบาท…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือปัด หลิวจิ่นจึงลากตัวจงสือจี้ออกมาจากห้องทรงพระอักษร
“ซีเหวิน จงบอกกรมขุนนางว่าให้หาสถานที่ที่มีผู้คนแออัดมากที่สุดทำการสอบสวนนักโทษเหยีนซีไป๋และนักโทษจงสือจี้ ! ”
“พวกเขามิได้หวงแหนในศักดิ์ศรีของตนเอง ข้าก็มิจำเป็นต้องเห็นแก่หน้าของพวกเขาเช่นกัน ! ”
“ให้ใช้เรื่องนี้เป็นการเคาะสัญญาณเตือนภัยให้แก่ขุนนางต้าเซี่ยทุกคน แม้ข้าจะยกเลิกการประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้วก็ตาม ทว่าขุนนางเยี่ยงนี้…จำต้องทำให้ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของพวกมันคงอยู่ไปอีกหมื่น ๆ ปี ! ”