นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1257 เรือนหลังน้อย
ตอนที่ 1257 เรือนหลังน้อย
ณ ชื่อเล่อชวน
ลู่ฉีโจว
ชนเผ่าหวานเหยียน
อดีตหัวหน้าเผ่าหวานเหยียนหงเลี่ยได้ลาลับไปตอนหิมะแรกเมื่อปีกลาย
นางได้จากไปอย่างสงบ เพราะความปรารถนาในชีวิตของนางได้กลายเป็นจริงแล้ว
ทุกวันนี้ชนเผ่าหวานเหยียนขยายใหญ่กว่าเดิมถึงห้าเท่า ! สมาชิกในชนเผ่าใช้ชีวิตภายใต้การนำของเผิงยวี๋เยี่ยนอย่างสงบสุข
พวกเขามิได้ขาดแคลนเสบียงอาหารและเกลืออีกต่อไป ทรัพย์สินเงินทองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละครอบครัวต่างก็มีเงินเหลือจนสามารถนำไปซื้อเครื่องประทินผิวหรือเสื้อผ้าสวยงาม ๆ ที่ซินโจวได้อย่างสบาย ๆ
ก่อนที่หัวหน้าเผ่าจะลาลับไปนั้น นางได้จับมือเผิงยวี๋เยี่ยน นางเอ่ยร่ำไรตลอดทั้งคืน นางกล่าวขอบคุณเผิงยวี๋เยี่ยน ขอบคุณฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย
นางหวังให้เผิงยวี๋เยี่ยนอาศัยอยู่ในชนเผ่าตลอดไป นำพาชนเผ่าไปพบกับวันที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
เผิงยวี๋เยี่ยนได้รับปากนาง ทว่าบัดนี้นางกลับรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น
เพราะลูกชายทั้งสองของนางเดินทางกลับมา พร้อมกับนำข่าวมาบอกว่ากองทัพที่หนึ่งจะข้ามจักรวรรดิโมริยะเพื่อออกสำรวจทางไกล !
“ตอนที่ฝ่าบาททรงออกเดินทางพิชิตแดนเหนือคราก่อน พระองค์ได้ตีจักรวรรดิโมริยะจนแตกพ่าย พวกเจ้าจะใช้จักรวรรดิโมริยะเป็นทางผ่านเยี่ยงนั้นหรือ… เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิว่าสถานการณ์ตอนนี้ในจักรวรรดิโมริยะเป็นเยี่ยงไร ? ”
หยูติ้งชานรินชานมให้ผู้เป็นแม่หนึ่งถ้วย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “รายงานล่าสุดของหอเทียนจีบอกว่าบัดนี้คูฉานได้นำทัพบุกยึดจักรวรรดิโมริยะได้ครึ่งค่อนประเทศแล้ว ! ”
“เขามีความสามารถมากพอที่จะโจมตีเมืองปาฎลีบุตรเมืองหลวงของจักรวรรดิโมริยะ แต่เขามิเลือกที่จะทำเช่นนั้น เขาได้กระจายกองทัพไปหกเส้นทาง ทว่ามิได้ผ่านเมืองปาฏลีบุตรแต่อย่างใด มิรู้ว่าเขาใช้ยุทธวิธีใดกันแน่”
เผิงยวี๋เยี่ยนนิ่งเงียบพลางคิดตาม “เกรงว่านี่จะมิใช่การตัดสินใจของคูฉานน่ะสิ ได้ยินมาว่าหยูซูหรงก็เดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะเช่นกันมิใช่หรือ ? ”
“อืม…แท้ที่จริงยังมีความลับอยู่ประการหนึ่ง” หยูติ้งชานโน้มตัวเข้าหาเผิงยวี๋เยี่ยนแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพกวนได้เล่าให้พวกเราฟังว่า…ฝ่าบาทได้ส่งกองนาวิกโยธินหนึ่งกองพลไปตัดศีรษะหยูซูหรงก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่านางคงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกมินานแล้วล่ะ แม้แต่คูฉานเองก็เกรงว่าจะมิรอดแล้วสิ”
เผิงยวี๋เยี่ยนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางรู้ซึ้งในความสามารถทางการรบของกองนาวิกโยธินดี เพราะหยูรั่วซิงบุตรสาวของนางได้สมรสกับหวังเสี่ยวจ้วงผู้บัญชาการกองทัพบกต้าเซี่ย
ในเเต่ละปีหยูรั่วซิงจะกลับชนเผ่าหวานเหยียนแค่ปีละครา หากตรงกับตอนที่หวังเสี่ยวจ้วงว่าง เขาก็มักจะตามมาเยี่ยมเยียนตนอยู่เสมอ และแน่นอนว่าเป็นลูกสาวของนางเสียมากกว่าที่มักจะพาหลาน ๆ มาอาศัยนานแรมเดือน
“ช่างน่าเสียดายจริง ๆ คูฉาน…เขาถูกป้าของพวกเจ้านำภัยไปให้ ! ”
“ชายหนุ่มผู้นั้นที่เดินทางมาชื่อเล่อชวนเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยใช้แรงกำลังที่ตนมีสร้างวัดขึ้นมาทั้งหมดสามแห่ง แม้ตัวเขาจะจากไป ทว่าควันธูปในวัดเหล่านั้นยังคงโพยพุ่งมิเสื่อมคลาย”
เผิงยวี๋เยี่ยนยกถ้วยชานมขึ้นมาจิบ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องนภาสีน้ำเงินเข้ม นางยังจำสามเณรน้อยคนนั้นได้ดี เพียงแค่มิเข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องเดินทางไปยังจักรวรรดิโมริยะ และเหตุใดต้องแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้วยกัน ?
ถ้าหากเขามุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อเผยเเผ่ศาสนา เขาจะต้องเป็นพระชั้นสูงองค์หนึ่งของต้าเซี่ยอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้…
ฝ่าบาทกับคูฉานมีมิตรไมตรีต่อกัน ตอนคูฉานอาศัยอยู่ที่ชนเผ่าหวานเหยียน ฝ่าบาทก็เคยเสด็จมาที่นี่ด้วยเช่นกัน ทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนาน ช่างน่าเสียดายที่วันนี้พวกเขาต้องกลายมาเป็นอริของกันและกัน
“พวกเจ้าเตรียมตัวจะออกเดินทางเมื่อใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ท่านแม่ทัพกวนบอกว่าน่าจะออกเดินทางต้นปีหน้า ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงให้พวกข้าหยุดพักเพื่อกลับมาอยู่ข้างกายท่านแม่ เพราะการเดินทางสำรวจในครานี้ อาจจะกินเวลานานหลายปี”
“อ้อ…จริงสิ ! ท่านเเม่ ฝ่าบาททรงร่วมเดินทางสำรวจครานี้ด้วยเช่นกัน ทว่าพระองค์จะทรงเสด็จสำรวจเส้นทางทางมหาสมุทร”
เผิงยวี๋เยี่ยนมิได้รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย นางอมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่มิเป็นสินะ ทว่าเจ้าสองพี่น้องนี่สิ อายุอานามก็มิใช่น้อย ๆ เเล้ว มัวแต่หมกตัวอยู่ในกองทัพ คงถึงเวลาที่จะหาลูกสะใภ้มาให้แม่แล้วสินะ ? ”
หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอใจเต้นมิเป็นจังหวะ เพราะพวกเขากลัวแม่จะถามคำถามนี้มากที่สุด
“…ท่านเเม่ รอให้การสำรวจครานี้แล้วเสร็จก่อนเถิด ข้าสองพี่น้องขอสัญญาว่าจะรีบหาคู่ครอง ให้ท่านแม่ได้อุ้มหลานเร็ว ๆ ”
เผิงยวี๋เยี่ยนมิได้ออกความเห็นใด ๆ นางลุกขึ้นยืนแล้วหันไปเอ่ยกับลูก ๆ ว่า “พวกเจ้านั่งเล่นไปก่อน ประเดี๋ยวแม่จะไปตุ๋นเนื้อแกะมาให้”
นางอาศัยอยู่ชื่อเล่อชวนมานานหลายปีแล้ว อดีตแม่ทัพเผิงในวันนั้นได้วางดาบสังหารมาพักใหญ่แล้ว ดาบของนางถูกแขวนไว้ที่เรือนด้านข้าง บัดนี้ดาบเล่มนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นผง ทั้งยังมีสนิมเขรอะไปทั้งเล่ม
นางเดินมาที่เรือนด้านข้างพลางจ้องมองดาบเล่มนั้น จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องครัว
นางวางดาบทิ้งไว้บริเวณลานบ้าน จากนั้นก็เดินไปนั่งอยู่หน้าเตาพลางจุดไฟขึ้นมา นางวุ่นอยู่กับการตุ๋นเนื้อแกะพักใหญ่
แสงไฟจากเตาได้ส่องกระทบใบหน้าของนาง จากนั้นก็ค่อย ๆ ตกสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด
การเดินทางสำรวจครานี้จะต้องเดินทางไกลนับหมื่น ๆ ลี้ !
บุตรชายของนางจะต้องเดินทางไปยังประเทศที่มิรู้จัก
มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าประเทศเหล่านั้นแข็งแกร่งเพียงใด และมิมีผู้ใดรับรู้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของต้าเซี่ยกับประเทศเหล่านั้น ของผู้ใดใดจะแข็งแกร่งมากกว่ากัน
มิว่าอาวุธของฝ่ายศัตรูจะร้ายแรงหรือไม่ ทว่าเมื่อมีศึก เยี่ยงไรก็ต้องมีคนตาย !
ต้องเดินทัพอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ต้องไปทำศึกต่างบ้านต่างเมือง ประเทศเหล่านั้นส่วนมากมิเคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ความเสี่ยงนั้นมีมากยิ่งนัก การเดินทางครานี้กินเวลานานหลายปี…นี่มันเสี่ยงเกินไปหน่อยหรือไม่ ?
ฝ่าบาทย่อมมีพระราชปณิธานของพระองค์เอง แต่คนที่ต้องทำศึกนั้นเป็นลูกชายของนาง !
และแน่นอนว่าในฐานะทหาร การเข้าไปรบในสนามรบเป็นหน้าที่ของเขาอยู่เเล้ว เพียงแต่ว่ามิมีแม่คนใดที่จะยอมรับได้เมื่อลูกของตนเองตายจากการทำศึก เผิงยวี๋เยี่ยนในอดีตอาจจะมองโลกในแง่ดีมากว่านี้ แต่เนื่องด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของนาง
นางมิอยากรอฟังข่าวจากแนวหน้าแล้วอยู่ที่ชื่อเล่อชวนอย่างพะว้าพะวงใจ อีกทั้งยังเป็นสนามรบที่ห่างไกลหลายหมื่นลี้ เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงมิมีข่าวคราวใดส่งมาถึงหูของนาง
นางจึงตัดสินใจกลับมาจับดาบอีกครา เพื่อเดินเข้าไปในสนามรบเป็นเพื่อนลูกชาย
อย่างน้อย ๆ นางก็ได้อยู่เคียงข้างลูกชาย หากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา นางจะได้รู้ทันที มิต้องรออยู่ตรงนี้อย่างเลื่อนลอย
นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป นางเดินไปตักน้ำมาจากมุมหนึ่ง จากนั้นก็หยิบดาบที่สนิมเขรอะขึ้นมา
นางเริ่มลับดาบให้กลับมาคมกริบอีกครา
เมื่อหยูติ้งชานเดินเข้ามาจึงประหลาดใจกับภาพที่เห็น “ท่านเเม่ ท่านลับดาบเพื่ออันใดกัน ? ”
“เจ้าจงเขียนจดหมายบอกกวนเสี่ยวซีว่า เเม่…จะตามกองทัพไปออกรบในศึกครานี้ด้วย ! ”
“…ท่านแม่ เส้นทางนั้นแสนยาวไกล และยังต้องข้ามภูเขาหิมะอีกด้วย ช่างอันตรายยิ่งนัก ท่านรอฟังข่าวคราวอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว”
“ไม่ ! แม่มิได้เข้าสู้ในสนามรบมานานเเล้ว ถ้าหากกวนเสี่ยวซีตัดสินใจมิได้ แม่จะเขียนจดหมายทูลฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมเข้าใจแม่เป็นแน่”
“แล้ว… แล้วชนเผ่าหวานเหยียนเล่าจะทำเยี่ยงไร ? ”
“ก็ส่งต่อให้หวานเหยียนซิ่วเหม่ยหลานสาวของหัวหน้าเผ่าดูแลเสีย ส่วนเรือนหลังนี้ก็เก็บเอาไว้ รอพวกเราคว้าชัยกลับมาได้เมื่อใด แม่จะกลับมาอาศัยในเรือนหลังนี้ดังเดิม”
“หรือว่าจะไปซื้อเรือนหลังเล็กที่เมืองฉางอันดี ? ได้ยินมาว่าเมืองฉางอันเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก”
เผิงยวี๋เยี่ยนยืดเอวพลางจ้องมองดาบที่เริ่มส่องแสงระยิบระยับออกมา “แม่อยู่ที่นี่จนชินแล้ว มิรู้สึกโปรดปรานเมืองที่เจริญเช่นนั้นหรอก”
นางก้มหน้าลับดาบต่อไป จนกระทั่งดาบในมือแวววับเหมือนใหม่
นางกวัดแกว่งดาบไปมาภายในลานบ้าน ดาบยังดูทรงพลังดังเดิม เพียงแต่ดาบที่เคยดูน่าเกรงขาม บัดนี้ดูนุ่มนวลขึ้นมากโข
คืนวันค่อย ๆ ผ่านไปเช่นนั้น กวนเสี่ยวซีได้ตอบรับเผิงยวี๋เยี่ยนเข้าเป็นแม่ทัพเพื่อร่วมคุมทัพด้วยกัน !
รัชสมัยต้าเซี่ยที่สาม เดือนห้า วันที่สิบเก้า เผิงยวี๋เยี่ยนได้ส่งต่อชนเผ่าไว้ในความดูแลของหวานเหยียนซิ่วเหม่ย
ในราตรีเดียวกันนั้นเอง นางได้นั่งลงเผากระดาษอยู่หน้าหลุมศพของอดีตหัวหน้าเผ่าหวานเหยียนหงเลี่ย นางจุดธูปแล้วทอดสายตามองไปทางที่ราบชังซี
“เส้นทางช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน จนแล้วจนรอดก็พาลูก ๆ กลับไปไหว้หลุมศพเจ้ามิได้แล้วสินะ”
“รอให้พวกเราคว้าชัยกลับมาได้ก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าผู้นี้จะเล่าให้เจ้าฟังเองว่าต่างบ้านต่างเมืองเขาอยู่กันเยี่ยงไร”
รุ่งสางในวันถัดมา เผิงยวี๋เยี่ยนได้ออกเดินทางจากเรือนหลังน้อยที่อาศัยมานานหลายปี นางนำลูกชายสองคนและดาบที่ลับจนแวววับเดินทางออกไปจากชนเผ่า