นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1258 ตัดศีรษะ
ตอนที่ 1258 ตัดศีรษะ
ในราตรีที่มืดมิด
เฉิงเผิง…ผู้บัญชาการกองพลที่สองประจำกองนาวิกโยธินได้นำทหาร 3,000 นายอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางป่าไม้
ภาพของกำแพงเมืองปรากฏผ่านกล้องส่องทางไกลอย่างเห็นได้ชัด เมืองที่ว่าก็คือเมืองคานเทียร์
“ผู้บัญชาการเฉิง เป้าหมายของเรายังคงหยุดอยู่ที่เมืองคานเทียร์ มีกองกำลังคุ้มกันหนาแน่น รายงานฉบับล่าสุดของหอเทียนจีบอกว่าเป้าหมายที่หนึ่งและสองล้วนอยู่ในเมืองคานเทียร์”
คนที่รายงานคือชางฉวินสายลับของหอเทียนจีภายในจักรวรรดิโมริยะ
“นี่เป็นแผนที่ของกองกำลังบางส่วนที่กระจายอยู่ในเมืองคานเทียร์ มีกองกำลังประจำการอยู่บนกำแพงเมือง 50,000 นาย ผู้บัญชาการกองกำลังนี้เป็นสตรีมีนามว่าหงจวง นางเคยอยู่ในป่ากระบี่มาก่อน”
“ภายในเมืองคานเทียร์มีกองกำลังลาดตระเวน 17 กองด้วยกัน แต่ละกองมีกำลังพล 100 นาย ต่างมีหน้าที่ลาดตระเวนในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบหมาย ในการลาดตระเวนแต่ละคราจะกินเวลาครึ่งชั่วยาม”
“จุดที่มีกองกำลังหนาแน่นที่สุดคือบริเวณสำนักรักษาการณ์เมือง แม้ตรงนั้นจะมีกองกำลังเพียงแค่ 10,000 นาย ทว่าพวกเขาล้วนเป็นทหารฝีมือดีของคูฉานทั้งสิ้น ในจำนวน 10,000 นายนั้นติดตั้งอาวุธปืน 1,000 นาย กลุ่มที่ติดอาวุธปืนมีนามว่า…กองอาวุธปืน”
“บนกำแพงของสำนักรักษาการณ์เมืองมีทหารประจำการทั้งสิ้น 9,000 นาย ส่วนกองอาวุธปืน 1,000 นายล้วนหลบอยู่ภายในสำนักงานซึ่งยากต่อการระบุตำแหน่งให้แน่ชัด เพราะคนของพวกเรามิอาจเข้าไปได้”
ชางฉวินหันไปทางเฉิงเผิง “ท่านผู้บัญชาการเฉิงต้องการให้หอเจียนจีไปสืบอันใดอีกหรือไม่ ? ”
“คนของเจ้าทำได้ดีเยี่ยม ใต้เท้าชาง สำนักรักษาการณ์เมืองมีกองกำลังคุ้มกันหนาแน่นเยี่ยงนั้นตั้งแต่ต้นหรือเพิ่งมีเมื่อมิกี่วันมานี้ ? ”
“เพิ่งมีการเสริมกองกำลังเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมาขอรับ”
เฉิงเผิงขมวดคิ้วมุ่น เช่นนั้นก็ดูเหมือนศัตรูจะรู้ทันแล้วสินะว่ากองนาวิกโยธินกำลังมุ่งหน้าเข้ามายังจักรวรรดิโมริยะ
เขามองแผนที่เมืองคานเทียร์พลางนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ผู้บังคับการเหลย เจ้าจงนำกองที่หนึ่งไปพรางตัวที่ประตูเมืองตะวันตก”
“ผู้บังคับการจ้ง เจ้าจงนำกองที่สองพรางตัวไปจนถึงประตูทางตะวันตก”
“ผู้บังคับการเจี่ยง เจ้าจงรอให้พวกเขาเดินทางไปถึงที่หมาย จากนั้นให้นำเรือเหาะขึ้นสู่ท้องนภา ส่งกองทหารขึ้นเรือเหาะแล้วโยนระเบิดลงมา”
“ให้เหล่าเหลยกับเหล่าจ้งปีนขึ้นไปยังกำแพงเมืองเมื่อเสียงระเบิดระลอกแรกดังขึ้น จงจำเอาไว้ว่าต้องทำให้เกิดความโกลาหลเพื่อดึงดูดศัตรูให้มากที่สุด”
“เหล่าเจี่ยง เจ้าจงนำกองที่เหลือไปยังประตูทางทิศใต้ มิต้องไปสู้รบที่ประตูทางใต้ให้ยืดเยื้อ จงบุกเข้าไปในกำแพงของสำนักรักษาการณ์โดยตรง”
“ส่วนข้าจะนำอีกสามกองที่เหลือนั่งเรือเหาะ 3 ลำเข้าไปประชิดสำนักรักษาการณ์เพื่อโจมตีทางอากาศ ! ”
“ทุกคนจงจำเอาไว้ว่าเมื่อภารกิจสิ้นสุดลงเมื่อใด ให้ฟังสัญญาณจากเสียงธนู จากนั้นให้ถอยกลับไปรวมตัวที่เทือกเขากานซูย่าให้เร็วที่สุด”
“ปฏิบัติ ! ”
ในราตรีที่มืดสนิท ทหาร 2,000 นายเดินทัพลงมาจากภูเขาแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเรือเหาะ 5 ลำได้ทะยานสู่ท้องนภา
และอีกครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นศึกที่เมืองคานเทียร์ก็ปะทุขึ้นมา
……
……
ณ สำนักรักษาการณ์เมือง
หยูซูหรงได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่นดังก้องมา นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเงยหน้าขึ้นมองคูฉาน “เป็นเยี่ยงไรเล่า ? เป็นเหมือนที่แม่เอ่ยไว้มิผิดเพี้ยนใช่หรือไม่ ? คนของฟู่เสี่ยวกวนมาถึงแล้ว”
คูฉานนิ่งเงียบมิได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมา
“ตอนนี้คิดจะหนีก็หนีมิพ้นแล้วล่ะ ! ”
“พวกเรามิอาจสู้เขาได้เลยหรือ ? ” คูฉานหันไปเอ่ยถาม
“คนจากศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เคยบอกแล้วมิใช่หรือว่า…บัดนี้ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ได้วิจัยอาวุธชนิดใหม่สำเร็จแล้ว มันมีชื่อว่าปืนไรเฟิลอัตโนมัติ พลังทำลายล้างของมันมากกว่าปืนเหมาเซ่อที่พวกเรามีตั้งหลายเท่า”
“ช่างน่าเสียดายที่พวกเขามิรู้ความลับสำคัญอื่น ๆ พวกเขาผลิตได้แค่ปืนเหมาเซ่อกับกระสุนเท่านั้น แน่นอนว่าที่นี่คือแดนศึกของเรา คนของเราก็มีมากกว่า ซึ่งมิได้หมายความว่าพวกเราจะสู้มิได้ ทว่าพวกที่มานี้จะต้องเป็นกองนาวิกโยธินเป็นแน่ เจ้าจะอยู่ที่นี่มิได้ มันอันตรายเกินไป ! ”
“แม่คิดว่าปืนเหมาเซ่อก็สามารถคร่าชีวิตของพวกเขาได้เช่นกัน แต่ติดตรงที่พวกเราเพิ่งจะก่อตั้งกรมสรรพาวุธได้มินาน ยังมิอาจผลิตปืนเหมาเซ่อคราละมาก ๆ ได้”
“ดังนั้นบัดนี้พวกเราจำต้องหลบหนีก่อน เยี่ยงไรพวกเขาก็เดินทางมาไกล ผืนปฐพีนี้อยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว”
“อดทนอีกหน่อยเถิด รออีกหนึ่งปีให้หลังเมื่อปืนเหมาเซ่อถูกผลิตออกมาได้มากพอเมื่อใด เมื่อนั้นพวกเราก็มิต้องคอยหวาดกลัวฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไป”
คูฉานนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เสียงปืนข้างนอกทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ครู่หนึ่งหลังจากนั้น หงจวงก็เดินทางมาถึงสำนักรักษาการณ์
“ท่านเเม่ทัพ ข้าศึกช่างเก่งกาจยิ่งนัก อาวุธของทหารป้องกันเมืองมิอาจทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ พวกเรายืนหยัดต่อสู่ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ยื้อได้นานสุดแค่ 1 ชั่วยามเท่านั้น ท่านแม่ทัพจงหนีไปเสียเถิด ! ”
คูฉานหน้าถอดสีขึ้นมาทันใด เพราะในฐานะพระสงฆ์รูปหนึ่ง เขามิเคยสนอกสนใจในความสามารถทางการรบของทหารต้าเซี่ยเลย แต่เมื่อได้ยินหงจวงเอ่ยในตอนนี้ จิตใจของเขาก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาแล้ว
“พวกมันมากันกี่คน ? ”
“มิเยอะเท่าใดนัก พวกมันโจมตีประตูเมืองทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกรวม ๆ กันก็น่าจะมีราวพันกว่าคน ทว่าสิ่งที่ลอยอยู่บนท้องนภานี่ร้ายกาจมากจริง ๆ พวกเรายิงธนูไปมิถึงตัวพวกมัน เเต่ระเบิดที่พวกมันทิ้งลงมานี่สิ มีพลังทำลายล้างมหาศาล แม้แต่กำแพงเมืองที่แข็งแกร่งก็ถูกระเบิดจนล้มพังลงไป”
“…เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”
ในที่สุดคูฉานก็ตัดสินใจได้เสียที เขายกพู่กันขึ้นมาตวัดเขียนข้อความ
หยูซูหรงพาคูฉานออกมา จากนั้นก็เรียกรวมพลกองอาวุธปืน 1,000 นาย พวกเขาเดินออกมาจากประตูด้านข้างของเมืองคานเทียร์ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
คูฉานหันกลับไปมองสภาพเมืองด้านหลังในขณะที่นั่งอยู่บนรถม้า
เขามองมิเห็นเรือเหาะที่ลอยอยู่เหนือท้องนภา เขาเห็นเพียงเมืองคานเทียร์ที่ถูกระเบิดย่อยยับท่ามกลางแสงไฟสว่างโชติช่วง ทั้งยังมีกองไฟที่โพยพุ่งเดือดดาล
ทหารป้องกันเมืองตั้งห้าหมื่นนาย จะทำอันใดทหารแค่มิกี่พันนายมิได้เลยหรือ ?
ชั่วอึดใจนั้นเองที่เขารับรู้ถึงความสามารถทางการรบอันไร้เทียมทานของต้าเซี่ย และก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้เข้าใจในกองทัพของฟู่เสี่ยวกวน เขาเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดกองทัพต้าเซี่ยถึงถูกขนานนามว่าเป็นกองทัพไร้พ่าย
“ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย พวกเราจะเดินทางไปที่เมืองสวานา ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมสรรพาวุธของพวกเรา ที่นั่น…พวกเรายังมีกองทัพอีก 300,000 นายซึ่งนำโดยลู่ฉาง”
“เพิ่งได้รับข่าวร้ายมาจากต้าเซี่ย”
“ข่าวอันใดหรือ ? ” คูฉานหันไปถาม
“เหยียนซีไป๋ถูกจับแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าคนของแม่ที่อยู่ในต้าเซี่ยได้ลดน้อยลงไปอีกหนึ่งคน เมื่อเหยียนซีไป๋ถูกจับ แม่ก็จะขาดรายได้อีกหนึ่งทาง การจะสถาปนาจักรวรรดิโมริยะก็อาจจะลำบากยิ่งขึ้น แต่เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย หมากที่แม่วางหมากไว้ในแคว้นเย่หลาง…พอจะหาทรัพย์สมบัติมาได้บ้าง มันมากพอที่จะคอยสนับสนุนให้เจ้าได้เป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโมริยะได้ ! ”
“…ข้ามิเคยคิดที่จะเป็นจักรพรรดิมาก่อน ! ”
“แม่รู้…ฟู่เสี่ยวกวนก็มิเคยคิดจะเป็นจักรพรรดิมาก่อนเช่นกัน”
……
……
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เฉิงเผิงได้นำทหารเข้ามาถึงสำนักรักษาการณ์เมือง พวกเขามิได้ถูกโจมตีโดยกองอาวุธปืนแต่อย่างใด
“มิได้การล่ะ ทุกคนจงค้นหาให้ทั่ว ! ”
เหล่าทหารแยกย้ายกันตามหาเป้าหมาย ส่วนตัวเขารุดเข้าไปในสำนักรักษาการณ์เมือง ข้างในนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน
เขาเดินไปยังโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็เห็นกระดาษซึ่งมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า
“ข้าคือคูฉาน พวกเจ้าเป็นทหารของต้าเซี่ย ได้โปรดอย่าทำร้ายราษฎรตาดำ ๆ เพราะพวกเขาคือผู้บริสุทธิ์ ! ”
หมึกแห้งสนิทแล้ว ทว่าความหอมของน้ำหมึกยังคงหลงเหลือให้ได้กลิ่น พวกเขาน่าจะรีบร้อนหนีไป และน่าจะหนีไปได้มิไกลมากนัก
“ยิงธนูส่งสัญญาณให้ถอยทัพ ! ”
ทหารนาวิกโยธิน 3,000 นายถอยทัพออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองคานเทียร์ได้ผ่านค่ำคืนที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนอีกครา
พวกเขามิได้สังหารชาวเมืองแต่อย่างใด ยามรุ่งสางพวกเขาเปิดหน้าออกไปดู พบเพียงควันไฟกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งพร้อมกับซากปรักหักพังของกำแพงเมืองหลายจุด
ข้าศึกไปที่ใดแล้วเล่า ?
แล้วท่านแม่ทัพเล่า ?
ผู้คนพากันหลั่งไหลเข้าไปในสำนักรักษาการณ์เมือง ทว่าไร้ร่องรอยของท่านแม่ทัพ
หงจวงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง จ้องมองซากกำแพงที่หักพังจนมิเหลือชิ้นดี ความรู้สึกมากมายได้ถาโถมเข้ามาในใจของนางทันพลัน นางเพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าต่อให้มีคนเยอะมันก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะต้าเซี่ย…แข็งแกร่งมากเหลือเกิน
อุดมการณ์และความทะเยอทะยานของท่านแม่ทัพจะสามารถเป็นจริงได้หรือ ?