นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1259 จับเป็น
ตอนที่ 1259 จับเป็น
ขบวนรถของคูฉานเคลื่อนไปข้างหน้าโดยมิหยุดพัก
ภายในรถม้า หยูซูหรงได้หยิบกล่องเครื่องสำอางที่ดูวิจิตรบรรจงขึ้นมา
“มานี่สิ ประเดี๋ยวแม่จะแปลงโฉมให้เจ้าเอง”
คูฉานผงะตกใจ “เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้จะแปลงโฉมเพื่ออันใดกัน ? ”
“เชื่อแม่เถิด คนของฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางยอมแพ้ง่าย ๆ เป็นแน่ จมูกของพวกมันดมกลิ่นได้เร็วยิ่งกว่าจมูกของสุนัขเสียอีก โดยเฉพาะพวกสายลับของหอเทียนจี”
หยูซูหรงเปิดกล่องเครื่องสำอางออก นางเลือกดินสอเขียนคิ้วขึ้นมาหนึ่งแท่ง นางเงยหน้าขึ้นมามองคูฉานพร้อมเอ่ยว่า “จากตรงนี้ไปเมืองสวานายังต้องใช้เวลาอีกสองวัน พวกเขาจะต้องไล่ตามพวกเราทันแน่ ๆ ”
หยูซูหรงวาดมุมคิ้วให้คูฉาน นางวาดลงไปอย่างประณีตและเบามือ ทว่าก็มั่นคงในเวลาเดียวกัน
“ข้างหน้าเป็นเมืองฮุยรอน เมื่อไปถึงเมืองฮุยรอน แม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่เจ้า แม่ได้จัดขบวนทหารม้าเตรียมไว้แล้ว 10,000 นาย… เมื่อไปถึงเมืองฮุยรอน เจ้าต้องนำทหารม้า 3,000 นายห้อตะบึงไปยังเมืองสวานา”
คูฉานตื่นตกใจจนต้องขยับศีรษะถอย หยูซูหรงชักมือกลับมิทันจึงทำให้คิ้วเอียงจากปกติไปเล็กน้อย นางยื่นมือออกมาเช็ดเบา ๆ คูฉานจึงเอ่ยถามออกมาว่า “แล้วท่านจะไปที่ใดกัน ? ”
หยูซูหรงยกยิ้มอย่างเรียบเฉย “แม่จะเดินทางไปยังทิศตะวันตก ส่วนหงจวงจะไปยังทิศตะวันออก ส่วนเจ้าจงไปทางเหนือ…ให้แยกออกเป็นสามทาง เช่นนี้ก็พอจะตบตาศัตรูได้สักระยะ เมื่อเจ้าไปถึงเมืองสวานา แม่จะไปรวมพลกับเจ้าที่นั่นเอง”
คูฉานนิ่งเงียบมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
เขามาถึงจักรวรรดิโมริยะหนึ่งปีแล้ว
ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้ละทิ้งความตั้งใจเดิมแล้วก้าวเข้าสู่เส้นทางที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
หลังจากที่หยูซูหรงเข้ามา เขาได้เปิดศึกในจักรวรรดิโมริยะขึ้นมา ดูเหมือนสถานการณ์ภายในจักรวรรดิจะดีวันดีคืน เดิมทีก็คิดว่าจะกำจัดพวกทหารที่ทรยศหักหลังให้เสร็จสิ้นภายในเดือนสิบเอ็ด เมื่อโจมตีเมืองปาฎลีบุตรได้สำเร็จ ความระส่ำระสายภายในจักรวรรดิโมริยะก็อาจจะสงบขึ้นมาบ้าง
ทว่าหลังจากนั้นจะทำเยี่ยงไร เขาก็ยังจนปัญญาเช่นกัน
แม่ทัพข้างกายทั้งเจ็ดและสตรีนางนั้น สตรีที่เขามิเคยเรียกนางว่าแม่เลยสักครา พวกเขาต่างก็หวังให้ตนขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เข้าควบคุมอำนาจอธิปไตยของจักรวรรดิโมริยะ
ทว่าสิ่งที่ตนปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเผยแผ่ศาสนาเท่านั้น
บัดนี้กลับกลายเป็นความฝันที่ตนมิมีวันทำมันได้สำเร็จเสียแล้ว
ตอนนี้ทหารของต้าเซี่ยได้กรีฑาทัพเข้ามาแล้ว พวกเขามีกันแค่ 3,000 คน เช่นนั้นก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต้องการจะยึดครองจักรวรรดิโมริยะ แต่เขาต้องการกำจัดตนสองแม่ลูก
ส่วนเรื่องที่ว่าแม่ของเขาทำอันใดไว้ที่ต้าเซี่ย คูฉานยังมิเคยเอ่ยปากถามจวบจนวันนี้ และแม่ของเขาก็มิเคยเอ่ยถึงมาก่อน
เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อหยูซูหรงมาถึงที่นี่ นางได้ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียง ขาดแคลนทุนทรัพย์และขาดแคลนทรัพยากร
หมายความว่าหากมิใช่เพราะการมาเยือนของหยูซูหรง ตอนนี้ตนก็อาจจะประจำอยู่ในเมืองเล็ก ๆ สักแห่ง และคงกำลังคิดหาวิธีพัฒนาจักรวรรดิโมริยะ
การเกื้อหนุนของนางทำให้มีทุกสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ กองกำลังของตนได้กลายเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิโมริยะภายในเวลามิกี่เดือนเท่านั้น
นางทำในสิ่งที่ผิดเยี่ยงนั้นหรือ ?
นางมิได้ผิด
เช่นนั้นผิดที่ตนที่เลือกเดินเส้นทางนี้ เมื่อครายังอาศัยอยู่บนเทือกเขาไทเออร์เยี่ยงนั้นหรือ ?
คูฉานถามใจตนเอง ถ้าหากตนมิทำเรื่องแบบนั้นขึ้นมา ช่วงฤดูหนาวในปีนั้นก็คงมีคนแข็งตายบนภูเขามิน้อย ดังนั้นตนมิได้ทำอันใดผิด
เช่นนั้นเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงต้องส่งคนมาประหัตประหารกันด้วยเล่า ?
เขาทำอันใดผิดเยี่ยงนั้นหรือ ?
คูฉานมิเข้าใจ จิตใจของเขายิ่งเป็นทุกข์
หยูซูหรงมิคิดจะชี้แจงแถลงไข นางบรรจงแต่งหน้าจนเวลาล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยาม นางถึงได้ชักมือกลับไป นางจ้องมองใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“อืม…ใช้ได้แล้ว”
“ลูกเอ๋ย แม่รู้ดีว่าเจ้าเศร้าระทมใจ แต่แม่ขอยืนยันคำเดิม หากจะช่วยปลดทุกข์ให้ผู้ใดสักคนใช้แค่คุณธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ หากจะช่วยปลดทุกข์ให้คน 1,000 คนจะต้องใช้คุณธรรมมากมาย ส่วนผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง…คือผู้ที่ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้ทุกคนในใต้หล้า ! ”
“แต่ก่อนฟู่เสี่ยวกวนก็มิคิดจะแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใดในใต้หล้า ทว่าในที่สุดเขาก็เลือกที่จะทำอยู่ดี ซ้ำยังทำได้ดีเยี่ยมด้วยสิ ! ”
“ทุกวันนี้ต้าเซี่ยกว้างใหญ่ไพศาล ราษฎรผาสุก มิว่าจะเป็นอดีตราษฎรของราชวงศ์หยูหรือราษฎรแคว้นฝานก็ตามที เกรงว่าทุกวันนี้พวกเขาคงลืมสิ้นแล้วว่า…พวกเขาคือคนของแคว้นที่ถูกกำจัดจนสูญสิ้น”
“ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็สำนึกในบุญคุณของฟู่เสี่ยวกวน คำว่าประเทศชาติในใจของพวกเขาคงมีเพียงต้าเซี่ยเท่านั้น”
“แม่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้มีด ใช้ไฟ ใช้เลือดหลอมรวมขึ้นมาต้าเซี่ยขึ้นมา แม้เขาจะมิเคยศึกษาพุทธศาสนา ทว่าเขาก็ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับผู้คนทั้งใต้หล้าได้ ! ”
“แม่ย่อมหวังว่าเจ้าจะทำได้เยี่ยงเขา หวังว่าเจ้าจะสามารถทำให้จักรวรรดิโมริยะตกอยู่ในมือของเจ้าได้ จงใช้ปัญญาและใช้ความเมตตาที่เจ้ามีปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ผู้คนในจักรวรรดิ”
“เจ้าต้องเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ สัจธรรมที่ว่าเยี่ยงไรเสียใต้หล้านี้ก็มองกันที่ความแข็งแกร่ง ! เป็นมนุษย์ต้องแข็งแกร่งฉันใด ประเทศชาติก็ต้องแข็งแกร่งฉันนั้น”
“ฟู่เสี่ยวกวนควบคุมกองทัพที่มีแสนยานุภาพล้ำหน้า เพราะเหตุนี้เขาถึงกล้าที่จะส่งทหารมาเพียงแค่ 3,000 นาย แต่ทหาร 3,000 นายนี้ก็สามารถทำให้พวกเราต้องสูญเสียเมืองไปหนึ่งเมือง มิหนำซ้ำยังต้องหนีเตลิดเปิดเปิง ! ”
“นี่แหละที่เขาเรียกว่าความแข็งแกร่ง มันจะปรากฏในรูปแบบการทหาร รวมไปถึงวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน”
“เช่นนั้นแล้ว…”
หยูซูหรงบอกย้ำอย่างตั้งใจ นางหันไปมองคูฉานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำว่า “เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่เจ้าขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เจ้าจงศึกษาทั้งข้อดีและข้อเสียของทุกคน ยึดวิทยาศาสตร์และความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นสำคัญ จากนั้นให้ก่อตั้งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าเอง”
รถม้าหยุดลง
ในที่สุดก็ถึงเมืองฮุยรอนแล้ว
หยูซูหรงสูดหายใจเข้าลึก มุมปากของนางเผยอขึ้น นางยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของคูฉานอย่างแผ่วเบา “จงจำเอาไว้ว่า เจ้าต้องยืดหยัดมีชีวิตต่อไป ถ้าอยากจะมีปากมีเสียงในใต้หล้านี้ เจ้าต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้น”
“แม่ขอลา…ไว้พบกันใหม่ ! ”
“ลูกชายข้า เจ้าจงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ๆ ! ”
หยูซูหรงเดินลงจากรถม้า
คูฉานหันไปมองแผ่นหลังของนาง ปากของเขากระตุกเล็กน้อย แต่คำว่าแม่ก็มิได้หลุดออกจากปากของเขาแต่อย่างใด
……
……
อาทิตย์อัสดงสีแดงฉาน
ขบวนรถของคูฉานได้จากไปไกล
หยูซูหรงมิได้นำทหารม้าสามพันนายไปทางตะวันตกอย่างที่บอกคูฉานไว้แต่อย่างใด
นางพำนักอยู่ที่เมืองฮุยรอน
นางนั่งทานอาหารที่วางจนเต็มโต๊ะ นางดื่มสุราและใคร่ครวญหลากหลายเรื่องราว
มิมีผู้ใดรู้ว่านางคือบุคคลลึกลับที่กำลังพลิกโฉมจักรวรรดิโมริยะ บัดนี้นางมิต่างอันใดจากนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
นางถือกาสุราพลางเดินไปที่ทางแยกของเมืองฮุยรอน
นางเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่คูฉานเดินทางไปภายใต้แสงสุริยาที่กำลังลาลับ จากนั้นก็หน้าไปยังทิศที่ตั้งของต้าเซี่ยแล้วส่งยิ้มออกมา
นางเข้าใจดีว่าในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนส่งคนมามากมายถึงเพียงนี้ เขาต้องมีวัตถุประสงค์อันใดสักอย่าง
ส่วนคูฉานก็ต้องการเวลา
คูฉานต้องการประสบการณ์ที่ทำให้เขาจำมิมีวันลืมเลือน
นางตัดสินใจจุดไฟความปรารถนาที่จะเข้าควบคุมจักวรรดิโมริยะของคูฉาน นางได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้กลางใจของคูฉาน ถ้าหากอยากให้เมล็ดพันธุ์แตกหน่อเร็วขึ้น นางก็จำต้องใช้ตนเองเป็นปุ๋ยเพื่อเร่งให้เมล็ดพันธ์เจริญงอกงาม
เฉิงเผิงตามมาทันแล้ว
ทหารในชุดเกราะสีเงิน 3,000 นายยืนอยู่เบื้องหน้าหยูซูหรง
เฉิงเผิงก้าวไปด้านหน้า หยูซูหรงลูบคลำไรผมข้างหูของตนเอง จากนั้นก็กระดกสุราจนหมดเกลี้ยง
นางโยนกาสุราลงกระแทกพื้น “สุรานี่จืดชืดไร้รสชาติ เทียบกับสุราซีซานมิได้เลยสักนิด ข้าเหนื่อยแล้วสิ อยากกลับไปดื่มสุราซีซานเสียเหลือเกิน พาข้ากลับไปทีเถิด ! ”
“แล้วคูฉานเล่า ? ”
“เขาเป็นเพียงพระรูปหนึ่ง ความผิดทั้งหมดลงที่ตัวข้าเถิด พาข้ากลับไป แล้วฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัยเอง”
เฉิงเผิงชูกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วโบกมือสั่งการ “องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมต้องขออภัยอย่างแท้จริง”
“จับตัวไว้ ! ”
“เดินทัพกลับต้าเซี่ย ! ”
เมื่อสุริยาลาลับ
มีคนแปลกหน้าผู้หนึ่งปรากฏกายอยู่ในเมืองฮุยราน
เขาทอดสายตามองทหารในชุดเกราะสีเงิน จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาช้า ๆ
เขาคือคูฉาน
เขามิได้เดินทางจากไปแต่อย่างใด
เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ หยาดโลหิตของเขาไหลหยดติ๋ง ๆ สู่พื้นธรณี