นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1260 ลงนา
ตอนที่ 1260 ลงนา
ณ ไร่หลวงโม่โจว
ฟู่เสี่ยวกวนพาอู๋เทียนซื่อเดินทางออกจากเมืองหลวงมายังไร่หลวงแห่งนี้
บัดนี้ต้นข้าวในนากำลังเหลืองทองอร่าม
การเดินทางครานี้มีทหารองครักษ์ 3,000 นายภายใต้การนำของฮั่วหวยจิ่น นอกจากนี้ยังมีจัวอี้สิง เยี่ยนเป่ยซี ฉินปิ่งจงและเหวินสิงโจวติดตามขบวนมาด้วย
นี่เป็นคราแรกที่อู๋เทียนซื่อได้ออกห่างจากเมืองหลวง เป็นคราแรกที่เขาได้มาเยือนยังพื้นที่ห่างไกล เขารู้สึกดีใจมากยิ่งนัก ที่ตนเองได้ออกมาเห็นโลกภายนอก ได้ออกมาเห็นสิ่งที่เขามิเคยเห็นมาก่อนในพระราชวัง
“สำหรับราษฎรนั้น เรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญเทียมฟ้า เหมือนดั่งที่พ่อเคยเอ่ยให้เจ้าฟังนั่นแหละ การมีอาหารกินจนอิ่มท้อง การมีเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับราษฎร ! ”
“เมื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของราษฎรได้เมื่อใด ถึงจะสามารถหารือเรื่องอื่นต่อไปได้ ถึงจะสามารถเดินหน้าพัฒนาต่อไปได้”
ฟู่เสี่ยวกวนชี้นิ้วไปทางแปลงนาที่มีรวงข้าวสีทองอร่ามสุดลูกหูลูกตา “เจ้าดูนั่นสิ ! ต้นข้าวเหล่านั้นได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากชาวนา ตั้งแต่เพาะต้นกล้าในเดือนสามจนกระทั่งเก็บเกี่ยวตอนเดือนเก้า ในระยะเวลาครึ่งปีนี้ ต้นข้าวเหล่านี้คือความหวังของพวกเขา”
“ดังนั้นพ่อจึงหวังให้เจ้าจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเมล็ดต้องลำบากยากเย็นเพียงใดกว่าจะได้มา ! ”
“อืม ! ” อู๋เทียนซื่อพยักหน้าแล้วหันไปเอ่ยถามผู้เป็นบิดา “ลูกขอไปดูนาฝั่งโน้นได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบศีรษะอู๋เทียนซื่อเบา ๆ แล้วตอบว่า “ไปเถิด…”
อู๋เทียนซื่อวิ่งออกไปอย่างเริงร่าดั่งนกน้อยที่เพิ่งหลุดออกจากกรง ทำเอาหลิวจิ่นอกสั่นขวัญแขวนขึ้นทันใด “องค์ชาย… องค์ชาย… ช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หวางเฉียงสูบยาสูบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณชาย…ข้าน้อยมิรู้เลยด้วยซ้ำว่านี่เป็นข้าวรุ่นที่เท่าใดแล้ว ปีนี้เป็นปีที่งดงามอีกปีหนึ่ง เป็นปีที่พวกเราจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์อีกครา ! ”
“อืม… ไป…พวกเราตามคุณชายไปดูแปลงนากันเถิด”
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปตามคันนา สายลมยามสนธยาได้พัดพากลิ่นหอมจาง ๆ ของต้นข้าวโชยกระทบหน้า ชาวนาเริ่มเกี่ยวข้าวในแปลงนาแล้ว และมีเด็กจำนวนมิน้อยกำลังวิ่งเล่นอยู่ในนา
หวางเฉียงเดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวน รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อน !
ตอนนั้นพวกเขายังอยู่ที่ซีซาน
ตอนนั้นมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชื่อว่าหมู่บ้านหวังเจียชุนซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาซีซาน
จำมิได้แล้วว่า วันใดที่คุณชายเดินทางมายังเรือนซีซาน
และก็จำมิได้แล้วว่าวันใดที่คุณชายได้หมักสุราขึ้นมาภายในโรงงานแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เพาะพันธุ์ข้าวฟู่อีต้ายออกมาได้สำเร็จ
ทุกวันนี้สุราซีซานได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วทั้งต้าเซี่ย ส่วนข้าวฟู่อีต้ายก็ได้ขยายพันธุ์รุ่นลูกรุ่นหลานยาวนานมาหลายปี บัดนี้มันกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกตั้งแต่เหนือจรดใต้
ผลผลิตของมันมากจนชวนตกใจ ข้าวและมันเทศที่คุณชายนำมาปลูกในภายหลังมิเพียงแต่ได้แก้ไขปัญหาปากท้องของราษฎรเท่านั้น ทว่าในวันนี้มันถูกนำไปขายยังประเทศอื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อมีมันเทศ ชาวนาจึงเริ่มหันมาเลี้ยงหมู
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เนื้อหมูจึงกลายเป็นเนื้อสัตว์ที่พบเห็นได้บ่อยในสำรับอาหารของราษฎร ส่วนข้าวขาว แป้งและหมั่นโถได้กลายมาเป็นอาหารที่พบเห็นได้บ่อยยิ่งกว่า
จำได้ดีว่าหมู่บ้านหวังเจียชุนในตอนนั้น คนในครอบครัวต้องใช้แรงงานตรากตรำอยู่ในนาเพื่อหาอาหารกินให้อิ่มท้อง ผลปรากฏว่าเมื่อถึงช่วงขาดแคลนก็มิวายต้องออกไปหาผักป่ามากินอยู่ดี
ตอนนั้นสีหน้าของชาวบ้านมิต่างอันใดจากสีของผัก ส่วนมากมีสีหน้าทุกข์ระทมมิเคยได้มีวันคืนที่สุขใจเหมือนตอนนี้เลยสักวัน
คุณชายเก่งกล้าสามารถยิ่งนัก !
เมื่อเขาเดินทางออกไปจากหลินเจียง แม้แต่ตนก็มิเคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเดินไปบนเส้นทางของความยิ่งใหญ่มากถึงเพียงนี้ !
นี่เป็นความโชคดีของต้าเซี่ย ! เป็นความโชคดีของราษฎรต้าเซี่ยอย่างแท้จริง !
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินคนเดิมในใจของตน
จิตใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขเมื่อมองรวงข้าวสีทองในนา เขาเห็นชาวนามีหยาดเหงื่อไหลรินทว่าก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน เขาชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ยิ่งนัก
“ตอนนั้นหากมิได้เดินทางออกจากเมืองหลินเจียง บัดนี้ที่นาของตระกูลข้าก็คงจะมีมากมายล้นหลาม ! ”
เยี่ยนเป่ยซียกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดีมิดีอาจจะถูกอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูยึดไปก็เป็นได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ “ถึงเยี่ยงไรเขาก็เป็นพ่อตาของข้า ถ้าหากมิได้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าจะอำลาชื่อเสียงแล้วกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน ถึงตอนนั้นเขาคงทำอันใดข้ามิได้”
เยี่ยนซีเป่ยมิได้ตอบอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาเอ่ยเพียงว่า “เรื่องโชคชะตา คราหนึ่งเจ้าเคยบอกข้าว่ากุมโชคชะตาด้วยมือของตนเองย่อมดีกว่ามิใช่หรือ ? ”
“เรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว ต้าเซี่ยในปัจจุบันก็เจริญรุ่งเรืองมิน้อย…อีกสามถึงห้าปีให้หลังจากนี้ เมื่อแผนพัฒนาชุมชนสำเร็จลุล่วงเมื่อใด ถึงตอนนั้นต้าเซี่ยจะเข้าสู่ยุคทองโดยแท้จริง ! ”
“ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างยุคทองในรัชสมัยของพระองค์ ทว่าพระองค์ก็มิมีโอกาสทำมันจนสำเร็จ ทว่าเจ้า…เจ้าได้สร้างยุคสมัยที่รุ่งเรืองยิ่งกว่า พระองค์ก็น่าจะรู้สึกใจชื้นและตายตาหลับอยู่ภายใต้แหล่งน้ำบาดาลทั้งเก้า1 ! ”
ภาพของอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกใจหายวาบ จึงค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “จะว่าไปแล้ว ข้ายังรู้สึกขอบคุณเขาจนถึงทุกวันนี้ ! ”
คำเอ่ยนี้แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
ตอนนั้นที่เมืองจินหลิงแผนการบรรเทาสาธารณภัยของเขาเข้าสายพระเนตรของอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู เขาจึงได้เข้าไปยืนอยู่ในท้องพระโรงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นก็ได้ไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเอง เขาได้รับตำแหน่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งได้กลายมาเป็นติ้งอันป๋อประจำราชวงศ์หยู
ถ้าหากมิใช่เพราะเหตุการณ์หิมะถล่มคราใหญ่ที่ราชวงศ์อู๋ ถ้าหากอดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูเริ่มมีใจส่อพิรุธ จากที่เยี่ยนเป่ยซีเคยคาดการณ์ไว้ คนที่มีลักษณะนิสัยรักความสงบเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนคงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในเมืองจินหลิงต่อไป
หรือแม้ว่าเขาจะกลับไปครองบัลลังก์ที่ราชวงศ์อู๋ เขาก็อาจจะอยู่ร่วมกับราชวงศ์หยูได้อย่างสันติหรืออาจจะถึงขั้นร่วมมือกันพัฒนาบ้านเมืองก็เป็นได้
นี่แหละที่เขาเรียกว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง
อู๋ฉางเฟิงมิลังเลที่จะจบชีวิตของตนเองด้วยเหตุการณ์หิมะถล่ม เขาปรารถนาให้ฟู่เสี่ยวกวนหวนกลับผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋
อดีตฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้คิดวางแผนสกัดฟู่เสี่ยวกวนระหว่างที่เขาเดินทางกลับมาจากแคว้นฮวง ถึงกับสั่งให้สังหารเขาอย่างมิกระดากใจ นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจจะจากราชวงศ์หยูไป
ส่วนหยูเวิ่นเต้าก็มิได้ประสานรอยร้าวระหว่างตระกูลของเขากับฟู่เสี่ยวกวนให้กลับมาดีดังเดิม เขาร่วมมือกับแคว้นฝานเพื่อหยุดราชวงศ์อู๋ ศึกที่ราบฮวาจ้งคือจุดจบของราชวงศ์หยูและแคว้นฝาน ทั้งสองแคว้นได้กลายเป็นก้อนหินใต้ฝ่าเท้าของต้าเซี่ยและล่มสลายตั้งเเต่นั้นสืบมา
ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดไว้หมดแล้ว !
มันเป็นความโชคดีของราษฎรอย่างแท้จริง !
ในขณที่เยี่ยนเป่ยซีกำลังหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตอยู่นั่นเอง ฟูเสี่ยวกวนได้ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก จากนั้นก็พับขากางเกงขึ้น
“ฝ่าบาท พระองค์จะทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” จ้าวโฮ่วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ก็ลงไปเกี่ยวข้าวน่ะสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า
“ฝ่าบาท อย่าทำเลยพ่ะย่ะค่ะ ให้บ่าวเป็นคนทำเถิด ตระกูลของบ่าวเคยเป็นชาวนามาก่อน งานเช่นนี้บ่าวถนัดยิ่งนัก ! ”
“เจ้ากล้าเอ่ยว่าเจ้าถนัดมากกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าลองถามหวางเฉียงดูสิ ตอนที่ข้าเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน ณ หลินเจียง เจ้ายังมิรู้ความเลยด้วยซ้ำ ! อย่ามาปากมาก เอาเคียวมาให้ข้า ! ”
จ้าวโฮ่วรู้สึกงุนงงมากยิ่งนัก จากนั้นก็เห็นหวางเฉียงที่กำลังสูบยาสูบส่งเคียวไปให้ฝ่าบาทหน้าตาเฉย
“เจ้ามิเข้าใจคุณชาย คุณชายถนัดเรื่องนี้เป็นอย่างดี”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินลงไปในนา หยุดอยู่ข้างกายของชาวนาคนหนึ่ง “ทุกคน ข้ามาอีกแล้ว ! ”
ชาวนาส่วนมากล้วนย้ายมาจากซีซานเมื่อหลายปีก่อน ส่วนมากพวกเขาเคยพบเห็นคุณชายท่านนี้มาก่อน และรู้จักนิสัยของคุณชายผู้นี้เป็นอย่างดี
พวกเขาดีใจกันยกใหญ่
“ฝ่าบาท พระองค์มาตรวจงานด้วยตนเองเลยหรือ ! ”
“ฝ่าบาท ข้าน้อยจำเหตุการณ์พายุถล่มที่ซีซานได้ดี นี่มันผ่านมากี่ปีแล้วกัน ฝ่าบาทอาจจะลืมวิธีการเกี่ยวข้าวไปแล้วก็เป็นได้”
“สบายใจได้ คุณชายผู้นี้จำได้มิเคยลืมเลือน มา ๆ ๆ มาแข่งกันเกี่ยวข้าว มาดูกันว่าผู้ใดจะเกี่ยวได้เร็วกว่ากัน ! ”
ความสนุกสนานได้อบอวลท่วมแปลงนา
ฮั่วหวยจิ่นหลุดยิ้มออกมา เขาจ้องมองไปยังฝ่าบาทที่กำลังก้มลงใช้เคียวเกี่ยวข้าวพลางครุ่นคิดในใจว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ช่างพิลึกพิลั่นสิ้นดี
เขามิต่างอันใดจากชายหนุ่มผู้นั้นที่ตนเคยรู้จักเมื่อสมัยราชวงศ์หยูเลยสักนิด
1แหล่งน้ำบาดาลทั้งเก้า เป็นสถานที่ที่คนจีนเชื่อกันว่าคนตายจะเดินทางไป