นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1261 ขอความเห็น
ตอนที่ 1261 ขอความเห็น
ดวงดาราสุกสกาววาววับ
ราตรีนี้ลานบ้านของหวางเฉียงครึกครื้นยิ่งกว่างานวันปีใหม่เสียอีก
ทหารองครักษ์ 3,000 นายจัดแจงกางเพิงพักภายในหมู่บ้าน ส่วนฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ล้วนพำนักอยู่ในบ้านของหวางเฉียง
ภายในลานบ้านมีกองไฟจุดสว่างโชติช่วง หยูรั่วซิงเป็นสะใภ้ของหวางเฉียง เป็นภรรยาของหวังเสี่ยวจ้วง และเป็นบุตรสาวของเผิงยวี๋เยี่ยนกำลังย่างแกะทั้งตัว
ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟตามอำเภอใจ หยูรั่วซิงจัดแจงชงชาให้คนละหนึ่งถ้วย นางเพิ่งมีโอกาสได้สำรวจตรวจตราฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นนั่นเอง นางทำปากยู่ด้วยความน้อยใจพลางเอ่ยออกมาว่า
“ฝ่าบาท ตอนที่ข้าสมรสกับเสี่ยวจ้วง ท่านมิเห็นเสด็จมาร่วมงานเลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ข้ามามิได้จริง ๆ ตอนนั้นข้าออกเดินทางท่องมหาสมุทร คิดจะกลับมาก็ทำมิได้ ! แต่เหล่าสนมก็เดินทางมาร่วมงานด้วยมิใช่หรือ ? ”
หยูรั่วซิงหัวเราะตาม คราหนึ่งท่านแม่เคยบอกว่าฟู่เสี่ยวกวนคือจักรพรรดิที่เป็นกันเองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อยามอาทิตย์อัสดง นางเห็นฝ่าบาททรงลงนาเกี่ยวข้าว นั่นทำให้หยูรั่วซิงเชื่อมารดาอย่างสนิทใจ ทำให้นางเกิดความเคารพนับถือต่อฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้น
“ข้าก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย การที่เหล่าพระสนมให้เกียรติมาร่วมงานก็ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว เพียงแต่ข้ายังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะท่านแม่มักจะเอ่ยถึงฝ่าบาทอยู่บ่อย ๆ ข้าก็เลยอยากจะเห็นว่าท่านมีรูปร่างหน้าตาเยี่ยงไรกันแน่”
“แม่ของเจ้าอยู่ที่ชื่อเล่อชวนสบายดีหรือไม่ ? ”
“นางยังมิได้เล่าให้ฝ่าบาทฟังอีกหรือ ? เร็ว ๆ นี้จะมีการเดินทัพสำรวจทางไกลอีกครา พี่ชายทั้งสองของข้าต่างก็ประจำอยู่ในกองทัพบกที่หนึ่ง พวกเขาจึงต้องออกเดินทางไปรบ แม่ของข้ารู้สึกมิสบายใจ ก็เลยตัดสินใจออกเดินทางตามพี่ชายทั้งสองของข้าไปด้วย คาดว่าบัดนี้คงจะเดินทางไปถึงฐานทัพของกองทัพบกที่หนึ่งแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะตกใจ เพราะเขามิรู้เรื่องนี้มาก่อนอย่างแท้จริง
ทว่าเมื่อย้อนกลับมาคิดดูดี ๆ การที่เผิงยวี๋เยี่ยนติดตามกองทัพไปรบก็มิใช่เรื่องเสียหายอันใด เพราะครานี้จำต้องออกไปทำศึกยังดินแดนอันไกลโพ้นและในฐานะแม่คนหนึ่ง นางคงมิสบายใจที่ต้องรอฟังข่าวอยู่ที่ชื่อเล่อชวน
“แม่ของเจ้าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ พ่อของเจ้าก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน ! ”
“ปีนั้นที่ข้าต้องไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋ ข้าเคยแวะไปเยี่ยมเยือนพวกเขาทั้งสองในค่ายทหารทางใต้บนที่ราบชังซี พวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกัน แม้หลังจากนั้นจะมีสงครามประทุขึ้นมา ทว่าพวกเขาก็ยังเป็นสหายที่ดีที่สุดในใจของข้า ! ”
หยูรั่วซิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ท่านแม่บอกว่าตอนนั้นต่างก็มีความคิดมิตรงกัน นางมิปรารถนาที่จะเป็นศัตรูกับท่าน ทว่าท่านพ่อ… ในเมื่อท่านพ่อเป็นถึงแม่ทัพชายแดนใต้ เขาจึงต้องรบเท่านั้น”
“อืม…ข้าเข้าใจดี รั่วซิง…เจ้าเกลียดข้าหรือไม่ ? ”
“…แรกเริ่มเดิมทีข้าก็เกลียดท่านอยู่หรอก ทว่าหลังจากนั้นท่านแม่ได้เล่าเรื่องราวมากมายให้ข้าฟัง และข้าก็ได้เห็นความรุ่งเรืองของชื่อเล่อชวนประจักษ์แก่สายตาตนเอง มันทำให้ข้าได้รู้ว่าการที่ราชวงศ์หยูเดินทางมาถึงจุดจบเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ และข้าก็รู้ว่าต้าเซี่ยเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุก ๆ วัน ชีวิตของชาวบ้านดีวันดีคืน เมื่อคิดได้เช่นนี้ข้าจึงมิโกรธ และข้ายังนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง พี่ชายทั้งสองของข้าก็เช่นกัน พวกเขาบอกว่าการต่อสู้เพื่อต้าเซี่ยคือเกียรติในชีวิตของพวกเขา ! ”
“ก็ดี ! ดังนั้นแม่ทัพเผิงคือวีรสตรีตัวจริงของชาติบ้านเมือง ! เมื่อนางติดตามกองทัพไป ข้าก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย”
อู๋เทียนซื่อมิเคยรับรู้เรืองราวเหล่านี้มาก่อน เขานั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “เสด็จพ่อ แม่ทัพเผิงเป็นผู้ใดกัน ? นางเป็นสตรีเยี่ยงนั้นหรือ ? นางเก่งกาจหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ “อืม…นางเก่งมากเลยล่ะ และที่สำคัญนางมักทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อส่วนรวม”
“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องหารือกับเจ้าสักหน่อย” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองหวางเฉียงขณะที่เอ่ย
หวางเฉียงผงะแล้วตอบรับว่า “คุณชาย ข้าน้อยจะทำตามคำสั่งของคุณชายทุกประการ”
“เรื่องนี้ข้ามิอาจบังคับเจ้าได้ เจ้าจงฟังก่อน อย่าได้รีบร้อนรับปาก ฟังเสร็จแล้วก็จงคิดตริตรองให้ดี”
เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างตั้งใจ มิเพียงแค่หวางเฉียงเท่านั้นที่ตั้งใจฟัง คนอื่น ๆ ก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อเช่นเดียวกัน มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีเรื่องสำคัญอันใดถึงต้องขอความเห็นจากชาวนา
“ราวต้นปีหน้าข้าจะออกท่องมหาสมุทร…จำต้องเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล”
“และข้าก็อยากไปตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่บนสถานที่ห่างไกลแห่งนั้นด้วยเช่นกัน พวกเจ้าอย่าได้ทำหน้าประหลาดใจไป นี่คือสิ่งที่ข้าคิดและเตรียมการเอาไว้จริง ๆ ”
“ข้าจะพาคนจำนวนหนึ่งออกไป และต้องการขนเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งออกไปด้วยเช่นกัน ข้าจะไปทำนาที่นั่น ครานี้ข้าจะออกไปทำนาจริง ๆ ! ”
“ท่านจัว ท่านเยี่ยนและท่านฉินพวกเขาต่างก็ทราบดี เสนาบดีทั้งสามในราชสำนักก็ทราบดีเช่นกัน”
“หลังจากที่ข้าออกเดินทางไปในปีหน้า ข้าจะส่งมอบต้าเซี่ยไว้ในมือของอู๋เทียนซื่อ เรื่องนี้เหล่าเสนาบดีในราชสำนักต่างก็ทราบกันดี เพียงแต่ข้ายังมิได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น”
“การออกสำรวจทางไกลครานี้ ข้าจะหยุดที่อิงเทียน…ข้าตั้งชื่อที่นั่นไว้ว่าอิงเทียน ข้าจะหยุดที่อิงเทียนแล้วเข้าสำรวจลาดเลาที่นั่น หลังจากนั้นจะทำการยึดครองผืนปฐพีนั้นมา”
“มันมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งนั่นก็หมายความว่าข้าจะมีที่นาจำนวนมหาศาล ข้าก็เลยต้องการคนจำนวนมากไปปลูกข้าวที่นั่น”
“หลังจากนี้เจ้าจงเอ่ยถามคนในไร่หลวงและรวบรวมจำนวนคนมาว่ามีจำนวนเท่าใดที่ต้องการติดตามข้าไปบุกเบิกที่นาในต่างแดน”
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่าการเดินทางครานี้ไกลยิ่งนัก ระหว่างทางอาจจะต้องเผชิญกับอันตราย ดังนั้นนี่จะเป็นการออกเดินทางตามความสมัครใจ รวมถึงตัวเจ้าด้วยเช่นกัน หากเจ้ามิปรารถนาที่จะไป ข้าก็จะมิบังคับเจ้า และจะมิกล่าวโทษเจ้าแต่อย่างใด”
หวางเฉียงกับหยูรั่วซิงต่างก็ตะลึงจนอ้าปากค้าง
ฝ่าบาทจะสละตำแหน่งจักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในต้าเซี่ยก็มีที่นาจำนวนมหาศาลมิใช่หรือ ?
นาในต้าเซี่ยมิดีเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดถึงต้องข้ามน้ำข้ามมหาสมุทรไปทำนาที่อื่นด้วยกัน ?
หรือนาที่อื่นจะอุดมสมบูรณ์มากกว่า ?
“คุณชาย ข้าน้อยเป็นผู้เช่าของคุณชายตั้งเเต่ยังอาศัยอยู่ในซีซาน ทุกวันนี้ได้คอยดูแลปรนนิบัติไร่หลวงของพระองค์ ถ้าหากคุณชายจะเดินทางไปทำนายังสถานที่ห่างไกล ข้าน้อยย่อมจะติดตามคุณชายไปด้วยอยู่แล้ว”
หวางเฉียงสูบยาสูบเข้าไปลึกสุดปอด จากนั้นก็พ่นควันสีเทาหม่นออกมาแล้วเอ่ยต่อว่า “วันพรุ่งข้าน้อยจะตระเวนถามแต่ละหมู่บ้าน จากนั้นจะแจ้งข่าวให้คุณชายทราบโดยเร็วที่สุด”
“อืม…เรื่องนี้มิจำเป็นต้องรีบร้อน พวกเรายังมีเวลาอีกหลายเดือน รั่วซิง…เนื้อแกะสุกแล้วหรือยัง ? ”
หยูรั่วซิงเพิ่งดึงสติกลับมาได้ในตอนนั้น นางรีบร้อนหั่นเนื้อแกะออกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็แบ่งใส่จานของทุกคน
“ฝ่าบาท ข้า…ข้าไปด้วยได้หรือไม่ ? ”
“เจ้าจะไปทำอันใดกัน ? เสี่ยวจ้วงจำเป็นต้องประจำการอยู่ที่นี่”
“อ่อ...”
“พวกเจ้าอย่าคิดมากเลย กินก่อนเถิด กินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หยูรั่วซิงอาศัยอยู่บนทุกหญ้ามานานหลายปี นางจึงมีฝีมือในการย่างเนื้อแกะ ซึ่งถูกปากฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก อู๋เทียนซื่อรู้สึกว่ารสชาตินี้ดีกว่ารสชาติอาหารของห้องเครื่องเป็นไหน ๆ
ส่วนพวกฉินปิ่งจงที่อายุมากแล้ว ฟันของพวกเขาเริ่มจะมิดีแล้วเช่นกัน หยูรั่วซิงจึงตักซุปเนื้อแกะที่ตุ่นจนนิ่มแล้วให้กับพวกเขาแทน ฉินปิ่งจงรับซุปเนื้อแกะพลางหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนพร้อมเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เรื่องนี้…ฝ่าบาทจงคิดตริตรองให้ถี่ถ้วนอีกคราเถิด”
“พี่ฉิน…เรื่องนี้ข้าตริตรองมานานหลายปีแล้ว ตอนนั้นเพิ่งสถาปนาต้าเซี่ยได้มินาน ข้าจึงมิอาจผละตัวออกไปได้ ทว่าบัดนี้รากฐานของต้าเซี่ยมั่นคงแล้ว สงบสุขไปทั่วสารทิศ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องการบริหารของขุนนางไว้ให้ดี ต้องให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และการศึกษา วิถีของต้าเซี่ยยังมิได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก อู๋เทียนซื่อมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหาร อีกทั้งยังมีเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและคณะรัฐมนตรีคอยช่วยเหลือ”
“ข้าอยากใช้ชีวิตในแบบที่ข้าปรารถนาจริง ๆ แท้ที่จริงการเดินทางไกลครานี้ เส้นทางการเดินเรือจากต้าเซี่ยไปสู่ยุโรปจะถูกบุกเบิกทั้งหมด ข้าจะก่อสร้างท่าเรือของต้าเซี่ยไว้ตามชายฝั่งทะเล เมื่อพวกเรามีชัยเหนือยุโรป เมื่อนั้นต้าเซี่ยและทวีปยุโรปจะเดินทางไปมาหาสู่กันได้”
“ส่วนอิงเทียนที่ข้าบอกก็ตั้งอยู่บนเส้นทางนั้นเช่นกัน”
“เมื่อเส้นทางทางทะเลถูกบุกเบิกจนแล้วเสร็จเมื่อใด การเดินทางไปมาหาสู่กันก็จะสะดวกมากขึ้น มิแน่พวกเจ้าอาจจะโดยสารเรือไปเยี่ยมชมอิงเทียน หรือมิแน่ข้าอาจจะโดยสารเรือกลับมาเที่ยวเล่นที่ต้าเซี่ย”
“ดังนั้นระยะห่างที่เป็นปัญหาในทุกวันนี้ ในอนาคตมันจะมิเป็นปัญหาอีกต่อไป มันก็เป็นเหมือนรถไฟนั่นแหละ ดีมิดีเมื่อถึงเวลานั้นการเดินทางไปยังอิงเทียนอาจจะใช้เวลาเพียงแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น”
“เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปเที่ยวชมต่างบ้านต่างเมืองเอง”