นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1262 ข้าจะมอบแพรขาว 3 ฉื่อให้แก่ท่าน
ตอนที่ 1262 ข้าจะมอบแพรขาว 3 ฉื่อให้แก่ท่าน
ฟู่เสี่ยวกวนเสด็จประพาสนอกเมืองหลวง
เขาเสด็จไปยังโม่โจวเพื่อเยี่ยมเยือนหวางเฉียง
จากนั้นก็เดินทางไปยังเขตซื่อหยาง เพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และการสกัดน้ำมัน
เมื่อกลับมาถึงเมืองฉางอันก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงพอดี
ฝนในสารทฤดูชวนให้โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ดอกเบญจมาศหน้าห้องทรงพระอักษรเบ่งบานชวนมอง
วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะประการหนึ่งก็คือแผนพัฒนาชุมชุนของต้าเซี่ยได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และอีกประการก็คือหวางเฉียงเพิ่งส่งจดหมายมาแจ้งข่าวคราวว่าชาวนาที่ไร่หลวงทั้งหนึ่งหมื่นครัวเรือน รวมทั้งสิ้นหกหมื่นกว่าชีวิตสมัครใจที่จะเดินทางติดตามเขาไปยังดินแดนที่มีนามว่าอิงเทียน
ในห้องทรงพระอักษร ไป๋ยู่เหลียนถือถ้วยชาพลางมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน
“ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะทำตามความตั้งใจเดิม”
“หลังจากที่กองทัพเรือเดินทางถึงอิงเทียน ข้าจะนำทหารนาวิกโยธิน 20,000 นายไปประจำการที่นั่น จากนั้นก็ทำการสำรวจแผนที่ของดินแดนตรงนั้นเสีย ถ้าหากว่ามีกองกำลังอยู่ที่นั่นก็จะกำจัดให้สิ้น เพื่อแย่งชิงผืนปฐพีนั้นมาเป็นของฝ่าบาท”
ฟู่เสี่ยวกวนลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ! การออกเดินทางสำรวจในปีหน้ามิได้รีบร้อน ต้องพาพวกหวางเฉียง…อดีตชาวซีซานทั้งหลายเดินทางไปด้วยกัน ”
“เมื่อไปถึงอิงเทียน พวกเขาสามารถช่วยก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคได้ มิว่าเยี่ยงไรที่นั่นก็เป็นสถานที่ที่พวกเราจะใช้อีกครึ่งชีวิตที่เหลือ พวกเราต้องมิตกระกำลำบาก พวกเราจะไปดื่มด่ำกับอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ สิ่งใดที่สมควรมีก็ต้องมี”
“รับทราบ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนดื่มชาแล้วเอ่ยถามว่า “ต้องพาคนของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ไปด้วยหรือไม่ ? ”
“ต้องพาไป ทว่าพาไปเพียงมิกี่คนเท่านั้น เพราะเยี่ยงไรเสียที่นั่นก็ห่างไกลมากยิ่งนัก พวกเราต้องมีกองกำลังเพื่อรับมือกับศัตรูที่อาจจะบุกรุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ”
“เช่นนั้นก็เท่ากับก่อตั้งประเทศขึ้นมาอีกประเทศหนึ่งเลยน่ะสิ ? ”
“…จะเข้าใจเยี่ยงนั้นก็ได้ เพียงแต่ประเทศนี้มิได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่จะมีอาวุธที่ล้ำสมัย มีการเกษตรและการค้าที่ก้าวหน้า…เหล่าพ่อค้าของต้าเซี่ยสามารถไปลงทุนที่นั่นได้เช่นกัน เพราะที่นั่นอยู่ใกล้กับทวีปยุโรป ทำให้สะดวกต่อการไหลเวียนสินค้า พวกเราสามารถเรียกเก็บภาษีจากพวกเขาเพื่อใช้จ่ายภายในได้”
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะร่า “ข้าจำต้องไปยังเซี่ยเย๋สักครา เพื่อดูว่าพวกเขาเตรียมความพร้อมสำหรับการสำรวจทางไกลถึงที่ใดแล้ว”
“อืม…อย่าลืมกลับมาตอนปีใหม่ล่ะ”
“เกรงว่าจะกลับมามิทันแล้วน่ะสิ เจ้ามีอันใดจะฝากไปให้ฟู่โอ่วหลานที่เซียเย๋หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จงไปบอกนางว่า ตอนที่ออกเดินทางสำรวจให้พาแม่ของนางเดินทางไปพร้อมกัน”
“รับทราบ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรแล้วทอดสายตามองดอกเบญจมาศสีสดภายใต้สายฝนที่กำลังตกโปรยปราย การเดินทางออกจากต้าเซี่ยมิใช่สิ่งที่ไร้ความหมาย ทว่ามันเป็นการเว้นระยะห่างให้เทียนซื่อได้เติบโตด้วยลำแข้งของตนเอง
ตนในฐานะบิดาได้เติบโตมาอย่างงดงาม อู๋เทียนซื่อผู้ซึ่งเติบโตภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ เขามิเคยเผชิญกับพายุ และแทบจะมิมีโอกาสได้เห็นแสงสุริยาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ตนเดินทางออกไปแล้ว ก็จะไร้เงาจากต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาแก่บุตรชาย พอถึงตอนนั้นเขาจะมีโอกาสเติบโตด้วยตนเอง
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดว่าจะดำเนินการพัฒนาต่อไปเยี่ยงไรในอนาคต หลิวจิ่นก็ได้วิ่งฝ่าห่าฝนเข้ามาพอดี
“ฝ่าบาท” หลิวจิ่นโค้งคารวะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หยูซูหรงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพิ่งเดินทางมาถึงกรมราชทัณฑ์เมื่อครู่นี้”
“อืม…พานางมาที่ห้องทรงพระอักษรสิ ให้นางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้านเสียก่อน”
“ฝ่าบาท ผู้บัญชาการที่ปฏิบัติภารกิจครานี้ ซึ่งก็คือเฉิงเผิงมีความประสงค์จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท เอ่ยว่า…เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ! ”
“พาผู้บัญชาการเผิงเข้ามา”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินกลับไปยังห้องทรงพระอักษร เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นหลิวจิ่นก็ได้นำเฉิงเผิงเข้ามา
เฉิงเผิงประคองสองมือคารวะ “กระหม่อมเฉิงเผิง ขอฝ่าบาททรงพระราชทานอภัยโทษ ! ”
“ผู้บัญชาการเผิงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จะให้กล่าวโทษอันใดกัน ? ”
“ทูลฝ่าบาท ตามพระราชโองการของฝ่าบาท เดิมทีกระหม่อมควรจะจับตัวคูฉานกลับมาด้วย แต่…แต่กระหม่อมกลับตัดสินใจด้วยตนเองว่าให้พาแค่หยูซูหรงกลับมาเพียงผู้เดียว”
ดูเหมือนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ถือโทษเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาส่งยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วหันไปมองทางเฉิงเผิง “เพราะเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เฉิงเผิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งไปให้ฟู่เสี่ยวกวน “ตอนนั้นกระหม่อมได้ทำการโจมตีเมืองคานเทียร์ คูฉานและหยูซูหรงไหวตัวทัน จึงหนีไปเสียก่อน ทว่าคูฉานกลับเลือกที่จะทิ้งข้อความนี้เอาไว้ กระหม่อมจึงคิดว่า…คนผู้นี้อาจจะมีความตั้งใจที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับจักรวรรดิโมริยะจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับกระดาษไปอ่าน “ข้าคือคูฉาน พวกเจ้าเป็นทหารของต้าเซี่ย ได้โปรดอย่าทำร้ายราษฎรตาดำ ๆ เพราะพวกเขาคือผู้บริสุทธิ์ ! ”
ข้อความช่างแสดงตัวตนของคูฉานได้ดีเสียจริง
“เจ้ากลับไปเถิด ข้ามิโทษเจ้าหรอก เยี่ยงไรเสียคูฉานก็เป็นเพียงพระสงฆ์รูปหนึ่ง จิตใจของเขาจะเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
ในที่สุดเฉิงเผิงก็โล่งใจได้เสียที เขาโค้งคารวะแล้วเดินออกจากห้องทรงพระอักษร
ฟู่เสี่ยวกวนก้มอ่านข้อความนั้นอีกครา เขาถอนหายใจยาวออกมาแล้วพึมพำกับตนเองว่า “หวังว่าเจ้าจะเป็นคูฉานคนเดิมคนนั้นตลอดไป ! ”
……
……
หยูซูหรงถูกนำตัวเข้ามา
นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีพื้น บัดนี้ผมเผ้าของนางยังคงเปียกปอน แม้สีหน้าจะดูเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มิได้อิดโรยจากการเดินทาง
นางยืนอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนพลางสำรวจตรวจตราจักรพรรดิที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งมีอายุเพียงแค่สามสิบกว่าปีเท่านั้น
แม้จักรพรรดิพระองค์นี้จะทรงประทับอย่างสบาย ๆ ทว่าท่าทีก็ยังสง่าเนื่องจากความผ่าเผยที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์
เขาเปรียบดั่งบ่อน้ำที่ยากเกินจะหยั่งถึงก้นบ่อ !
สายตาที่เขามองตน มิมีความโกรธเคือง ประหลาดใจ หรือแม้แต่สงสัย
สายตาคู่นั้นไร้ความรู้สึก และนี่คือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างแท้จริง !
“ท่านป้าเชิญนั่งลงเถิด ! ”
หยูซูหรงนั่งลง
เดิมทีนางคิดว่าอย่างน้อย ๆ ฟู่เสี่ยวกวนต้องเอ่ยถามอันใดบางอย่าง ทว่ามันกลับมิเป็นอย่างที่นางคิด
“ข้าได้เล่าเรื่องของท่านให้หยูเวิ่นหวินฟังบ้างแล้ว นางเศร้าเสียใจไปนานหลายวัน ทว่าหลังจากนั้นนางก็ค่อย ๆ เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น”
“ข้าได้ย้ายหยูเวิ่นเทียนมาประจำที่กรมยุทธการ คนแซ่หยูเหลือมิมากแล้ว ข้ามิอยากให้คนแซ่หยูต้องลงเอยด้วยการถูกฆ่าล้างทั้งวงศ์ตระกูล”
“บางคราข้าก็มักจะคิดว่า ถ้าหากปีนั้นท่านมิได้ส่งต่งชูหลานเข้ามาเจรจาการค้าที่เมืองหลิงเจียง ข้าอาจจะยังเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินที่ใช้ชีวิตสำราญไปวัน ๆ ”
“ดังนั้นท่านต่างหากคือคนแรกที่ผลักดันให้ข้าเป็นข้าในทุกวันนี้”
หยูซูหรงนิ่งเงียบไป
นี่แหละหนอที่เขาว่าสรรพสิ่งบนโลกล้วนแต่มิอาจคาดการณ์ได้
ผู้ใดจะคาดคิดว่าต่งชูหลานจะถูกฟู่เสี่ยวกวนกลั่นแกลัง จนถูกองค์รักษ์ของต่งชูหลานเล่นงานเข้าให้ ทว่าเขากลับมิตาย จากบุตรชายของตระกูลที่ร่ำรวยแห่งเมืองหลินเจียง ทั้งยังเอาแต่เสเพลไปวัน ๆ ได้กลายมาเป็นชายหนุ่มที่ฉลาดหลักแหลมไปเสียอย่างนั้น
ถ้าหากมิมีเหตุการณ์นั้น และถ้าหากตอนนั้นต่งชูหลานมิถูกส่งตัวไปยังหลินเจียง พวกเขาก็คงมิมีโอกาสได้พบกัน ฟู่เสี่ยวกวนก็จะยังเป็นชายหนุ่มเสเพลคนเดิม ต่อให้ถูกนำตัวกลับไปยังราชวงศ์อู๋ เขาก็คงเป็นเพียงรัชทายาทที่มิเอาถ่านเท่านั้น
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจที่ดูเหมือนจะมิสลักสำคัญอันใด
“ข้าขอเอ่ยอย่างมิปิดบังว่าข้าเคารพท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านได้ช่วยเหลือเกื้อกูลข้าไว้มากมายเมื่อคราที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองจินหลิง”
“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ท่านเองก็คงทราบดีว่ามันมิใช่ความปรารถนาของข้า ข้ามิได้อยากตาย ! ข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ข้าถึงต้องลงมือสังหารพวกที่อยากส่งข้าไปตาย”
“และคูฉานก็เป็นสหายที่ดีของข้าคนหนึ่ง ความรู้เรื่องพุทธศาสนาของเขามิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ ธูปเทียนในวัดที่เขาได้สร้างไว้ทั้งสามแห่งในชื่อเล่อชวนยังคงสว่างโชติช่วง ดังนั้นหนทางของเขามิควรช่วงชิงเพื่อเป็นใหญ่…ข้าเชื่อว่าเจตนารมณ์ของเขาที่ได้กระทำลงไปในจักรวรรดิโมริยะมิใช่การแย่งชิงอำนาจ”
“เพียงแต่ว่า…หลังจากที่ท่านเข้าไปแทรกแซง ท่านได้ผลักให้เขาเดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งแตกต่าง ท่านอาจจะคิดว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ทว่าสำหรับคูฉานแล้วนั้น…มันเท่ากับว่าจักรวรรดิโมริยะต้องสูญเสียพระชั้นสูงไปอีกคน ทว่าจะมีจักรพรรดิที่ใจเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน นี่มิใช่ความโชคดีของจักรวรรดิโมริยะ และก็มิใช่ความโชคดีของคูฉานด้วยเช่นกัน”
“ท่านไปพบเวิ่นหวินเถิด ไปสนทนากับนาง ราตรีนี้ให้ท่านได้กินอาหารค่ำร่วมกันกับนาง…ท่านอยากตายที่เมืองจินหลิงหรือตายที่เมืองฉางอันล่ะ ? ข้าจะมอบแพรขาว 3 ฉื่อ1ให้แก่ท่าน ! ”
1แพรขาว 3 ฉื่อ เป็นการทำโทษโดยวิธีผูกคอตาย