นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1269 คนเคยรู้จักกับอาทิตย์อัสดง
ตอนที่ 1269 คนเคยรู้จักกับอาทิตย์อัสดง
ณ เขตปกครองซีหลิน
เขตปกครองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกของประเทศต้าฝาน
ขบวนของคูฉานได้เดินทางมาถึงเขตปกครองซีหลินในวันนี้ เขามิได้พำนักอยู่ในเมือง แต่เลือกที่จะปักหลักตั้งค่ายอยู่ด้านนอกเขตปกครองซีหลินแทน
หงจวงผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของเขาได้นำทหาร 10,000 นายล้อมรอบค่าย บัดนี้เพิงพักถูกกางเสร็จแล้ว พ่อครัวในห้องเครื่องที่ร่วมเดินทัพมาด้วยเริ่มลงมือประกอบอาหาร ส่วนหงจวงทำหน้าที่นำทหารรักษาพระองษ์หนึ่งพันนายคอยลาดตระเวน
บัดนี้หงจวงกำลังยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตกของค่ายทหาร เพราะตอนนี้นาง… เพราะตอนนี้นางได้เห็นคนผู้หนึ่งกำลังขี่ม้ามุ่งหน้ามาทางค่าย
นางหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมอง คนผู้นั้นเป็นสตรี เป็นสตรีที่แบกดาบเล่มใหญ่ไว้บนหลัง !
แน่นอนว่าสตรีนางนั้นคือเผิงยวี๋เยี่ยน
“หยุด… ! ”
หงจวงชักดาบขึ้นมา เผิงยวี๋เยี่ยนกระโดดลงมาจากหลังม้าแล้วหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหงจวง
สายตาของหงจวงหรี่ลงเพื่อเพ่งมอง “เป็นชาวต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าว่าเจ้าก็เป็นชาวต้าเซี่ยเหมือนกันกับข้านะ ! ” เผิงยวี๋เยี่ยนตอบพลางยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”
“ข้าคือเผิงยวี๋เยี่ยน ขอไหว้วานให้แม่นางช่วยแจ้งให้คูฉานทราบด้วยเถิด”
หงจวงผงะตกใจ แม้ว่านางจะมิเคยเจอเผิงยวี๋เยี่ยนตัวเป็น ๆ แต่นางก็ได้ยินคูฉานเอ่ยถึงเผิงยวี๋เยี่ยนนับครามิถ้วน
คูฉานบอกว่ามีสตรีที่ยิ่งใหญ่นางหนึ่งอาศัยอยู่ที่ชื่อเล่อชวน แต่ก่อนนางเป็นภรรยาของแม่ทัพแห่งกองทัพชายแดนใต้ราชวงศ์หยู นางจากชายแดนใต้ในตอนที่ศึก ณ ที่ราบฮวาจ้งปะทุขึ้นมา นางเดินทางไปยังเมืองจินหลิงแล้วพาลูก ๆ ไปอาศัยอยู่ที่ชื่อเล่อชวน
นางได้ลงหลักปักฐานใหม่ที่ชนเผ่าหวานเหยียน ทั้งยังได้รับความไว้ใจจากชาวเผ่าหวานเหยียนให้ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า
นางเลี้ยงลูกสามคนจนเติบใหญ่ด้วยตัวคนเดียว และทุกวันนี้บุตรชายทั้งสองของนางก็ได้เป็นทหารในกองทัพบกที่หนึ่งของต้าเซี่ย ทั้งยังได้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลที่หนึ่งและสองอีกด้วย !
นางได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชนเผ่าหวานเหยียน ตอนที่คูฉานไปเยือนชื่อเล่อชวน เขาได้อาศัยอยู่ในชนเผ่าหวานเหยียน โดยอาศัยอยู่ในบ้านของเผิงยวี๋เยี่ยนนั่นเอง
บัดนี้กองทัพบกที่หนึ่งของต้าเซี่ยใช้ประเทศต้าฝานเป็นทางผ่าน บุตรชายทั้งสองของเผิงยวี๋เยี่ยนเป็นหนึ่งในทหารของกองทัพบกด้วยเช่นกัน คาดมิถึงว่านางจะตามมาร่วมกองทัพกับพวกเขาด้วย
เช่นนั้นวัตถุประสงค์ของนางจะต้องเป็นการโน้มน้าวฝ่าบาทเป็นแน่
หวงจ้างเก็บดาบลงแล้วประคองมือคารวะ “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านแม่ทัพเผิงมาช้านานแล้ว !”
“เพียงแต่…” หงจ้วงเงยหน้าขึ้นมองเผิงยวี๋เยี่ยนแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เพียงแต่ฝ่าบาทในตอนนี้ มิใช่คูฉานในวันวานอีกต่อไปแล้ว เกรงว่าท่านแม่ทัพเผิงจะมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ ข้าน้อยเห็นว่า ท่านแม่ทัพเผิง…ควรจะพาลูกชายทั้งสองของท่านหนีไปเสีย เช่นนี้ต่างฝ่ายก็ยังคงมีความทรงจำที่สวยงามต่อกัน”
เผิงยวี๋เยี่ยนยังคงส่งยิ้มบาง ๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าเริ่มชราแล้ว ข้าคงมิมีโอกาสได้มาเยือนประเทศต้าฝานอีกแล้วล่ะ”
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว และคูฉานก็อยู่ที่นี่ ข้าก็เลยอยากจะมาพบเขาอีกสักครา”
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพเผิงโปรดรอสักครู่เถิด ! ”
“ได้สิ ! ”
หงจาวรีบควบม้ากลับไปยังเพิงพักของคูฉาน จากนั้นก็ถ่ายทอดคำเอ่ยของเผิงยวี๋เยี่ยนออกไป คูฉานก้มหน้าก้มตา เขาย่อมรู้ว่าจุดประสงค์ของการมาเยือนครานี้คืออันใด ในใจของเขาก็อยากจะพบเผิงยวี๋เยี่ยนอีกสักครา ทว่าเขาก็มิรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับแม่ทัพเผิงผู้ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาได้เยี่ยงไร
“หม่อมฉันคิดว่า…แม่ทัพเผิงเดินทางมาไกลหลายพันลี้ นี่คือพรหมลิขิต”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่คือพรหมลิขิต”
“ปีนั้นข้าร่อนเร่พเนจรอยู่ในชื่อเล่อชวน เดินไปเรื่อย ๆ ตามที่ใจปรารถนา เมื่อเดินทางไปถึงชนเผ่าแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าที่นั่นคือชนเผ่าหวานเหยียน ข้าบังเอิญพบแม่ทัพเผิงที่นั่น”
“นั่นคือพรหมลิขิต…นี่ก็พรหมลิขิต…ล้วนแต่เป็นกรรม ! ”
“ไปเชิญท่านแม่ทัพเผิงมาสิ ! ”
……
……
ที่นี่คือค่ายทหาร ทว่าเมื่อเผิงยวี๋เยี่ยนย่างกรายเข้ามาในค่ายแห่งนี้ มันกลับทำให้นางรู้สึกว่าที่นี่เหมือนกับวัดแห่งหนึ่งมากกว่า
คูฉานสวมชุดผ้าป่านสีเทาออกมาต้อนรับ “ท่านแม่ทัพ มิได้พบกันนานเลยนะ ! ”
“คูฉานมิได้พบกันนานเลย ! ”
เมื่อถูกเรียนว่าคูฉาน เขาจึงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน หงจวงที่อยู่ข้างหลังก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน
เมื่อฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็ได้เปลี่ยนพระนามเป็นฝานฉาน เอ่ยได้อีกอย่างคือการที่เรียกว่าคูฉานถือเป็นสิ่งต้องห้าม
ทว่าเผิงยวี๋เยี่ยนกลับเรียกได้อย่างสบาย ๆ เมื่อคูฉานได้ยินเช่นนั้น เหมือนว่าตัวเขาเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่าการเอ่ยนามนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเขา
“ท่านแม่ทัพนั่งลงก่อนเถิด ! ”
“ขอบคุณ ! ”
ทั้งสองนั่งลงคนละฝั่งของโต๊ะหนังสือ
บนโต๊ะหนังสือของเขามีธูปไม้จันทน์จุดอยู่ มีลักษณะตรงทื่อดั่งเสาเข็ม ส่งกลิ่นหอมอวลไปทั่วเพิงพักแห่งนี้
ถัดไปเป็นแผนที่ ทว่าเผิงยวี๋เยี่ยนเพียงแค่เหลือบสายตาไปมองแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็มิหันไปมองอีกต่อไป นางจ้องมองไปยังใบหน้าของคูฉาน
“เจ้าผอมกว่าตอนที่อยู่ในชื่อเล่อชวนมากนะ ข้าเพิ่งทราบข่าวว่าเจ้าได้รวมเอกราชของจักรวรรดิโมริยะพร้อมกับสถาปนาตนเองเป็นองค์จักรพรรดิ ทั้งยังเปลี่ยนชื่อดินแดนเเห่งนี้เป็นประเทศต้าฝาน”
“เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถล้นเหลือ มิว่าจะเป็นเรื่องคัมภีร์พระพุทธศาสนา หรือจะเป็นเรื่องการบริหารบ้านเมือง นี่แหละคือที่มาของคำว่าเก่งหนึ่งศาสตร์แล้วจะเก่งอีกร้อยพันศาสตร์ไปโดยปริยาย”
คูฉานหัวเราะออกมาด้วยความภูมิใจแต่ก็เขินอายในเวลาเดียวกัน “ท่านแม่ทัพชมกันเกินไปแล้ว…ตอนนั้นข้ารู้ซึ้งในรสพระธรรมได้ก็เพราะบทกวีอธิษฐานใต้ต้นโพธิ์ของฟู่เสี่ยวกวน”
“และการบริหารประเทศชาติบ้านเมืองแห่งนี้ ล้วนใช้วิธีการของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น ดังนั้นมิใช่เพราะข้าเก่งหรอก ทว่าเป็นเขาต่างหากที่เก่งกาจ ! ”
“นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของข้า ท่านลองคิดดูเถิด กว่าข้าจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิได้มันมิง่ายเลย ทว่าเขากลับสละราชบัลลังก์เพื่อไปสำรวจทางไกลเสียอย่างนั้น…”
“ท่านเเม่ทัพ ระหว่างทางที่เดินทางมาข้าเองก็ครุ่นคิดอยู่เสมอ ข้าคิดว่าเขามักจะเร็วกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ เขามิให้โอกาสข้าได้เเข่งขันกับเขาเลยสักนิด”
“ในขณะที่ข้ากำลังดิ้นรนแทบเป็นแทบตาย เขากลับเดินไปไกลถึงต่างบ้านต่างเมืองแล้ว”
“ข้ายอมรับว่าข้ามิมีทางที่จะเทียบเคียงเขาได้ แต่ข้าก็พอจะทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย…ยกตัวอย่างเช่น การกำจัดกองทัพบกที่หนึ่ง เมื่อเขาเดินทางไปถึงทวีปยุโยป แต่หากไร้ซึ่งกองทัพบกที่หนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะถูกกองทัพของชาวยุโรปตีจนแตกพ่ายหรือไม่ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งคูฉานเอ่ยจบ
“เจ้ายังจำบทกวีอธิษฐานใต้ต้นโพธิ์ได้หรือไม่ ? ”
“ข้ายังคงจำได้ดี ! ”
“ข้าเองก็เคยเห็นกวีบทนั้นเช่นกัน แต่ข้ามิได้มาหาเจ้าเพื่อสนทนาเรื่องบทกวีหรอกนะ ข้าเพียงอยากจะมาบอกว่า…บทกวีอธิษฐานใต้ต้นโพธิ์ยังมีต่ออีกสองประโยค เจ้าเคยรู้มาก่อนหรือไม่ ? ”
“ยังมีอีกสองประโยคเยี่ยงนั้นหรือ ? ” คูฉานผงะ
“ใช่ ! เจ้าลองฟังสองประโยคสุดท้ายดูเถิด ! ”
“การตรัสรู้นั้นเกิดขึ้นได้ในจิตใจ จำเป็นต้องออกไปค้นหาที่ใดด้วยหรือ ? ”
จงใช้โอกาสนี้ขัดเกลาตน สวรรค์ก็แค่เบื้องหน้าของเรา ! ”
“นี่คือท่อนที่เขาเติมขึ้นมาเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ” คูฉานผงะตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ อีกอย่างเขายังฝากข้อความมาให้เจ้าด้วยนะ ! ”
“ท่านแม่ทัพเอ่ยมาเถิด!”
“เขาบอกว่า…หากใจมีศีลธรรม ก็จะปฏิบัติตัวอยู่ในคุณธรรม แต่ถ้าใจไร้ศีลธรรม กระทำสิ่งใดก็ไร้คุณธรรม ถ้าหากตนไร้ความเห็นใจ จะเดินทางทั่วทุกสารทิศเพื่อวิงวอนขอพระพุทธองค์เพื่อเหตุใดกัน ? ”
“ข้าเพียงแค่อยากมาเจอเจ้า แล้วก็ถือโอกาสเอาคำเอ่ยของเขามาเอ่ยให้เจ้าฟัง”
“แน่นอนว่าข้าก็มีสิ่งที่อยากจะบอกเจ้าเช่นกัน…ถ้าหากเจ้ายังจำท้องนภาและเมฆขาว หญ้าเขียวและแกะตัวอ้วนใหญ่ของชื่อเล่อชวนได้ ก็จงสร้างประเทศต้าฝานนี้ให้สวยงามยิ่งขึ้น”
“อย่าทำให้ราษฎรของประเทศนี้ต้องลำบากทุกข์ยากเลย อย่าทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างขมชื่น อย่าคิดท้าทายความเก่งกาจของฟู่เสี่ยวกวนเลย ! ”
“ข้าขอลาก่อน ! ”
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
เผิงยวี๋เยี่ยนได้ควบม้าพร้อมกับสะพายดาบกลับไป
คูฉานยืนมองแผ่นหลังของนางที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างไกลออกไป เขามองจนกระทั่งมิเห็นแผ่นหลังนั้นอีกต่อไป
“ฝ่าบาท…”
“กลับวัง ! ”
***ช่วงนีี้นายน้อยเจ้าสำราญลงช้าหน่อยนะ เนื่องจากว่าชนต้นฉบับของจีนแล้วครับ
Comments for chapter "ตอนที่ 1269 คนเคยรู้จักกับอาทิตย์อัสดง"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
chsiri
ขอบคุณมาก ๆ ครับ