นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1270 ราตรีนี้ที่ท่าเรือ
ตอนที่ 1270 ราตรีนี้ที่ท่าเรือ
ณ ท่าเรือเซี่ยเย๋
ทหารนาวิกโยธินได้สร้างเพิงพักชั่วคราวให้แก่คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวน
ที่เเห่งนี้ตั้งอยู่ริมทะเล อาทิตย์อัสดงสาดแสงสีทองกระทบผืนทะเล ลมทะเลพัดเอื่อย ๆ นกนางนวลบินว่อนโฉบเฉี่ยว
ลูก ๆ ของเขา รวมถึงเด็ก ๆ ที่ติดตามบิดามารดามาด้วย รวมทั้งสิ้นเจ็ดถึงแปดร้อยคนเลยทีเดียว พวกเด็ก ๆ บ้างก็กำลังวิ่งเล่นภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง บ้างก็วิ่งไล่เกลียวคลื่นอย่างมิรู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ฟู่เสี่ยวกวนนอนแผ่อยู่บนหาดทรายอย่างมิห่วงรูปลักษณ์
ไป๋ยู่เหลียนนั่งอยู่ข้างกายของเขา ส่วนจัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธการยืนอยู่ข้างกายของเขา
“ข้าจะบอกอันใดให้ว่า การมาเที่ยวเล่นบนชายหาดแล้วสวมกางเกงขาสั้น แว่นตากันแดด ร่มกันแดดและเครื่องดื่มขนมหวานคลายร้อนต่างหากล่ะ ถึงจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ”
ไป๋ยู่เหลียนและจัวเปี๋ยหลีทำสีหน้างุนงง ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อว่า “รอให้ข้าเสร็จธุระก่อนเถิด ข้าจะพัฒนาชายหาดบนทวีปแห่งใหม่นั่น จากนั้นข้าจะสร้างสวนสนุกขนาดใหญ่ยักษ์ริมชายหาด ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็จะรู้เองว่าการที่ได้นอนอาบแดดมันรู้สึกดีเพียงใด”
ไป๋ยู่เหลียนเลิกคิ้วขึ้น เยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็พิลึกพิลั่นมาเนิ่นนานแล้ว เขาจึงมิเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาคว้าน้ำเต้าสำหรับใส่สุราจากเอวขึ้นมาดื่ม
จัวเปี๋ยหลีมิได้มีอารมณ์สุนทรีเท่ากับฟู่เสี่ยวกวน
เพราะการเดินทางครานี้ เขามาเพื่อส่งฟู่เสี่ยวกวนและจำต้องส่งถึงเซี่ยเย๋เท่านั้น
อีกสองวันให้หลังจากนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็จะขึ้นเรือรบและเริ่มออกเดินทางแล้ว ขณะนี้เขามัวแต่คิดเรื่องเส้นทางการรบทั้งทางบกและทางน้ำ
“หากลองคำนวนตามเวลา คาดว่าตอนนี้กองทัพของกวนเสี่ยวซีคงจะเดินทางเข้าไปในประเทศต้าฝานแล้ว เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าคูฉานจะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากเอ่ยแทงใจดำทหารเก่าแก่สักเท่าใดนัก สองมือของเขาใช้รองใต้ศีรษะเพื่อหนุนแทนหมอน พลางเงยหน้ามองท้องนภาที่อยู่ห่างไกลออกไป “เยี่ยงไรเสียคูฉานก็เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่เขาต้องลงมือสังหารก็เพื่อราษฎรของประเทศต้าฝาน เรื่องนี้พระพุทธองค์สามารถให้อภัยเขาได้ เพราะเขาฆ่าเพื่อให้เกิดการหยุดฆ่า เพื่อเเก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของเหล่าราษฎร”
“ถ้าเขายกดาบขึ้นมาสังหารกวนเสี่ยวซีเล่า… เมื่อดาบฟาดลงมาเมื่อใด เมื่อนั้นจักรวรรดิโมริยะ อ้อ…ไม่สิ ! เมื่อนั้นประเทศต้าฝานก็จะตกสู่นรก ! ”
“ข้าได้ฝากหอเทียนจีให้นำคำเอ่ยของข้าไปบอกแก่เผิงยวี๋เยี่ยนแล้ว ข้าได้ไหว้วานให้นางฝากคำเอ่ยของข้าไปให้คูฉาน…คงมีเพียงเผิงยวี๋เยี่ยนเท่านั้นที่จะสนทนากับคูฉานด้วยท่าทีที่อ่อนโยนได้”
“ข้าคิดว่า…หลังจากที่คูฉานได้ยินแล้ว เขาย่อมตระหนักขึ้นมาได้ เพราะเยี่ยงไรเขาก็เป็นผู้ที่มีความตระหนักรู้สูงส่งอยู่แล้ว ดังนั้นมิจำเป็นต้องกังวลไป หากเขากล้าที่จะทำศึกกับพวกเราขึ้นมาจริง ๆ ข้าได้บอกกับกวนเสี่ยวซีแล้วว่าให้รบกับเขาสักตั้ง”
“โจมตีประเทศต้าฝานนั่นให้ราบเป็นหน้ากอง แล้วทำให้สถานที่เเห่งนั้นกลายเป็นเซวี่ยซานเต้าเสีย”
จัวเปี๋ยหลีรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เพราะเขาเพิ่งรู้ในตอนนี้นี่เองว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เตรียมการมาช้านานแล้ว ตนได้กลัดกลุ้มใจไปเปล่า ๆ สินะ
“อ้อ…จริงสิ ! เรื่องซีเป่ยโฮ้วแห่งแคว้นเย่หลาง เจ้าจงกลับไปบอกเทียนซื่อว่า…จงออกราชโองการให้กษัตริย์ของแคว้นเย่หลาง มอบตัวซีเป่ยโฮ้วและอู๋เหวินชิงทายาทของเขามาให้ต้าเซี่ย เหตุผลก็คือซีเป่ยโฮ้วสมรู้ร่วมคิดกับหยูซูหรง ซึ่งได้นำพาความเสื่อมเสียมาให้ต้าเซี่ยอย่างใหญ่หลวง ! ”
“ถ้าหากแคว้นเย่หลางมิยอมมอบตัวสองคนนั้นมาให้…อู๋เที่ยนซื่อจำต้องลงมือกระทำการบางอย่างเพื่อแสดงถึงความโหดเหี้ยมของตัวเขาเอง ให้เขาสั่งการกองทัพที่สองของเฝิงซีไปกำจัดแคว้นเย่หลางเสียให้สิ้นซาก ! ”
“แท้ที่จริงหลายแคว้นที่ตั้งอยู่บนเส้นทางนั้นได้สมคบคิดกับหยูซูหรง ทว่าเรื่องนี้จัดการเพียงเท่านี้ก็พอ พวกเราจะกำจัดแคว้นเย่หลางเพื่อให้แคว้นเล็ก ๆ ที่เหลือเกิดความหวาดกลัว ให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงวิถีปฏิบัติของต้าเซี่ย แต่ต้องมิให้สถานการณ์บานปลายจนเกินควบคุม เพราะเยี่ยงไรก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน”
……
……
ยามดึกของวันเดียวกันนี้
ท่าเรือเซียอี๋เงียบสงัดลง มีเพียงแค่ลมทะเลที่พัดมาเอื่อย ๆ เท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เข้านอน เขานำกองนาวิกโยธินไปยังศูนย์วิจัยพัฒนาเรือ
คนที่รับผิดชอบศูนย์วิจัยพัฒนาเรือเซี่ยเย๋มีนามว่า…ปิซาร์โร
ขณะนี้ปิซาร์โรกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในห้อง
“ฝ่าบาท… ! ”
“ตอนนี้ข้ามิใช่ฝ่าบาทอีกต่อไปแล้ว ! ”
“……” ปิซาร์โร่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทางฉางอันเพิ่งจะส่งรายงานเรื่องนี้มา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แล้วข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเยี่ยงไร ? ”
“เรียกข้าว่าเหล่าฟู่ก็แล้วกัน ! ”
ปิซาร์โรเริ่มทำตัวมิถูก พลางครุ่นคิดในใจว่าตนอายุปาเข้าไปห้าสิบกว่าปีเเล้ว จะให้เรียกคนที่เพิ่งอายุสามสิบกว่าปีว่าเหล่าฟู่ได้เยี่ยงไรกัน ?
“เอ่อ…ท่านฟู่ เรือพิฆาตถูกนำไปทดสอบในทะเลเรียบร้อยแล้ว มันเพิ่งจะกลับถึงท่าเรือเมื่อมินานนี่เอง บัดนี้กำลังเติมเชื้อเพลิงและอาวุธภัณฑ์ อีกสองวันก็สามารถท่องมหาสมุทรได้แล้ว เพียงแต่ว่า…บัดนี้มันยังมิมีชื่อเรียก”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องปิซาร์โรตาเขม็ง ท่านฟู่… เอาเถิด !
“อืม…เรือพิฆาตลำแรกให้ตั้งชื่อว่าเรือฉางอันก็แล้วกัน แต่งตั้งให้เป็นเรือธงของกองทัพเรือที่หนึ่ง ! ”
จั่วมู่ผู้บัญชาการกองทัพเรือที่หนึ่งดีอกดีใจเสียเต็มประดา “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“จงเรียกข้าว่าผู้บัญชาการฟู่ ! ”
“…ขอบคุณผู้บัญชาการฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งตนเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือ
แน่นอนว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งตั้งตนเองขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เพราะเขารู้สึกว่าชื่อนี้ดูสง่างามและน่าเกรงขามดี
“ปิซาร์โร เจ้าทำได้ดีเยี่ยม ข้าจะส่งจดหมายไปทูลฝ่าบาท เพื่อให้เขาตบรางวัลให้กับเจ้า ! ”
“ขอบคุณท่านผู้บัญชาการ ! ”
“อีกอย่าง…เมื่อเทคโนโลยีเรือพิมาตพัฒนาจนสุกงอมแล้ว ต่อจากนี้ไปศูนย์วิจัยพัฒนาเรือจะเริ่มสร้างเรือพิฆาตเป็นหลัก”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองจัวเปี๋ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “กรมโยธาธิการต้องผลิตปืนใหญ่และกระสุนให้เพียงพอต่อความต้องการของเรือพิฆาต กองทัพเรือมีทั้งสิ้น 10 กองทัพ ต่อจากนี้ไปแต่ละกองทัพเรือจะมีเรือพิฆาตเป็นเรือธง พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงกองทัพเรือให้ล้ำสมัยภายในระยะเวลาสิบปีนี้ให้จงได้”
“เอาล่ะ…นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถิด”
ปิซาร์โรผงะตกใจ เขาคว้าแขนของฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้แล้วโพล่งถามออกมาว่า “ประเดี๋ยวก่อน ผู้บัญชาการฟู่ ตอนนั้นท่านเคยบอกว่าจะมีเรือที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเรือพิฆาตอีกมิใช่หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“อ่า…เรือลาดตระเวนมันซับซ้อนยิ่งกว่านี้อีกน่ะสิ ต้องรอให้การวิจัยพัฒนาระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่สำเร็จก่อนถึงจะสร้างได้ เจ้ารออีกสักหน่อยเถิด พัฒนาเรือพิฆาตให้สมบูรณ์แบบเสียก่อน รอให้วิทยาศาสตร์ของพวกเราโดดเด่นกว่านี้ เเล้วพวกเราค่อยคิดออกลาดตระเวนมหาสมุทรกันอีกที”
ปิซาร์โรรู้สึกผิดหวังและต้องจำยอม เขารู้ดีว่าเมื่อขนาดเรือใหญ่ขึ้น มันย่อมต้องการแรงขับเคลื่อนที่มากขึ้นเช่นกัน กว่าเครื่องจักรไอน้ำจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้เรือพิฆาตขนาดมหึมานี้ได้ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ หากจะใช้ขับเคลื่อนเรือลาดตระเวนเห็นทีจะเป็นไปมิได้
ฟูเสี่ยวกวนกลับไปยังเพิงพักชั่วคราว แสงไฟบริเวณลานบ้านยังคงสว่างไสว ทว่าส่วนที่เหลือได้มืดสนิทลงไปแล้ว คาดว่าเด็ก ๆ ที่ลงเล่นน้ำอย่างมิรู้จักเหน็ดจักเหนื่อยช่วงกลางวันคงจะเข้านอนกันหมดเเล้ว
ภรรยาของเขานั่งลงภายใต้เเสงไฟ เขาเดินเข้าไปหาพร้อมนั่งลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“จากท่าเรือเจียงเฉิงจนถึงท่าเรือเซี่ยเย๋ จางเพ่ยเอ๋อร์กับซือหม่าเช่อเมาเรือจนหมดสภาพ ต่อจากนี้ไปต่างหากจึงจะเป็นมหาสมุทรของจริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางจางเพ่ยเอ๋อร์และซือหม่าเช่ออย่างเป็นกังวล “คลื่นและลมในมหาสมุทรนั้นใหญ่กว่าที่นี่มากโข หากมิเห็นชายฝั่งเป็นเวลาแรมเดือนก็มิมีทางที่จะขึ้นฝั่งได้เลย”
“หลังจากที่พวกเราจอดพักที่เซี่ยอี๋แล้ว พวกเราจะจอดพักอีกคราที่ท่าเรืออาเรีย จากเซียอี๋จนถึงท่าเรืออาเรียใช้เวลาเดือนกว่า ๆ มันจะทรมานเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนดีหรือไม่ ? ”
จางเพ่ยเอ๋อร์กับซือหม่าเทาส่ายศีรษะพร้อมกันทันพลัน “มิเอา ! เมื่อครู่พวกเราเพิ่งสนทนากันเรื่องนี้ ตอนที่พวกเราเมาเรือ น้องตงเซวี๋ยจะปรุงยาให้พวกเราเพื่อให้อาการทุเลาลง หากได้กินยาเข้าไปก็มิน่าจะเป็นอันใดแล้ว”
กว่าจางเพ่ยเอ๋อร์จะมีวันนี้ได้ นางเพียรพยายามมามากมาย “ท่านบอกว่า…เยี่ยงไรสักวันพวกเราก็ต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่ดี เช่นนั้นก็ไปตอนนี้เลยเถิด”
“เมื่อเดินทางถึงที่นั่น พวกเราจะขึ้นฝั่งตามแม่ทัพไป๋ไปสำรวจที่นั่นเสียก่อน พวกเราคงมิตามท่านไปรบที่ทวีปยุโรปแล้วล่ะ”
“อืม…พวกเจ้าก็รอชัยชนะของข้าอยู่ที่อิงเทียนก็แล้วกัน ! ”