นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1271 ราตรีที่มิอาจหลับใหล
ตอนที่ 1271 ราตรีที่มิอาจหลับใหล
ณ เมืองเซียอี๋
ยามดึกที่เงียบสงัด ไฟภายในจวนของหยวนเถิงจี้เซียงยังคงส่องสว่าง
หลังจากที่สวี่หยุนชิงมาเยือนจวนแห่งนี้เมื่อสองปีก่อน ทางวังหลวงแห่งต้าเซี่ยก็ได้ส่งนางในจำนวนมากรวมทั้งขันทีอีก 3 คนมาคอยปรนนิบัติดูแลนาง
ขันทีคนที่ถ่ายทอดราชโองการได้แจ้งว่าจักรพรรดินีได้พระราชทานคนเหล่านี้ให้กับนาง ดังนั้นพวกเขาทุกคนจะต้องปฏิบัติรับใช้นางเหมือนกับพระสนมในวังทุกประการ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเถิงหยวนจี้เซียงก็อยู่แต่ในจวนแทบมิได้ออกไปที่ใด นางได้ส่งมอบธุรกิจของตนให้กลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยเป็นผู้บริหาร มิได้เข้าไปถามไถ่ว่าธุรกิจจะกำไรหรือขาดทุนอีกต่อไป
แม้ว่าฝ่าบาทมิได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าจะให้นางออกไปข้างนอกอย่างโจ่งแจ้ง คงมิดีเท่าใดนัก นางคิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติ
ในราตรีนี้เถิงหยวนชิวบิดาของนางผู้เป็นเต้าถายประจำหยวนตงเต้าได้เดินทางมาที่นี่เช่นกัน เนื่องจากมีรายงานส่งมาจากฉางอันว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ออกเดินทางมายังเซี่ยเย๋แล้ว เขากำลังจะมารับลูกสาวและหลานสาวของตนออกเดินทางไปด้วยกัน
บัดนี้ในจวนมีความคึกคักเป็นพิเศษ นางในและขันทีเหล่านั้นต่างกำลังช่วยกันเก็บของ… การจากไปครานี้ พวกนางอาจจะมิได้กลับมายังหยวนตงเต้าอีก !
ลูกสาวกำลังจะเดินทางไปยังต่างแดนโดยที่มิมีผู้ใดล่วงรู้ เขาได้เข้าร่วมงานประชุมราชสำนักคราใหญ่และทราบถึงแผนการของฝ่าบาทดี แต่เขาก็ทำใจลาจากทั้งสองมิได้
โดยเฉพาะฟู่โอ่วหลานหลานสาววัยสามขวบที่กำลังอยู่ในวัยน่ารัก
บัดนี้ฟู่โอ่วหลานกำลังนั่งอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นตา นางยื่นมือน้อย ๆ ไปจัดทรงเครายาวของเถิงหยวนชิว
“ท่านตา ท่านจะไปกับพวกเราด้วยหรือไม่ ? ” เด็กหญิงเอ่ยถาม
เถิงหยวนชิวยิ้มกว้าง “โอ่วหลานเอ๋ย พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด อีกมิกี่ปีตาก็จะเกษียณแล้ว คิดว่าตอนนั้นเส้นทางเดินเรือคงจะเปิดแล้ว ถึงตอนนั้นตาไปจะหาเสี่ยวโอ่วหลานที่อิงเทียนเอง”
“อีกนานหรือไม่ล่ะท่านตา ? ”
“…อาจจะสามถึงห้าปี”
“อืม” ดวงตาของเด็กหญิงทอประกาย นางปล่อยมือจากเครายาวของตา จากนั้นก็นับเลขกับนิ้วมือ “สามถึงห้าปี…ถึงตอนนั้นข้าคงจะหกถึงแปดปีแล้วสินะ”
เถิงหยวนชิวหัวเราะร่า “จริงสิ ! พอถึงตอนนั้นเสี่ยวโอ่วหลานคงจะเป็นนักเรียนประถมแล้ว ! ”
“และข้าก็คงจะตัวสูงขึ้นด้วย ! ”
ขณะที่เอ่ยเด็กหญิงก็กระโดดลงมาจากอ้อมอกของเถิงหยวนชิว “ท่านตา พวกเรามาเทียบกันหน่อยว่าบัดนี้ข้าสูงเท่าใดแล้ว จากนั้นก็รออีกสามถึงห้าปีแล้วพวกเราค่อยมาเทียบกันอีกครา จะได้รู้ว่าข้าสูงขึ้นเท่าใด”
“ได้สิ ! เสี่ยวโอ่วหลานของตาฉลาดจริง ๆ เลยนะ ! ”
เถิงหยวนจี้เซียงลอบมองสองตาหลานพร้อมกับอมยิ้ม ครุ่นคิดว่าภาพนี้ช่างอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
หลายปีมานี้นางมิได้รู้สึกลำบากหรือเหงาเลยแม้แต่น้อย ฟู่โอ่วหลานคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ดวงใจของนางพึ่งพาได้
และด้วยเหตุนี้นี่เอง นางจึงมิยอมมอบฟู่โอ่วให้กับสวี่หยุนชิงผู้เป็นท่านย่า
บัดนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว เขากำลังจะมาแล้ว ครอบครัวของตนจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสักที ชีวิตที่เหลือต่อไปนี้…จะเป็นเยี่ยงไรกันนะ ?
เถิงหยวนชิวอุ้มฟู่โอ่วหลานขึ้นมาอีกครา พลางจ้องมองลูกสาว “พ่อรู้จักพระสนมในวังทุกพระองค์ พวกนางล้วนแต่เป็นมิตร เข้าถึงง่าย…เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
“อืม…เพียงแต่การเดินทางครานี้” เถิงหยวนจี้เซียงทอดสายตามองจวนที่อาศัยมานานหลายปี
“การเดินทางครานี้ ใจจริงข้าก็มิอยากจากไปเลย”
“ท่านพ่อ หลังจากที่ลูกเดินทางไปเเล้ว ท่านอย่าได้ขายเรือนหลังนี้เชียว จ้างคนมาทำความสะอาดเป็นครั้งคราเถิด หากท่านมาเยือนเซียอี๋ ท่านจะเข้ามาพักก็ย่อมได้”
“อืม…เมื่องานประชุมราชสำนักคราก่อน ฝ่าบาททรงเชิญขุนนางไปทานอาหารที่ห้องเครื่อง ประการแรกเพื่อให้ขุนนางได้ทำความรู้จักกับจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ส่วนประการที่สองเพื่อให้บอกลาพระองค์และเสนาบดีคนเก่าที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปี”
“พระองค์ทรงตรัสถึงอิงเทียนว่าสถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่ไกลแสนไกล ! ทั้งยังทรงตรัสอีกว่าที่นั่นอาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าดั้งเดิม…ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่าสถานที่แห่งนั้นล้าหลังและรกร้างมากเพียงใด ! ”
“แน่นอนว่าครานี้พระองค์ได้พาคนติดตามไปด้วยจำนวนมาก ซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็เชี่ยวชาญในแต่ละแขนงวิชา พ่อคิดว่าครานี้พระองค์น่าจะไปสถาปนาประเทศเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกประเทศหนึ่ง”
“แต่พระองค์มิได้ตรัสมาเยี่ยงนั้นตรง ๆ แต่กลับชี้แจงว่าทรงมีพระประสงค์ที่จะเป็นเศรษฐีที่ดินและอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต”
“หลังจากที่เจ้าจากไป เจ้าจงสานสัมพันธ์กับบรรดาพระสนมให้ดี อีกอย่างจงสอนฟู่โอ่วหลานให้รักใคร่กลมเกลียวกับพี่น้องให้ดี”
“เมื่อเดินทางไปถึงอิงเทียนแล้วก็อาจจะยุ่งเป็นพัลวันอยู่นานหลายปี เพราะต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นเรื่องดี เมื่อพวกเจ้าได้อยู่ด้วยกันก็เท่ากับว่าสมใจปรารถนาแล้ว ในที่สุดฟู่โอ่วหลานก็ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเสียที”
เถิงหยวนจี้เซียงพยักหน้า “หลังที่ลูกจากไปแล้ว ท่านก็จงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี จักรพรรดิพระองค์ใหม่ยังทรงพระเยาว์มากยิ่งนัก แต่ก็มีขุนนางมากความสามารถหลายคนคอยช่วยเหลือพระองค์ คาดว่าในด้านขุนนางและในด้านของนโยบายคงมิมีอันใดเปลี่ยนแปลงมากนัก”
“อายุของท่านเพิ่มมากขึ้นทุกวัน บัดนี้หยวนตงเต้าอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา…และที่นี่ก็เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการออกสู่มหาสมุทร ! ”
“เรือสินค้าของต้าเซี่ยทั้งหมดจะต้องหยุดพักเพื่อเติมเสบียงและสิ่งของอื่น ๆ ก่อนที่จะเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์”
“รอให้เขามีชัยเหนือทวีปยุโรปหรือลงนามทางการค้าได้สำเร็จเสียก่อนเถิด ถึงตอนนั้นพวกเราคงมีเส้นทางเดินเรืออีกเส้นหนึ่งที่ไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม พอถึงตอนนั้นคงจะมีนักธุรกิจต้าเซี่ยอีกมากมายเดินทางไปทำธุรกิจที่ทวีปยุโรป หยวนตงเต้าแห่งนี้ก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“ท่านพ่อ ถ้าหากท่านรู้สึกเหนื่อยล้าก็จงพักผ่อนเสียเถิด”
เถิงหยวนจี้เซียงเป็นกังวลว่าด้วยพละกำลังของบิดา เขาจะก้าวตามความเร็วของการพัฒนามิทัน
ก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะสละราชบัลลังก์ เขาได้โยกย้ายขุนนางจำนวนมาก ขุนนางรุ่นใหม่ล้วนเป็นขุนนางที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา หากมองดูอายุของขุนนางทั้งราชสำนักก็จะพบว่าขุนนางที่มีอายุเกิน 50 ปีเยี่ยงท่านพ่อนั้นเหลือน้อยจนนับคนได้
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดในตอนนั้น ย่อมเป็นเพราะท่านพ่อเป็นชาวหยวนตงเต้าดั้งเดิม และเดิมทีก็เป็นขุนนางขั้นสูงอยู่แล้ว ทั้งยังมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการหยวนตงเต้าแห่งนี้
ทว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้สละราชบัลลังก์แล้ว !
โอรสองค์โตของเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนซึ่งก็คือ…อู๋เทียนซื่อ !
แม้จักรพรรดิพระองค์ใหม่จะยังทรงพระเยาว์ ทว่าก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าหลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์แล้วนั้น เขาจะนำพาการเปลี่ยนแปลงใดมาสู่ต้าเซี่ยบ้าง
เถิงหยวนชิวพยักหน้ารับ “ค่อย ๆ ดูไปก็แล้วกัน”
……
……
ณ พระราชวังเมืองฉางอัน
วังหลังที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่กลับร้างผู้คน
อู๋เที่ยนซื่อได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เขาได้ย้ายมาพำนักที่ตำหนักหยางซินซึ่งเป็นตำหนักของจักรพรรดิ
แน่นอนว่าวังหลังยังคงมีนางในและขันทีเหลืออยู่ ทว่าท่านแม่และพี่น้องคนอื่น ๆ ได้จากกันไปทั้งหมดแล้ว
ในใจเขาขลาดกลัว และรู้สึกว้าเหว่ไปพร้อม ๆ กัน
เขาเพิ่งค้นพบว่าตอนที่เสด็จพ่ออาศัยอยู่ในพระราชวังนั้นช่างเป็นเวลาที่มีความหมายเสียเหลือเกิน เขาได้ไปร่ำเรียนวิชากับท่านอาจารย์เหวิน ได้ไปวิ่งเล่นกับน้อง ๆ และได้ตามเสด็จแม่ไปจิบชากับเสด็จแม่คนอื่น ๆ
ทว่าบัดนี้เล่า ?
เขาขึ้นครองบัลลังก์มา 4 เดือนแล้ว ทว่ายังมิคุ้นชินกับความเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้เลย
“หลิวจิ่น...”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ! ”
อู๋เทียนซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิงภายในสวนดอกไม้ พลางเงยหน้าขึ้นมองดวงดาราที่เปล่งประกายพร่างพราวอยู่บนท้องนภา “เจ้าคิดว่าบัดนี้เสด็จพ่อเดินทางไปถึงที่ใดแล้วกัน ? ”
“…ฝ่าบาท จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จไปถึงท่าเรือเซี่ยเย๋แล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าอีกมิกี่วันหลังจากนี้ก็จะเสด็จออกเดินทางอีกคราพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม…”
อู๋เทียนซื่อนิ่งเงียบมิได้เอ่ยอันใดขึ้นมาอีก
หลิวจิ่นที่ยืนโค้งตัวอยู่ด้างหลังเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “ฝ่าบาท… ทรงคิดถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“อืม ! หลิวจิ่น เจ้าคิดว่า…เจิ้นควรทำเยี่ยงไรถึงจะได้รับการสนับสนุนจากราษฎรและขุนนางอย่างที่เสด็จพ่อทรงได้รับ ? ”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงรีบร้อนจนเกินไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอเอ่ยบางสิ่งที่มิบังควร บัดนี้ฝ่าบาททรงเชื่อฟังแค่พวกเสนาบดีเยี่ยนก็เพียงพอแล้ว เพราะพวกเขาเป็นสหายที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงสนิทชิดใกล้ด้วย พวกเขาย่อมจะทำงานเพื่อต้าเซี่ยอย่างแข็งขันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
อู๋เทียนซื่อนิ่งเงียบอีกครา
เขาเอนตัวลงพลางจดจ้องดวงดาราบนท้องนภา หลิวจิ่นมิรู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่
เวลาครึ่งก้านธูปหลังจากนั้น อู๋เทียนซื่อก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า
“ไปกันเถิด เจิ้นเหนื่อยมากแล้ว”