นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1272 ทะเลหมอก
ตอนที่ 1272 ทะเลหมอก
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่ห้า เดือนเจ็ด วันที่ยี่สิบ !
ผู้บัญชาการกองทัพเรือฟู่เสี่ยวกวนได้นำกองทัพเรือหกกองทัพออกเดินทางมาจากท่าเรือเซี่ยเย๋ !
แน่นอนว่ากองทัพเรือนี้เป็นกองทัพเรือที่แข็งแกร่งและมีขนาดใหญ่ที่สุด มันมีเรือรบทั้งสิ้น 180 ลำ และมีเรือบรรทุกเสบียงสิ่งของอีก 500 ลำ !
ทหารเรือในกองทัพเรือมีจำนวนมหาศาล ซึ่งมีมากถึง 600,000 นาย !
อีกทั้งยังมีกองนาวิกโยธินอีก 20,000 นาย
ส่วนเรือบรรทุกเสบียงทั้งห้าร้อยลำนั้นมีเจ้าหน้าที่แนวหลังซึ่งเชี่ยวชาญในแต่ละแขนงวิชาจำนวน 500,000 คน อีกทั้งยังมีอดีตผู้เช่าที่นาของฟู่เสี่ยวกวนติดตามไปด้วยกว่าหนึ่งแสนคน
ท่ามกลางเสียงแตรของเรือที่ดังกึกก้อง จั่วมู่ผู้บัญาชาการกองทัพเรือที่หนึ่งได้ออกคำสั่งให้เรือรบจำนวน 30 ลำของกองทัพเรือที่หนึ่งเป็นเรือรบกลุ่มแรกที่จะมุ่งหน้าออกไปสู่ทะเลอันเวิ้งว้าง
เรือฉางอันในฐานะเรือธงของการเดินทางออกสำรวจครานี้ มันถูกจัดให้เข้าไปอยู่ในกองทัพเรือที่หนึ่ง และมันก็มีขนาดใหญ่กว่าเรือรบลำอื่น ๆ ถึงหนึ่งเท่า !
นอกจากเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่ถูกจัดให้มาประจำการบนเรือลำนี้ ฟู่เสี่ยวกวนและภรรยาของเขาก็อยู่บนเรือฉางอันลำนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกองนาวิกโยธินที่ไป๋ยู่เหลียนเป็นคนนำทัพอีก 20,000 นาย
ธงอินทรีได้โบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางลมทะเลบนเรือธงอีกครา
ชาวเมืองพากันออกมาชมความยิ่งใหญ่
ท่าเรือเซี่ยเย๋แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
พวกเขาได้เป็นสักขีพยานในการเริ่มต้นยุคสมัยการออกสำรวจทางทะเล !
ทำให้พวกเขาได้เห็นว่ากองทัพเรือที่แข็งแกร่งนั้นเป็นเยี่ยงไร !
เมื่อทอดสายตามองออกไปก็จะเห็นว่าเรือรบของต้าเซี่ยได้ครอบครองพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด เรือแต่ละลำบดบังแสงสุริยาจนกลายเป็นเงาดำทะมึน ขบวนเรือทอดยาวจนถึงเส้นขอบฟ้า
จัวเปี๋ยหลียืนอยู่บนหอคอยของท่าเรือ เมื่อทอดสายตาลงมาก็จะเห็นเรือรบละลานตาเต็มไปหมด ชั่วอึดใจนั้นเองที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน
ราชวงศ์อู๋ที่ดำรงอยู่มานานถึงสี่ร้อยปี เดิมทีก็มีชายฝั่งทะเลที่งดงามอยู่แล้ว ทว่ามิมีผู้ใดคิดที่จะก่อตั้งกองทัพเรือขึ้นมาเลย !
มิต้องเอ่ยถึงกองทัพเรือที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตาเช่นนี้เลย !
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาครองบัลลังก์ที่ราชวงศ์อู๋จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว
ภายในระยะเวลาสิบปีนี้ เขาได้เป็นผู้ริเริ่มสิ่งต่าง ๆ มากมาย ริเริ่มในสิ่งที่พวกเขามิกล้าคิดหรือกล้าฝัน !
เขามิเพียงสถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมาเท่านั้น ทว่าเขายังบุกเบิกยุคสมัยใหม่ขึ้นมาอีกด้วย !
ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมาจะมีสักกี่คนที่คิดจะข้ามไปอีกฝากฝั่งของมหาสมุทร ?
อาจจะมี…แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าที่จะออกไปสำรวจอีกฝั่งหนึ่งของทะเลอันกว้างใหญ่นี้
ฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแค่คิดเท่านั้น ทว่าเขายังลงมือทำอีกด้วย บัดนี้ทุกอย่างได้เป็นจริงดั่งที่เขาฝันแล้ว เขากำลังนำกองทัพขนาดมหึมาออกไปสำรวจทะเล…เขามีผลงานมากมายเสียจนเขียนบรรยายออกมามิหมด
ยามที่เขากลับมายังต้าเซี่ยอีกคราจะมีสภาพเป็นเยี่ยงไรกันนะ ?
ผู้คนที่รายล้อมกำลังโห่ร้องด้วยความดีอกดีใจ เสียงแตรบนผืนน้ำดังลากยาว ครานี้ชาวเซี่ยเย๋ได้ออกมารวมตัวส่งอดีตจักรพรรดิออกเดินทางไกล และพวกเขาก็หวังว่าจักรพรรดิพระองค์นี้จะนำชัยชนะหวนคือสู่บ้านเมือง
เสียงแตรที่ดังก้องกังวาลเปรียบเสมือนการจากลา…
ในขณะที่เขากำลังรู้สึกตื้นตันใจอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกเศร้าเสียใจด้วยเล็กน้อย
อู๋เทียนซื่อขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ…เจ้าเด็กนั่นคงจะเป็นจักรพรรดิที่ยากลำบากอีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
เพราะบิดาของเจ้าเด็กนั่นเปล่งประกายเจิดจ้ามากเกินไป เกินกว่าที่จะจ้องมองไปตรง ๆ ได้
ในเมื่อจ้องมองตรง ๆ มิได้ เช่นนั้นจะมีผู้ใดมองเห็นแสงของอู๋เทียนซื่อกัน ? เนื่องจากแสงของเจ้าเด็กนั่นถูกลำเเสงเจิดจ้านี้ปกคลุมเอาไว้
……
……
ณ กวนหยุนถาย เมืองกวนหยุน
สายลมยามรุ่งอรุณยังคงพัดเอื่อยเฉื่อย ทะเลหมอกบนกวนหยุนถายได้เผยความงามออกมาให้เห็นเฉกเช่นทุกวัน
ต้นสนเก่าแก่ที่มิรู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานกี่ปีแตกหน่อเขียวขจี
โต๊ะหมากรุกใต้ต้นสนโบราณยังคงแข็งแกร่งดั่งหินผา เส้นตารางหมากรุกยังคงเด่นชัดเหมือนที่ผ่านมา
โหยวเป่ยโต้วและเป่ยหวังฉวนนั่งอยู่ที่โต๊ะหมากรุกริมใต้ต้นสนโบราณ
พวกเขามิได้เล่นหมากรุกหรือประลองวรยุทธแต่อย่างใด ทว่าพวกเขาเพียงนั่งเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น นั่งมองทะเลหมอกที่เปลี่ยนโฉมร้อยพันรูปร่าง
“เมื่อมองไปยังทะเลหมอกนี้ ให้ความรู้สึกถึงการปฏิวัติสู่ความรุ่งโรจน์”
เครายาวของโหยวเป่ยโต้วปลิดปลิวไปมาตามกระแสลม “อดีตเมืองหลวง ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดมีคนอาศัยอยู่สองล้านคน…ทว่าเมื่อปีก่อน”
“หลังจากที่เขาได้ย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองฉางอัน ถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหนึ่งปีแล้ว บัดนี้ประชากรของเมืองกวนหยุนลดลงเหลือแค่หนึ่งล้านคนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันมิได้แตกต่างอันใดมากจากจำนวนประชากรในอดีต”
“เจ้าคิดว่า เมืองกวนหยุนได้ตกต่ำลงหรือไม่ ? ”
เป่ยหวังฉวนยังคงสะพายธนูสุริยะพินาศดังเดิม บัดนี้เขายกยิ้มบาง ๆ พลางส่ายศีรษะเบา ๆ “มิได้ตกต่ำลงหรอก ข้าคิดว่าเมืองกวนหยุนในตอนนี้ก็ดีมากเช่นกัน มิได้อาศัยอยู่แบบเนืองแน่น ทั้งยังมิมีเสียงรบกวนเหมือนแต่ก่อนอีกด้วย”
“หากจะเอ่ยว่าตกต่ำลง ก็คงจะมีเพียงวังเก่าเท่านั้นแหละ ในรัชสมัยของจักรพรรดิเหวิน หรือก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองฉางอัน พระราชวังแห่งนั้นมีความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในตอนนี้…”
เป่ยหวังฉวนหันไปมองทางทิศที่ตั้งของพระราชวัง “บัดนี้อาคารต่าง ๆ ในพระราชวังเมืองกวนหยุนแทบจะไร้ซึ่งผู้คน มีนางในและขันทีคอยดูแลเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น ข้าคิดว่า…พระราชวังแห่งนี้คงจะพบจุดจบมิต่างอันใดจากพระราชวังเมืองจินหลิงของอดีตราชวงศ์หยูหรือพระราชวังในเมืองฉางจินของแคว้นฝาน”
“เขามิได้สั่งการให้รื้อถอนพระราชวังนั้นไปเสีย ทั้งยังบอกอีกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโบราณสถาน เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์”
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาจากเกาะดอกท้อได้สักที บัดนี้มิมีเรื่องอันใดต้องเสียใจทั้งนั้น ต้าเซี่ยในรูปแบบใหม่ เมืองฉางอันก็เป็นเมืองใหม่ หรือแม้แต่จักรพรรรดิแห่งต้าเซี่ยในวันนี้ก็ยังเป็นพระองค์ใหม่ เขานี่ก็จริง ๆ เลยเชียว พอลงจากบัลลังก์มาได้ก็เผ่นไปท่องมหาสมุทรเลยทันที ! ”
โหยวเป่ยโต้วหัวเราะร่าพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “เหตุใดครานี้เจ้าถึงมิติดตามเขาไปด้วยเล่า ? ”
โหยวเป่ยโต้วเลิกคิ้วขึ้นพลางตอบว่า “เขาสั่งให้ข้าคอยอยู่ดูแลพระราชวัง ! ”
“…ก็ดีเเล้วนี่ ! ”
เป่ยหวังฉวนหยักหน้าแล้วถอนหายใจยาวออกมา “มันก็ดีอยู่หรอกเพราะข้าก็ชรามากแล้ว…แท้ที่จริงข้าก็อยากไปท่องมหาสมุทรกับเขาเช่นกัน เขาบรรยายถึงดินแดนอันไกลโพ้นแห่งนั้นได้งดงามและมีชีวิตชีวามากยิ่งนัก”
“พวกเราต่างก็ชรากันแล้ว ข้าก็มิรู้เช่นกันว่าตนเองจะมีชีวิตได้อีกกี่ปี เมื่อเส้นทางเดินเรือเปิดเมื่อใดค่อยไปเที่ยวชมก็แล้วกัน”
โหยวเป่ยโต้วหันไปมองแขนของเป่ยหวังฉวน “ยังเจ็บอยู่อีกหรือ ? ”
ณ เมืองเปียนเฉิงในปีนั้น เป่ยหวังฉวนถูกฟู่เสี่ยวกวนยิงจนกระดูกสะบักเเหลกละเอียด แม้สุ่ยหยุนเจียนจะผ่าเอากระสุนออกแล้วรักษาบาดแผลให้เขาแล้วก็ตาม แม้ภายนอกดูเหมือนมิมีอันใดผิดปกติ ทว่าแท้ที่จริงมันได้นำพาความเจ็บปวดมาให้เป่ยหวังฉวนในภายหลัง
“ยามที่อากาศหนาวเย็นมันก็จะเจ็บแปลบขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเลิกยิงธนูมานานหลายปีแล้ว”
“เขาคงอยากให้เจ้าใช้บั้นปลายชีวิตอยู่ที่นี่สินะ”
“อาจจะเป็นเช่นนั้น…แต่ข้ารู้สึกว่าเขายังมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอีกอย่างหนึ่ง”
“อันใดหรือ ? ”
เป่ยหวังฉวนหันไปมองทางหอเทียนจี
“ข้าเกรงว่าเขาต้องการให้ข้าเฝ้าหอเทียนจีแห่งนี้เอาไว้ ! ”
โหยวเป่ยโต้วผงะไปชั่วครู่ “หรือว่าเขายังอยากจะเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าชั้นสิบแปดของหอเทียนจีมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่ ? ”
“เขามิได้เอ่ยถึงมันอีกในช่วงสองปีให้หลังมานี้ แต่ข้ารู้ดีว่าเขามิมีทางลืมแน่นอน เพราะมันได้ฝังใจเขาตั้งเเต่ที่ซูฉางเซิงได้ตายไปในตอนนั้น”
“ในนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่กัน ? ”
เป่ยหวังฉวนส่ายศีรษะ “มิมีผู้ใดรับรู้ได้”
โหยวเป่ยโต้วหันกลับไปมองทะเลหมอกอีกครา มิรู้ว่าในนั้นจะอันตรายมากเพียงใด ที่เขาเดินทางไปสำรวจทางไกลนั้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อรักษาความปลอดภัยของต้าเซี่ยให้คงอยู่ยืนยาวนั่นเอง
ถ้าเขากลับมาอีกสามหรือห้าปีให้หลังจากนี้ ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงเข้าร่องเข้ารอยแล้ว จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็คงเติบใหญ่พอดี เส้นทางทางทะเลถูกเชื่อมเข้าหากันทั้งหมด ดังนั้นคงมิมีสิ่งใดทำให้เขากลัดกลุ้มกังวลใจอีกต่อไป พอถึงตอนนั้นเขาคงจะเข้าไปที่หอเทียนจีเพื่อไขคำตอบของความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้น