นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1273 ศิษย์พี่
ตอนที่ 1273 ศิษย์พี่
ท่ามกลางมหาสมุทร
บนเรือฉางอัน
ฟู่เสียวกวนจัดแจงโต๊ะและเก้าอี้ จากนั้นก็ต้มชาหนึ่งกาบนชั้นสามของเรือขนาดใหญ่ยักษ์
บัดนี้ขบวนเรือได้ออกเดินทางจากท่าเรือเซี่ยเย๋เป็นวันที่สามแล้ว และบัดนี้ขบวนเรือได้เข้าสู่เขตทะเลลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คลื่นทะเลมิได้ใหญ่เท่าใดนัก เรือฉางอันยังคงวิ่งไปได้อย่างมั่นคง
ผู้ที่นั่งด้วยกันที่โต๊ะนั้นมิใช้เหล่าภรรยา ทว่าเป็นศิษย์พี่ทั้งสอง
คนหนึ่งคือศิษย์พี่ซูเจวี๋ยผู้ที่มักจะสวมหมวกทรงสูงอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกคนคือศิษย์พี่ซูม่อผู้สวมผ้าป่านสีเขียวและดูมีกำลังวังชาล้นหลาม
ศิษย์พี่สามซูโหรวน่าจะดูแลลูก ๆ ของนางอยู่ในห้องโดยสาร ส่วนเยี่ยนถาวฮวามีอาการเมาเรือ นางจึงมิได้ออกมานั่งด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีคนจากสำนักเต๋าอีกสามคน พวกเขาก็คือสวี่หยุนชิง ชายอ้วน และลู่เอ๋อร์ศิษย์ของซูซู
สวี่หยุนชิงกับชายอ้วนแทบจะมิโผล่หน้าออกมาเลยนอกจากเวลาอาหาร นั่นเป็นเพราะชายอ้วนมีอาการเมาเรืออย่างรุนแรง สวี่หยุนชิงจึงต้องอยู่ดูแลเขาในห้องโดยสาร
ตอนซูเจวี๋ยออกท่องมหาสมุทรคราแรก เขาเองก็เมาเรือเช่นกัน ทว่าครานี้กลับปกติดีทุกอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็พอใจเป็นอย่างมาก เพราะครานี้เขาจะได้มีโอกาสชมความงามของทะเลได้อย่างเต็มที่
ท้องนภาสีคราม แสงสุริยาในยามเช้ากำลังพอดีมิร้อนจนเกินไป ทุกอย่างงดงามราวกับภาพวาด ทำให้ซูเจวี๋ยดื่มด่ำกับทัศนียภาพเบื้องหน้านี้อย่างมิรู้จบ
“หลายปีมานี้ข้าได้เดินทางไปหลากหลายแห่งในต้าเซี่ย”
“ทิวทัศน์บนฝั่งนั้นแปรเปลี่ยนไปตามภูมิประเทศและฤดูกาล ส่วนมากก็จะเผยความงามให้เห็นในรูปแบบของภูเขาหรือแม่น้ำ มองดูแล้วสวยสดงดงามมากเลยล่ะ”
“ทว่าทะเลนี่สิ…มันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดูเหมือนจะน่าเบื่อ แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงมิซ้ำในแต่ละวัน ให้ความรู้สึกสง่างามและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
“มันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าทุ่งหญ้าที่ชื่อเล่อชวนเสียอีก ข้ามิเพียงได้เปิดหูเปิดตาสิ่งใหม่ ๆ เท่านั้น ทว่าทะเลยังทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นร้อนรนและปลดปล่อยหัวใจของตนเองให้เป็นอิสระอีกด้วย ! ”
ริมฝีปากของซูม่อเผยอขึ้น เขาเหลือบไปมองศิษย์พี่ใหญ่เเล้วเอ่ย “ศิษย์พี่วางท่าเป็นบัณฑิตอีกแล้วนะ ! ”
ศิษย์พี่ใหญ่ยกถ้วยชาขึ้นมาพลางส่ายศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ศิษย์พี่มิได้วางท่าเป็นบัณฑิต ศิษย์น้องแปด เจ้ามิรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของทะเลเลยหรือ ? ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มนุษย์ตัวเล็กจ้อยเท่านั้น”
“เมื่อทะเลพิโรธขึ้นมาเมื่อใด มันจะสำแดงคลื่นใหญ่ยักษ์ปานวันสิ้นโลกมาเยือน ยามที่มันเงียบสงบก็งดงามราวกับบุตรีในตระกูลใหญ่ เจ้าลองลิ้มรส… จงลิ้มรสทิวทัศน์เหล่านี้ให้ดี ! ”
ซูม่อผงะ หลายปีมานี้ศิษย์พี่ใหญ่ได้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อเผยแพร่ลัทธิเต๋า เดิมทีคาดว่าเขาคงจะเหน็ดเหนื่อย ทว่าเมื่อได้เห็นเช่นนี้…ถึงได้รู้ว่าตนคิดมากไปเอง ดูเหมือนว่าเขาจะดื่มด่ำกับการชมทิวทัศน์ ดื่มด่ำเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะเข้าถึง
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า แล้วแสดงความเห็นด้วยกับซูเจวี๋ย
“มหาสมุทรกินพื้นที่ในใต้หล้าเจ็ดในสิบส่วนของพื้นที่ทั้งหมด ภาคพื้นทวีปที่พวกเราอยู่อาศัยมีเพียงแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น”
“ดังนั้นในมหาสมุทรจึงมีทรัพยากรมากกว่าบนภาคพื้นหลายเท่าตัว เพียงแต่ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของพวกเราในวันนี้ยังไปมิถึงจุดนั้น”
“ประโยชน์ที่พวกเราได้ใช้สอยจากทะเลนั้นช่างน้อยนิด ตอนนี้ดูเหมือนว่า…ประโยชน์สูงสุดที่พวกเราได้รับจากทะเลก็คงจะเป็นเส้นทางเดินเรือเส้นนี้แหละ”
ฟู่เสี่ยวมิได้เอ่ยถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมทางประมงหรือการขุดเจาะปิโตรเลียมและอื่น ๆ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปทั้งอย่างนั้น
“บัดนี้สำนักเต๋ามีทั้งหมดกี่แห่งแล้วหรือ ? ”
“9 แห่ง ! ”
ลมทะเลพัดผ่านจนทำให้หมวกของซูเจวี๋ยเอียงเล็กน้อย เขาจัดหมวกให้ตรงแล้วเอ่ยต่อว่า “ทุกวันนี้ศิษย์น้องรองเกาหยวนหยวนดูแลสำนักเต๋าที่ชิงชาน ส่วนศิษย์น้องสี่ซูปิงปิงดูแลสำนักเต๋าที่หนานซาน ศิษย์น้องห้าซูเตี่ยนเตี่ยนดูแลสำนักเต๋าที่ฉางจิน ศิษย์น้องเจ็ดซูหยางหยางดูแลสำนักเต๋าที่เมืองกวนหยุน”
“ปัจจุบันนี้สำนักเต๋าทั้งสี่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีอีกสี่เเห่งที่ท่านอาจารย์อารองได้มอบหมายให้ศิษย์รุ่นที่สามเป็นคนดูแล หนึ่งในนั้นก็คือสำนักเต๋าในเมืองฉางอันซึ่งบัดนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง”
ซูเจวี๋ยโน้มตัวเข้าไปพร้อมกับเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์อารองบอกว่าพวกเราจะเดินทางไปเผยแพร่ลัทธิเต๋าบนทวีปยุโรป...ลัทธิเต๋าของเราจะแผ่ขยายออกนอกต้าเซี่ยแล้ว ศิษย์พี่รู้สึกตื่นเต้นเสียเหลือเกิน ศิษย์น้องเล็กได้เตรียมเงินสำหรับสร้างสำนักเต๋าที่ต่างแดนไว้แล้วหรือยัง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดังลั่น “เรื่องเงินถือเป็นเรื่องเล็กน้อย หากพวกเราเข้าไปแย่งชิงทรัพย์สมบัติของต่างแดนมาสักหน่อยก็จะมีเงินมากขึ้นแล้วมิใช่หรือ ? แต่การที่จะทำให้ลัทธิเต๋าแพร่หลายนั้นเห็นทีจะมิใช่เรื่องง่าย เพราะปัญหาที่สำคัญอย่างแรกเลยคืออุปสรรคด้านการสื่อสาร ! ”
“ทว่าเรื่องนี้มิต้องรีบร้อนหรอก รอให้พวกเราลงนามในสัญญาทางการทูตและสัญญาทางการค้าให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อพวกเราถ่ายทอดภาษาและวัฒนธรรมไปยังประเทศเหล่านั้นสำเร็จแล้ว จากนั้นถึงจะเป็นเวลาของสำนักเต๋า ! ”
“ศิษย์ของสำนักเต๋าจะต้องแข็งแกร่ง เพราะเยี่ยงไรเสียการเปิดสำนักเต๋าในต่างแดนก็เท่ากับว่าเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พวกเขาเคารพนับถืออยู่แล้วเดิมที… เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมนำไปสู่การปะทะกันอย่างแน่นอน ดีมิดีเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจจะต้องประชันกันสักหน่อยว่าหมัดของผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน ! ”
ซูเจวี๋ยกลับไปนั่งตัวตรงดังเดิม “แผนการเดินทางของพวกเรายังคงเดิมมิเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ ? ”
แผนที่ว่านั่นก็คือให้พวกซูเจวี๋ยขึ้นฝั่งที่อิงเทียนก่อน เพื่อให้กองนาวิกโยธินโดยมีไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้นำทัพไปยึดครองอาณาเขตจากชนเผ่าดั้งเดิมเหล่านั้นมาให้ได้
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนจะนำกองทัพเรือออกไปพิชิตประเทศอื่น ๆ บนทวีปยุโรป ส่วนซูเจวี๋ยให้อยู่ที่อิงเทียนเพื่อสร้างฐานที่มั่น
“อืม…แม้ว่าทวีปยุโรปจะมิใหญ่เท่าทวีปเอเชียของพวกเรา แต่บนภาคพื้นของทวีปยุโรปก็เป็นที่ตั้งของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย”
“จากยุทธศาสตร์การรบที่ข้าวางไว้ พวกเราจะเข้าไปพิชิตประเทศเหล่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ดังนั้นเมื่อพวกท่านอาศัยอยู่ที่อิงเทียนจนเข้าร่องเข้ารอยดีแล้ว จงสร้างท่าเรือขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เขาหันหน้าไปปะทะกับลมที่ตีเข้ามา อาภรณ์พัดปลิวเสียงดังดังพรึบ ๆ มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา
“ข้าหวังว่าพวกเราจะจัดการทวีปยุโรปได้ภายในห้าปีนี้ และสถาปนาอิงเทียนขึ้นมาภายในระยะเวลาสิบปี ! ”
“หลังจากทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยแล้ว…”
เขายังมิทันได้เอ่ยจนจบ ซูเจวี๋ยโพล่งขัดขึ้นมาว่า “เจ้ายังคาใจเรื่องหอเทียนจีอยู่ใช่หรือไม่ ? ”
“ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าหยุดความหุนหันพลันแล่นในใจของข้าเอาไว้ ข้าคิดว่าข้าจะทำในสิ่งที่ควรทำหลังจากจัดการเรื่องทวีปยุโยปเสร็จสิ้นแล้ว ข้ามิได้รู้สึกเสียดายชีวิตแต่อย่างใด ข้าเพียงอยากรู้ว่ามีอันใดอยู่ในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดกันแน่”
เขาหันกลับไปมองซูเจวี๋ย “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยผงะ “ในลัทธิเต๋ามิมีการกลับชาติมาเกิด ทว่าพุทธศาสนาเชื่อในเรื่องนี้… ศิษย์น้องเล็กเชื่อว่าคนเราจะกลับชาติมาเกิดได้จริง ๆ หรือ ? ศิษย์น้องเล็กคิดว่าในหอเทียนจีชั้นที่สิบแปดนั้นมีประตูนำพาไปเกิดใหม่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ “ข้ามิรู้หรอก บางทีในนั้นอาจจะเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเราเดินทางข้ามกาลเวลาก็เป็นได้”
พวกเราจะเดินทางข้ามกาลเวลาได้เยี่ยงไรกัน ?
ซูเจวี๋ยและซูม่อต่างก็ทำหน้างุนงง
“ก็เดินทางจากโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่งเยี่ยงไรเล่า ! ”
“แล้วจะกลับมาได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหวนคิดถึงความลับของหอเทียนจีที่คราหนึ่งจี้หยุนกุยและสวี่หยุนชิงได้บอกกับเขา พันปีก่อนหน้านี้มิรู้ว่ามีกี่คนกันแน่ที่เดินทางมายังโลกใบนี้
พวกเขาได้สร้างหอเทียนจีขึ้นมา
หนึ่งพันสามร้อยปีก่อนหน้านี้ มีบุตรชายของผู้นำชนเผ่าหยูหญิงได้เข้าไปข้างในหอเทียนจี
หลังจากที่เขาเดินออกมาจากหอเทียนจี เขาได้ใช้เวลาสิบปีในการลงมือปราบปรามทั่วสารทิศ พิชิตชนเผ่าน้อยใหญ่ต่าง ๆ และสถาปนาแคว้นแรกขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ…จักรวรรดิต้าหลี่นั่นเอง !
หลังจากนั้นก็เริ่มมีตัวอักษรเข้ามา อารยธรรมและสังคมของโลกใบนี้ได้ก้าวกระโดดจากยุคดึกดำบรรพ์มาเป็นยุคทาส การพัฒนาที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ ย่อมเป็นเพราะคนที่มีอารยธรรมก้าวหน้าคอยผลักดันอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
แม้แต่ลัทธิเต๋ายังถือกำเนิดขึ้นหลังหอเทียนจีเสียอีก
เหตุผลที่สำนักเต๋ายังคงอยู่ คือปกป้องและสังหาร !
ฟู่เสี่ยวชวนเชื่อว่าเมื่อพันปีก่อนมีคนเดินทางข้ามกาลเวลามา พวกเขาคงจะค้นพบวิธีอันใดบางอย่าง หรืออาจจะเชื่อมกับโลกภายนอกเอาไว้ที่หอเทียนจีชั้นที่สิบแปด
“ข้าก็มิรู้ว่าถ้าไปแล้วจะกลับมาได้หรือไม่…ดังนั้นข้าจึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อนถึงจะกล้าไป”
“เจ้าละทิ้งทุกสิ่งที่เจ้ามีในตอนนี้ได้หรือ ? ” ซูเจวี๋ยเอ่ยถาม
ทุกสิ่งที่ว่า…แท้ที่จริงหมายถึงคนในครอบครัวของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มิได้ตอบคำถามนั้นออกไป เพราะเขายังมิได้ตระเตรียมคำตอบของคำถามนี้เอาไว้