นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1274 จักรพรรดิ
ตอนที่ 1274 จักรพรรดิ
เวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงอย่างรวดเร็ว
กองทัพเรือต้าเซี่ยกำลังมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์
กองทัพสี่แสนนายของกวนเสี่ยวซีได้ทะลุอดีตจักรวรรดิโมริยะไปทางทิศตะวันตกแล้วเช่นกัน
พวกเขาได้เดินทางไปไกลมากแล้ว แม้แต่รายงานจากหอเทียนจีนาน ๆ ทีถึงจะส่งไปยังเมืองฉางอันสักฉบับหนึ่ง
ต้าเซี่ยยังคงเหมือนเดิม ฉางอันยังคงเป็นดั่งเช่นวันวาน
เพียงแต่การออกสำรวจของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงยังคงสร้างความตื้นตันใจให้กับราษฎรต้าเซี่ยนับร้อยล้านจวบจนทุกวันนี้
แม้ว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะเสด็จออกจากต้าเซี่ยเป็นเวลาครึ่งปีแล้วก็ตาม ทั่วทุกตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ในเมืองฉางอัน ราษฎรต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน ด้วยเรื่องการออกสำรวจครานี้จะนำผลประโยชน์อันใดกลับมาให้ต้าเซี่ยบ้าง
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าจะกลายเป็นข่าวร้ายแม้แต่คนเดียว เพราะจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเอาชนะได้ทุกศึกสงคราม !
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปราวกับกระเเสน้ำที่ค่อย ๆ ไหลเอื่อย ในห้องทรงพระอักษรของต้าเซี่ย จักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้เรียกเสนาบดีทั้งสามฝ่ายมาหารือเรื่องทำศึกกับแคว้นเย่หลาง !
จัวเปี๋ยหลีได้นำคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนมารายงานต่ออู๋เทียนซื่อ
เทียนซื่อรู้สึกฮึกเหิมและตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
เขาออกราชโองการเตือนหวูจงซ่วนกษัตริย์แห่งแคว้นเย่หลาง ว่าให้เขาส่งตัวซีเป่ยโฮ้วหรือหวูเฉิงยุ่น รวมไปถึงอู๋เหวินชิงบุตรชายของเขาที่สมคบคิดกับหยูซูหรงมายังต้าเซี่ย
ซีเป่ยโฮ้วหรือหวูเฉิงยุ่นเป็นพระอนุชาของกษัตริย์หวูแห่งแคว้นเย่หลาง !
คำเตือนขององค์จักรพรรดิมิได้ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย มีการใช้ถ้อยคำตำหนิโทษอย่างรุนแรง ทำให้กษัตริย์หวูที่เจริญพระชนมายุได้ 50 พรรษารู้สึกลำบากพระทัยมากยิ่งนัก แต่ก็ยังมิยอมส่งตัวคนผิดมาเสียที
ซึ่งนี่ก็ตรงกับสิ่งที่อู๋เทียนซื่ออยากให้เกิดขึ้นพอดี
ผลที่ออกมาตรงกับความต้องการของอู๋เทียนซื่อ กษัตริย์หวูมิเพียงแต่มิรับราชโองการเท่านั้น แต่เขาถึงกับสังหารขุนนางที่ทำหน้าที่ส่งมอบราชโองการ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อู๋เทียนซื่อส่งกองทัพไปโจมตีแคว้นเย่หลางได้อย่างไร้ข้อกังขา
“สิ่งที่ข้าปรารถนาก็เป็นเช่นนี้แหละ ให้กองทัพบกที่สองของเฝิงซีซึ่งประจำการอยู่ที่หยวนเป่ยเต้าเข้าโจมตีแคว้นเย่หลาง”
อู๋เทียนซื่อยืนขึ้นแบบที่ผู้เป็นพ่อเคยทำ จากนั้นก็เดินไปหน้าแผนที่ซึ่งถูกแขวนไว้บนผนัง “จากหยวนเป่ยเต้าเดินทางไปยังแคว้นเย่หลางจะต้องเดินทางผ่านสามแคว้น ! ”
“เสนาบดีเยี่ยน” อู๋เทียนซื่อหันหน้าไปมองเยี่ยนซีเหวิน “ให้กรมพิธีการออกหนังสือแจ้งทั้งสามแคว้นนั้น เพราะพวกเราจำต้องขอใช้เส้นทางจากพวกเขา”
“ในเมื่อแคว้นเย่หลางมิให้เกียรติต้าเซี่ย เช่นนั้นศึกครานี้… เจิ้นคิดว่าศึกครานี้ พวกเราต้องกำจัดแคว้นเย่หลางให้ราบคาบ มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเยี่ยงไรหรือ ? ”
พวกเยี่ยนซีเหวินมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพราะนี่จะเป็นการสำแดงความน่าเกรงขามของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ดังนั้นศึกครานี้จะต้องยิ่งใหญ่
“พวกกระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ” เสนาบดีทั้งสามคนประคองสองมือขึ้นเพื่อแสดงความเห็นพ้องกับจักรพรรดิ สิ่งนี้ทำให้อู๋เทียนซื่อมีความสุขมากยิ่งนัก
“เช่นนั้นก็ให้กรมยุทธการเป็นผู้ออกคำสั่ง ส่วนทางกรมคลังจงเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำศึกให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือนนี้”
อู่เทียนซื่อเดินกลับมาที่โต๊ะชาพลางจัดแจงต้มชา “สิ่งที่เจิ้นหวังก็คือ ศึกครานี้จะปะทุขึ้นตอนฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง เจิ้นให้เวลาพวกท่านเพียงหนึ่งเดือน…จงกำจัดแคว้นเย่หลางให้สิ้นซาก ! ”
“หลิวจิ่น ร่างราชโองการ ! ”
หลิวจิ่นเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ในขณะที่กำลังยกพู่กันขึ้นมานั้นเอง คาดมิถึงว่าฉินโม่เหวินจะเอ่ยแบบนี้ออกมา “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมมิมีความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับสงครามในครานี้ เพียงเเต่ว่า…ศึกสงครามนั้นเป็นเรื่องใหญ่ มันต้องผ่านการหารือและลงมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วถึงจะดำเนินการได้ กระหม่อมจึงใคร่ขอให้ฝ่าบาททรงปฏิบัติตามขั้นตอนนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อู๋เทียนซื่อหน้าถอดสีขึ้นมาทันใด เขานิ่งเงียบเนิ่นนาน จากนั้นก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ…จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นกฎที่เสด็จพ่อทรงตั้งขึ้นมาสินะ ข้าในฐานะโอรสของพระองค์จึงมิอาจกระทำสิ่งที่ขัดต่อกฎระเบียบได้ แต่ข้าอยากจะถามท่านเสนาบดีฉินสักหน่อยว่า การที่เสด็จพ่อออกสำรวจในครานี้ พระองค์ได้รับมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีหรือไม่ ? ”
ฉินโม่เหวินผงะ เพราะที่ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางสำรวจทั้งทางบกและทางน้ำล้วนเป็นการตัดสินใจของเขาเองทั้งนั้น ซึ่งมิได้ผ่านการลงมติจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ใดกัน ?
ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นจะได้รับผลลัพธ์ยืนยันในตอนท้ายว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง !
เขามีบารมีสูงส่งในราชสำนัก เขามีสถานะสูงส่งในใจของขุนนางทั้งหลาย สูงจนมิมีผู้ใดกล้าตั้งข้อสงสัยในทุก ๆ การตัดสินใจของเขา
แม้อู๋เทียนซื่อจะเป็นโอรสของฟู่เสี่ยวกวน ทว่าบัดนี้เขาเป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้น !
คณะรัฐมนตรีต้องเห็นชอบกับศึกพิชิตแคว้นเย่หลางในครานี้อยู่แล้ว แต่กฎที่ว่าจะต้องผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนนั้น มิอาจมองข้ามไปได้ด้วยเหตุผลนี้ได้ !
เพราะถ้าหากมองข้ามคราแรก ก็ย่อมมีคราที่สองและอีกหลายครานับมิถ้วนตามมา
คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยว่า อำนาจและความปรารถนานั้นมีมิรู้จบ !
คณะรัฐมนตรีถูกแต่งตั้งมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจักรพรรดิ เพื่อลงมติเห็นชอบในเรื่องที่สมควรกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้จักรพรรดิจึงมิสามารถกระทำการใดบุ่มบ่ามได้
ฉินโม่เหวินประคองมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “พระองค์เป็นจักรพรรดิพระเจ้าหลวงของต้าเซี่ย กระหม่อมเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมานั้นย่อมมีความหมายในตัวของมันเอง…การเรียนรู้สิ่งดี ๆ จากผู้อื่นแล้วค่อยตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อต้าเซี่ย ย่อมไร้ผลเสียต่อต้าเซี่ยและต่อฝ่าบาทเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นเข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงเสนอเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเถิด” อู๋เทียนซื่อตอบแบบมิใส่ใจ
บรรยากาศภายในห้องทรงพระอักษรอึมครึมขึ้นมาทันใด หนิงหยู่ชุนจึงฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฝ่าบาท นี่ก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว รายการเครื่องราชบรรณาการของแต่ละแคว้นได้ออกมาเเล้ว พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูเถิด”
บัดนี้อู๋เทียนซื่อรู้สึกเศร้าใจมากยิ่งนัก เพราะเยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เขาจึงมิมีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องนี้
“มิเห็นต้องดูอันใดเลยนี่ ทำตามที่เสด็จพ่อเคยทำไว้ก็แล้วกัน นำเข้าคลังส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้นำเข้ากรมคลังทั้งหมด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา ! ”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย…”
อู๋เทียนซื่อยืนขึ้น พลางโบกมือน้อย ๆ ขัดจังหวะของหนิงหยู่ชุน “พวกท่านตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน เพราะเยี่ยงไรก็ต้องนำไปเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอยู่ดี ในคณะรัฐมนตรีมีเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่มากมาย ในเมื่อทุกคนเชื่อใจคณะรัฐมนตรีถึงเพียงนี้ ก็หมายความว่าผลมติของพวกเขาถูกต้องที่สุด”
อู๋เทียนซื่อสาวเท้าออกไปจากห้องทรงพระอักษร “คราหน้า เรื่องบ้านเมืองทั้งหมดมิต้องมาเสียเวลารบกวนเจิ้นหรอก ! ”
เยี่ยนซีเหวิน ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลัก
“นี่มัน…” เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์มากนัก พระองค์คงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถและความทะเยอทะยาน ทว่าคิดเช่นนี้มันใจร้อนเกินไปหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ข้าคิดว่าอยู่ไปเรื่อย ๆ เขาคงจะคุ้นชินขึ้นมาเองนั่นแหละ”
ฉินโม่เหวินมิได้ค้านอันใด ส่วนหนิงหยู่ชุนเพียงสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพดาน “เมื่อคราที่จินหลิงยังคงดำรงอยู่ เขาเคยเอ่ยว่า…อำนาจจะทำให้คนเสพติดและลุ่มหลง”
“เขาเอ่ยว่าถ้าอำนาจถูกรวบอยู่ในมือคนใดคนหนึ่ง คนผู้นั้นย่อมจะใช้อำนาจในทางที่ผิด เพราะไร้ซึ่งกฎหมายใดที่สามารถบังคับและควบคุมคนผู้นั้นได้”
“สิ่งนี้ถือเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ! ด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกว่าควรจะนำอำนาจนี้ขังไว้ในกรง…มีเสนาบดีทั้งสามฝ่ายคอยว่าราชการ มีมติของคณะรัฐมนตรี นี่คือกรงที่เขาพยายามสร้างมาตลอดหลายปี”
“หวังว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะเข้าใจความพยายามนี้ของเขาเช่นกัน”
“พวกเราก็อย่าใจร้อนไปเลย จัดการเรื่องยกทัพไปพิชิตแคว้นเย่หลางให้แล้วเสร็จก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่น…เห็นทีพวกเราต้องเลิกการทำงานแบบเดิม ๆ บ้างแล้วล่ะ”
เยี่ยนซีเหวินยกถ้วยชาขึ้นมาถึงได้รู้ว่าชาได้เย็นชืดไปหมดแล้ว
“แต่ก่อนพวกเราเอาแต่พึ่งพาเขาตลอด มิว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็มักจะมาปรึกษาเขา…บัดนี้พวกเราคงต้องพึ่งพาฝ่าบาทในเรื่องใหญ่ ๆ ส่วนเรื่องเล็ก ๆ ที่มิได้สลักสำคัญอันใด พวกเราต้องตัดสินใจกันเอง โดยอิงการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก”
ทั้งสามเดินออกจากห้องทรงพระอักษร เมืองฉางอันในเดือนเก้า อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เป็นการส่งสัญญาณว่าฤดูหนาวใกล้มาเยือนอีกคราแล้ว