นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1275 ท้อเเท้หมดกำลังใจ
ตอนที่ 1275 ท้อเเท้หมดกำลังใจ
“กาลครั้งหนึ่งเคยมีรัฐแห่งหนึ่งนามว่ารัฐฉิน”
“จักรพรรดิที่สถาปนารัฐฉินขึ้นมานั้นถูกขนานนามว่าจักรพรรดิฉินสื่อหวง พระองค์ทรงรวบรวมหกแคว้นเอาไว้ด้วยกัน แล้วสถาปนารัฐที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งขึ้นมา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ฟังบนเรือฉางอัน สำหรับโลกที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เรื่องที่เขากำลังเล่าให้ฟังถือเป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นมา เพราะในโลกใบนี้มิมีรัฐที่นามว่ารัฐฉินอันใดนั่น
“ทุกคนต่างก็เชื่อว่ารัฐฉินจะแข็งแกร่งตลอดไป มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องคงอยู่ต่อไปอีกหลายร้อยปี”
“แต่คาดมิถึงว่ารัฐที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นจะดำรงอยู่ได้แค่ 40 ปี ! ”
“เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ? เป็นเพราะเกิดความโกลาหลขึ้นภายในหรือเป็นเพราะการแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิกัน ? ” ซูเจวี๋ยผงะ
ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้างพลางตอบว่า “สาเหตุมีหลายอย่าง ในฐานะปฐมจักรพรรดิ พระองค์ทรงทำสิ่งต่าง ๆ มากมายเพื่อให้ผืนปฐพีของตนคงอยู่ยืนยาว และเพื่อให้อำนาจของจักรพรรดิคงอยู่สืบไปอีกหมื่นพันปี”
“ในด้านการทหาร พระองค์ทรงสร้างกำแพงเมืองขึ้นมา…เป็นกำแพงที่ยาวนับหมื่นลี้ เพื่อใช้ป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรู”
“ในด้านเศรษฐกิจ พระองค์ทรงเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินเดียวกัน ยกเลิกการใช้กระดองเต่า เปลือกหอย และหยก พระองค์ได้กำหนดให้มีการใช้เงินทรงกลมซึ่งหล่อจากทองแดงเหมือนกันทั้งหมด”
“ประการที่สาม พระองค์ทรงเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานในการวัดแบบเดียวกัน ให้ใช้วิธีการวัดความสั้นความยาว เล็กใหญ่ และการชั่งน้ำหนักแบบเดียวกันทั้งหมด”
“ประการที่สี่ ในด้านของการคมนาคมภายในประเทศ พระองค์ทรงบัญชาให้สร้างทางด่วนสำหรับจักรพรรดิทั้งยังเชื่อมทางน้ำน้อยใหญ่เข้าหากันอีกด้วย”
“ประการที่ห้า ในด้านวัฒนธรรม พระองค์ทรงกำหนดให้ใช้ตัวอักษรในรูปแบบเดียวกันทั้งหมด อีกทั้ง…เขายังรวบรวมความคิดของราษฎรให้เป็นหนึ่งเดียว”
“เพื่อป้องกันมิให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาในหมู่ราษฎร พระองค์ทรงห้ามมิให้มีการเผยแพร่หนังสือและทำลายหนังสือที่ผิดต่อข้อต้องห้ามทั้งหมด ทั้งยังสังหารเหล่าบัณฑิตที่วิพากษ์วิจารณ์การเมือง เพื่อให้ราษฎรในใต้หล้าปิดปากเงียบสนิท”
“ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำลงไปนั้น มิว่าจะมองมุมใด ต้าฉินก็ควรจะแข็งแกร่งคงกระพัน แต่ก็นั่นแหละ…มันดำรงอยู่ได้เพียง 40 ปีเท่านั้น ! ”
ซูเจวี๋ยจัดทรงหมวก พลันนึกขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ถูกขนานนามว่าเป็นปฐมจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเช่นกัน !
และพลันรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลงมือทำในหลาย ๆ ด้าน เพียงแต่เขามิเคยสร้างกำแพงอันใดนั่นและมิเคยรวบรวมความคิดของราษฎรให้เป็นหนึ่งเดียว
แม้แต่เมืองฉางอันที่เป็นเมืองหลวงก็ยังไร้ซึ่งกำแพงเมือง
เหมือนว่าเขามิได้เตรียมการป้องกันใด ๆ เพื่อรับมือกับการลุกฮือของฝูงชน สิ่งเดียวที่เขาทำในสมัยราชวงศ์หยูก็คือจัดการกับชาวยุทธ แต่เมื่อสถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา ยุทธภพกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครา นอกเหนือจากสำนักเต๋าแล้วยังมีสำนักอื่น ๆ อีกมากมายนับมิถ้วน
ดังนั้นแล้วปฐมจักรพรรดิทั้งสองพระองค์แตกต่างกัน เช่นนั้นสิ่งที่เป็นปัญหาของรัฐฉินอันใดนั่นก็เหมือนจะเป็นสองประเด็นนี้
ซูเจวี๋ยและซูม่อต่างก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน เดิมทีคิดว่าเขาจะชี้แจงเรื่องนี้ให้ทราบ ทว่าเขาเพียงยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากเท่านั้น
“ประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นมาโดยคนรุ่นหลัง ที่แน่นอนว่าฉินสื่อหวงเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ แต่ต่อให้ยิ่งใหญ่เพียงใด หากมิมีการควบคุมอำนาจ หากตามมิทันกระแสของสังคม ท้ายที่สุดมันก็จะพ่าย เพียงแต่รัฐฉินได้สิ้นสุดลงในรัชกาลที่สองของราชวงศ์ฉิน”
“เยี่ยนเป่ยซีรู้สาเหตุที่ข้าสละราชบัลลังก์มานานแล้วล่ะ แท้ที่จริงเมื่อย้อนกลับมาคิด ข้าก็รู้สึกเสียใจในหลายสิ่งที่ทำไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
ซูเจวี๋ยและซูม่อผงะตกใจ “เจ้านำยุคทองมาสู่ต้าเซี่ย ใต้หล้าสงบสุข ราษฎรได้ลืมตาอ้าปาก เจ้ารู้สึกเสียใจเรื่องอันใดกัน ? ”
“เทียนซื่อยังเยาว์ ข้าเป็นกังวลว่าเขาจะทำความผิดอันใหญ่หลวง ที่พวกเรามักจะเอ่ยกันอยู่เสมอว่าลูกยังเยาว์มากนัก เมื่อทำความผิดก็สามารถให้อภัยได้ ทว่านี่เป็นสิ่งที่มิถูกต้อง”
“ถ้าหากเป็นเด็กธรรมดาทั่วไป หากกระทำความผิดก็จะส่งผลร้ายแก่คนมิกี่คนเท่านั้น ทว่าในฐานะของจักรพรรดิ ถ้าหากเทียนซื่อทำผิด…จะมีผลกระทบต่อชาวต้าเซี่ยทุกหย่อมหญ้า ! ”
ซูม่อขมวดคิ้วสงสัย “มีพวกเสนาบดีเยี่ยนอยู่ อีกทั้งยังมีคณะรัฐมนตรีคอยควบคุมมากมายถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทจะทำความผิดอันใดได้ ? ”
“คนเรามักจะมีหัวใจอยากเอาชนะทั้งนั้นแหละ ! ”
“เจตนารมณ์ของอู๋เทียนซื่ออาจจะมิผิด เขาอาจจะทำไปเพื่อต้าเซี่ย เขาอยากบริหารจัดการให้ดีขึ้น เขาคงอยากจะเป็นจักรพรรดิที่ดีพระองค์หนึ่ง ตอนนั้นข้ามักจะเตือนเขาอยู่เสมอว่าต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป อย่าใจร้อนเป็นอันขาด ข้าหวังว่าหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เขาจะค่อย ๆ พัฒนาตนเองไปตามขั้นตอน และหวังว่าเขาจะปรับตัวให้เข้ากับการจำกัดอำนาจได้อย่างแท้จริง”
“หรือบางทีข้าอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้ ข้าหวังว่าเขาจะเข้าใจในทุกสิ่งที่ข้าเพียรพยาม หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วจักรพรรดิก็เป็นแค่อาชีพหนึ่งเท่านั้น มิใช่ผู้ที่สูงส่งเทียมฟ้า มิสามารถเข่นฆ่าราษฎรได้ตามอำเภอใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาพลางหันไปมองทะเลอันเวิ้งว้าง เขาหรี่ตาลง พลันคิดในใจว่าตนมิควรเคลือบแคลงในความสามารถของลูกตนเอง อู๋เทียนซื่อเป็นเด็กที่รู้ความ เขาน่าจะเข้าใจว่าประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญกว่าทุกสิ่ง
……
……
ณ ตำหนักหยางซิน พระราชวังต้าเซี่ย
อู๋เทียนซื่อนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับเงยหน้ามองสุริยาที่กำลังลาลับขอบฟ้า
หลิวจิ่นยืนมองด้วยท่าทีระมัดระวังอยู่ด้านหลัง เขามิกล้าแม้แต่จะหายใจออกมาแรง ๆ
หลิวจิ่นรู้สึกได้ว่าตอนตนเองอยู่กับจักรพรรดิพระเจ้าหลวง ตนผ่อนคลายกว่านี้มากนัก แต่เมื่อต้องดูแลปรนนิบัติจักรพรรดิพระองค์ใหม่ เขารู้สึกหวาดกลัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับภัยอันตราย
“หลิวจิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“บัดนี้เจิ้นเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงพาน้อง ๆ ที่เหลือไปกันหมด แท้ที่จริงพวกเขาคือคนที่มีความสุขที่สุดต่างหากเล่า”
หลิวจิ่นมิกล้าแสดงความคิดเห็น เขาโค้งกายลง จนสายตาตกไปอยู่ที่ปลายเท้า
“เพราะการเป็นจักรพรรดิมันไร้ความหมาย มิว่าเรื่องอันใดก็ต้องให้เสนาบดีทั้งสามฝ่ายปรึกษาหารือกันเสียก่อน แม้ว่าข้าจะเป็นฝ่ายถูกอยู่แล้วก็ตาม ทว่าท้ายที่สุดแล้วเจิ้นก็ต้องรับฟังขุนนางแก่ ๆ ในคณะรัฐมนตรีก่อนอยู่ดี ! ”
“ถ้าหากพวกเขามิเห็นด้วย เจิ้นก็มิสามารถดำเนินการได้ ! ”
“เจ้าคิดว่า…เจิ้นต้องทำเยี่ยงไรถึงจะได้ครอบครองอำนาจเพื่อที่จะทำให้ต้าเซี่ยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ? ”
“…ฝ่าบาท บ่าวคิดว่าพระองค์ยังมีเวลา ขอพระองค์อย่าได้รีบร้อนจนเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ! จะว่าไปแล้ว…ตอนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ก็มีพระชนม์พรรษาเพียง 20 พรรษาเท่านั้น บัดนี้ฝ่าบาทมีพระชนม์พรรษาเพียง 13 พรรษาเท่านั้น แม้ฝ่าบาทจะศึกษางานจากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงมาหนึ่งปีเต็ม เเต่… แต่ว่า…”
หลิวจิ่นมิกล้าเอ่ยต่อจนจบ ทว่าอู๋เทียนซื่อกลับถากถางขึ้นมาเสียก่อน “เหอะ ! เจ้าคงอยากจะบอกว่าเจิ้นยังมิได้เรียนรู้อีกหลายเรื่องสินะ ? ”
“เรื่องนี้เจิ้นรู้ดี และด้วยเหตุนี้เจิ้นจำต้องเรียนรู้จากการบริหารบ้านเมืองเยี่ยงไรเล่า ! ”
“หากเจิ้นมิทำอันใดสักอย่าง เจิ้นก็จะเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดไปตลอดชีวิต”
หลิวจิ่นก็มิกล้าตอบคำถามอีก เขาครุ่นคิดในใจว่าตอนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงยังครองบัลลังก์อยู่ พระองค์มีเรื่องมากมายที่ต้องปรึกษาหารือกับเหล่าเสนบดี หลาย ๆ เรื่องก็ต้องผ่านการลงมติของคณะรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน เว้นแต่เรื่องสงครามเท่านั้น
นี่บ่งบอกถึงอันใด ?
บ่งบอกว่าพระองค์ทรงใส่ใจรายละเอียดในเรื่องของบ้านเมืองมากกว่า เพราะเยี่ยงไรก็ต้องรบกับแคว้นอื่นอยู่แล้ว ปัจจุบันต้าเซี่ยมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนการทำศึกสงครามอยู่แล้ว ดังนั้นพระองค์จึงปล่อยวางในด้านนี้มากกว่า
“อยู่ในวังช่างหน้าเบื่อยิ่งนัก หลิวจิ่น พรุ่งนี้ข้าจะไปเดินเล่นในเมืองฉางอันสักหน่อย… อย่าให้เหล่าเสนาบดีรู้เข้าล่ะ ! มิเช่นนั้นคงเข้ามาห้ามอีก... เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ข้าด้วยล่ะ ! ”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ทว่าฝ่าบาทประสงค์จะเสด็จประพาสไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ที่ใดก็ช่าง ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก็ดีมากแล้ว จริงสิ ! ได้ยินมาว่าอาหารที่หอซื่อฟางนั้นรสเลิศนัก พรุ่งนี้ยามอู่ไปทานอาหารที่หอซื่อฟาง ยามเว่ยไปดูละคร ส่วนยามเย็นน่ะหรือ…ยามเย็นก็ไปฟังเพลงในตรอกปู๋เย้ก็แล้วกัน”