นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1276 ออกประพาส
ตอนที่ 1276 ออกประพาส
นักประวัติศาสตร์ต่างก็วิจารณ์อู๋เทียนซื่อจักรพรรดิองค์ที่สองของต้าเซี่ยแตกต่างกันออกไป
ในหนังสือชีวประวัติของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยได้สาธยายวิถีการเจริญเติบโตของเขาโดยละเอียด เห็นว่าความผิดแต่ละอย่างที่เขาได้กระทำลงไปนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ปฐมจักรพรรดิตัดสินพระทัยจะส่งต่อบัลลังก์ให้แก่เขา ซึ่งมันเป็นตัวกำหนดโชคชะตาและโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่อู๋เทียนซื่อขึ้นครองบัลลังก์ !
จะว่าไปแล้วโศกนาฏกรรมนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเจริญเติบโตนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหนึ่งปีนั้นที่เขาได้มาเรียนรู้งานอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน เขามิเคยเข้าใจคำสอนของผู้เป็นบิดาอย่างถ่องแท้เลยสักครา กล่าวได้ว่านี่คือความผิดพลาดคราใหญ่ของปฐมจักรพรรดิ
พระองค์รวมเอกราชต้าเซี่ย บริหารจัดการต้าเซี่ยได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขายังขาดประสบการณ์ในการสั่งสอนอบรมองค์รัชทายาท
มีนักประวัติศาสตร์บางคนเอ่ยว่าการตัดสินพระทัยครานี้ของปฐมจักรพรรดิเป็นไปอย่างรีบร้อน และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็มีมากมาย ทว่าสาเหตุที่เป็นที่ยอมรับของราษฎรต้าเซี่ยอย่างแพร่หลายมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ซึ่งนั่นก็คือ…เดิมทีปฐมจักรพรรดิอาจจะลังเลในการส่งต่อราชบัลลังก์ ก่อนหน้านี้เขามิเคยแต่งตั้งรัชทายาทมาก่อน เขามีโอรสหลายพระองค์ก็จริง แรกเริ่มเขาคิดจะให้บรรดาโอรสของเขาขึ้นครองบัลลังก์ผ่านการเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงฝากโอรสและธิดาให้เหวินสิงโจวเป็นผู้อบรมบ่มวิชา
การเลือกตั้งเป็นพระราชดำริของปฐมจักรพรรดิ รวมถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เคยวาดหวังว่าจะมาจากการเลือกตั้งเช่นกัน
แต่มิรู้เพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงล้มเลิกพระราชดำรินี้ไปเสีย พระองค์รีบร้อนที่จะไปบุกเบิกมหาสมุทร รีบร้อนไปใช้ชีวิตเจ้าสำราญดั่งที่พระองค์ทรงปรารถนา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเลือกที่จะสลัดตำแหน่งจักรพรรดิให้กับฮุ่ยหวงผู้ที่ยังอ่อนด้อยทางความคิดและขาดประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้ได้ฟูมฟักจักรพรรดิฮุ่ยหวงให้มีพฤติกรรมลุ่มหลงมัวเมาต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
ดังนั้น…ความผิดของจักรพรรดิฮุ่ยหวงถือเป็นความผิดของปฐมจักรพรรดิด้วยเช่นกัน !
นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่า จักรพรรดิฮุ่ยหวงคือโอรสองค์โตของปฐมจักรพรรดิ ได้ร่ำเรียนวิชามาจากนักปราชญ์เหวินสิงโจว และได้ติดตามฝ่าบาททรงว่าราชกิจมานานแรมปี
ในเมื่อปฐมจักรรพรรดิเลือกองค์ชายใหญ่ขึ้นมาสืบทอดราชบัลลังก์ เช่นนั้นก็พอจะบ่งบอกได้ว่าพระองค์มิใช่คนที่ไร้ความสามารถ พระองค์ย่อมมีแสงที่ส่องสว่าง เพียงแต่ว่าแสงสว่างของพระองค์ช่างดูเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแสงเจิดจ้าของปฐมจักรพรรดิฟู่เสี่ยวกวน
เปรียบดั่งแสงสว่างจากหิ่งห้อยและแสงกระจ่างของจันทรา !
ปฐมจักรพรรดิคือผู้แต่งตั้งเสนาบดีทั้งสามฝ่าย การลงมติของคณะรัฐมนตรี เป้าประสงค์ที่แท้จริงอยู่ที่การจำกัดอำนาจของจักรพรรดิ และรับข้อดีมาจากทุกคน รวบรวมสติปัญญาของทุกคนเข้ามากำหนดนโยบายที่มีประโยชน์ต่อต้าเซี่ย
นี่แหละที่เขาเรียกว่าการควบคุมอำนาจของจักรพรรดิ !
เจตนารมณ์ของปฐมจักรพรรดิก็คือต้องการจะสลัดกรงที่กักขังราษฎรทิ้งไป โดยสวมกรงคอยบังคับการกระทำของตนแทน
เมื่อจักรพรรดิฮุ่ยหวงผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แม้จะทรงพระเยาว์ทว่าพระองค์ก็มีความมุ่งมั่นที่จะสืบทอดเจตนารมณ์และบุกเบิกเพื่อคนรุ่นหลัง
ทว่าท้ายที่สุดแล้ว จักรพรรดิฮุ่ยหวงก็มิเข้าใจถึงความเพียรพยามของผู้เป็นบิดาเลย เขาถูกจองจำอยู่ในกรง และนี่เป็นดั่งปิศาจร้ายที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่ในใจ น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดแล้วเขามิอาจปลดบ่วงพันธการนี้ออกไปได้
……
……
ฉางอันยามฤดูใบไม้ร่วงนั้นสวยงามเป็นพิเศษ
อู๋เทียนซื่อออกไปเดินเล่นบนถนนจูเชว่นอกพระราชวัง โดยมีหลิวจิ่นคอยประกบอยู่ข้าง ๆ
เขาสวมชุดคลุมยาวที่ดูงดงามประณีต ในมือถือพัดหนึ่งอัน ปลอมตัวเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ออกไปเดินเล่นข้างนอก
เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ริมฝีปากแดงฉ่ำ ฟันขาวสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีท่าทีองอาจห้าวหาญ รูปลักษณ์ภายนอกดูมิเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบสามเอาเสียเลย ดูเหมือนวัยรุ่นที่โตเต็มที่แล้วมากกว่า เมื่อเดินอยู่บนถนนจูเชว่ซึ่งมีผู้คนขวักไขว่ เขาจึงตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาหญิงสาวทั้งหลาย
ทุกสิ่งดูแปลกตาสำหรับอู๋เทียนซื่อ เนื่องจากเขาแทบจะมิมีโอกาสได้ออกมานอกพระราชวังเลย
เขานึกย้อนกลับไปเมื่อคราที่ได้ติดตามเสด็จพ่อไปยังไร่หลวงที่โม่โจว เขารู้สึกได้ว่าคืนวันที่มิต้องมีภาระรับผิดชอบอันใดนั้นช่างสวยงามเสียเหลือเกิน การที่ได้เดินตะลอนบนถนนจูเชว่ มิต้องคิดเรื่องราวในราชสำนักให้ปวดศีรษะ เดินรับแสงสุริยาที่อบอุ่นกำลังพอดี พลางทอดสายตามองฝูงชนที่หลั่งไหลเข้ามามิขาดสาย ฟังเสียงผู้คนดังจอแจราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ได้ชะล้างความทุกข์กังวลใจได้มากโขเลยทีเดียว
แต่จะชะล้างได้หมดจริง ๆ หรือ ?
เพราะเยี่ยงไรเสียที่นี่ก็คือประเทศของเจิ้น !
พวกเขาคือราษฎรของเจิ้น !
พวกเขาได้ใช้ชีวิตโดยไร้ความทุกข์ไร้ความกังวลภายใต้ยุคสมัยของเสด็จพ่อ แล้วเจิ้นเล่าจะทำอันใดให้ราษฎรของเจิ้นได้อีกบ้าง ?
เจิ้นจะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้เยี่ยงไร ?
เจิ้นจะทำให้ต้าเซี่ยก้าวไปอีกขั้นอย่างที่เสด็จพ่อทรงคาดหวังได้หรือไม่ ?
เสด็จพ่อปฏิบัติต่อเหล่าเสนาบดีอย่างเป็นมิตร และปฏิบัติต่อราษฎรด้วยความจริงใจ ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เจิ้นได้ปฏิบัติกับเสนาบดีทั้งสามเหมือนเป็นพระปิตุลาแท้ ๆ ของเจิ้น ทว่าเจิ้นได้ใช้ใจแลกใจกับพวกเขาแล้วหรือยังนะ ?
พวกเขาอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อมานานหลายปี คิดว่าทุกวันนี้ทุกประโยคที่เจิ้นเอ่ยออกไป พวกเขาก็คงนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เสด็จพ่อเคยตรัสเอาไว้ ส่วนคำเอ่ยของตนคงมิต่างอันใดกับมุกตลก การยกทัพไปพิชิตแคว้นเย่หลางคือสิ่งที่เสด็จพ่อฝากเสนาบดีจัวมาแจ้งให้แก่ตน เจิ้นก็แค่ทำตามพระประสงค์ของเสด็จพ่อเท่านั้นเอง ทว่าพวกเขากลับเรียกร้องให้ปรึกษากับคณะรัฐมนตรีเสียก่อน
ถ้าหากว่าเรื่องนี้เจิ้นเป็นคนเสนอขึ้นมาเอง พวกเขาจะมิขัดขวางต่อหน้าไปเลยหรือ !
บัดนี้จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมิสู้ดีเท่าใดแล้ว
เขารู้สึกว่าความเหย่อหยิ่งที่ตนมีได้ปลิวหายไปจนสิ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเสนาบดีทั้งสามฝ่าย
อู๋เทียนซื่อรู้สึกเบื่อหน่ายพลางครุ่นคิดในใจว่า ในเมื่อพวกเขามีความสามารถมากนักล่ะก็…เจิ้นก็มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องราวในราชสำนักอีกต่อไป
“หลิวจิ่น”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“บัดนี้เงินในคลังส่วนตัวมีอยู่เท่าใด ? ”
หลิวจิ่นเหลียวซ้ายแลขวาแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ทูลฝ่าบาท จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเหลือเงินไว้ให้พระองค์รวมทั้งสิ้น 130 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม…” อู๋เทียนซื่อทำท่าครุ่นคิดแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดต่อ
เขาสาวเท้าเดินไปข้างหน้า เดินผ่านถนนจูเชว่มายังสะพานชีเต้า
นี่ก็เข้ายามอู่แล้ว ถึงเวลาทานมื้อกลางวันแล้วสินะ
เขาเดินไปบนถนนจูเชว่หมายเลขสามร้อยเจ็ดสิบแปด ซึ่งหอซื่อฟางก็ตั้งอยู่บนถนนสายนี้ด้วยเช่นกัน !
บัดนี้หอซื่อฟางเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย อู๋เทียนซื่อที่ออกมาจากพระราชวังอย่างกะทันหันมิได้สำรองโต๊ะเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสามจึงถูกจองจนเต็มแล้ว
“คุณชาย ให้บ่าวไปเจรจากับหลงจู๊ดีหรือไม่ขอรับ ? ”
อู๋เทียนซื่อโบกมือปัด “มิจำเป็นหรอก ข้านั่งที่ห้องโถงได้”
ทั้งสองเดินตามพนักงานไปนั่งริมหน้าต่างที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง อู๋เทียนซื่อหยิบเมนูขึ้นมาสั่งอย่างตื่นเต้น
ผู้คนในห้องโถงก็มีมิน้อย คนที่จะมารับประทานอาหารที่หอซื่อฟางได้นั้น ย่อมมิใช่คนธรรมดาทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้า
โต๊ะข้าง ๆ มีคนนั่งล้อมวงกันหกคน ซึ่งขณะนี้เรื่องราวในวงสนทนาของพวกเขาดังเข้าหูอู๋เทียนซื่อพอดี “ท่านจู…ได้ยินมาว่าบัดนี้ตระกูลของท่านได้มอบหมายให้โรงต่อเรือเขตเหยา ต่อเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ใช่หรือไม่ ? ”
“เหอะ ๆ ท่านชิวหูตากว้างขวางดีนี่ ปกติแล้วตระกูลของข้าสัญจรจากเจียงเฉิงไปถึงแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ แผ่นดินใหญ่ลีอาห์เจริญวันเจริญคืนเเล้ว พวกเขาต้องการสินค้าจำนวนมหาศาล เรือขนส่งสินค้าที่มีอยู่มิเพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นจึงจำต้องเปลี่ยนขนาดของเรือตามกระแสการพัฒนา”
“ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านจูเอ่ยมานั้นเป็นเท็จมากกว่าจริง ! ”
“นี่ ! เหตุใดดท่านชางถึงเอ่ยเช่นนี้กันเล่า ? ”
อู๋เทียนซื่อหันขวับไปดู เขาเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังลูบเคราสั้น ๆ พลางหัวเราะออกมา “สิ่งที่ตระกูลจูวางแผนนั้น จำต้องปรับเพื่อตอบรับกับโอกาสทางการค้าคราใหญ่ที่ฝ่าบาททรงประทานให้จากการออกสำรวจทวีปยุโรปเป็นแน่ ! ”
“ท่านชาง ฝ่าบาททรงสละราชบัลลังก์แล้ว ทุกวันนี้พระองค์คือจักรพรรดิพระเจ้าหลวง หากยังเรียกว่าฝ่าบาทต่อไปก็เกรงว่าจะมิสมควรเท่าใดนัก ! ”
“อ่า…จริงสินะ ! ที่ท่านชิวเตือนก็ถูกต้องเช่นกัน เฮ้อ…”
จากนั้นอู๋เทียนซื่อก็ได้ยินชายวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ฝ่าบาทยังอยู่ในยุคทองของพระองค์แท้ ๆ ต่อให้เสด็จออกไปสำรวจทวีปยุโรป แต่ก็มิจำเป็นต้องสละราชบัลลังก์เลยนี่ ! ”
“เมื่อมีพระองค์คอยนำทาง ต้าเซี่ยของเราย่อมมีอนาคตยาวไกล ส่วนจักรพรรดิองค์ใหม่นั้น…”
ชายวัยกลางคนที่แซ่ชางส่ายศีรษะเบา ๆ “หวังว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะคว้าชัยกลับมาได้ในเร็ววันก็แล้วกัน ! ”
อู๋เทียนซื่อหน้าถอดสีทันพลัน