นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1278 ฝ่าบาทหายไป
ตอนที่ 1278 ฝ่าบาทหายไป
อู๋เทียนซื่อดื่มชาอยู่ในสวนชาหอมหมื่นลี้
เขานั่งฟังเรื่องราวที่แขกเหรื่อในโรงน้ำชาสนทนากัน มิน่าเชื่อว่าสิ่งที่คนพวกนั้นสนทนากันล้วนแต่เป็นเรื่องบ้านเรื่องเมืองทั้งสิ้น !
แน่นอนว่าในบทสนทนาเหล่านั้นต้องมีการยกย่องสรรเสริญเสด็จพ่อ จากนั้นก็เอ่ยถึงความกังวลที่มีต่อจักรพรรดิองค์น้อยอีกด้วย
บ้างก็กังวลว่านโยบายต่อจากนี้ของต้าเซี่ยจะเปลี่ยนแปลงไป
บ้างก็เห็นว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้ทิ้งเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและคณะรัฐมนตรีเอาไว้ที่ต้าเซี่ย ดังนั้นนโยบายต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงวางไว้ มิว่าจะเป็นแผนพัฒนาระยะห้าปี หรือเป็นแผนการพัฒนาชุมชน หรือการขึ้นเป็นประเทศที่แข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ เป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ย่อมไร้การเปลี่ยนเเปลงใด ๆ
เพราะนโยบายเหล่านี้เป็นนโยบายที่ดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
เมื่อจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงปูเส้นทางสู่อนาคตไว้อย่างสวยงามแล้ว เช่นนั้นยุคสมัยที่รุ่งเรืองของต้าเซี่ยก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จะต้องเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ เว้นแต่ว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะเลอะเลือนถึงขั้นยกเลิกนโยบายเหล่านี้ไป
เห็นได้ชัดว่าเสนาบดีทั้งสามฝ่ายรวมถึงคณะรัฐมนตรีมิมีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าฝ่าบาทจะทรงยกเลิกคณะรัฐมนตรีและทำการปลดเสนาบดีทั้งสามฝ่ายออกให้หมด จากนั้นก็เอาคนฝั่งตนเข้ามารับตำแหน่งแทน
“เป็นไปมิได้ ! เพราะจักรพรรดิพระเจ้าหลวงยังมิสวรรคต พระองค์เพียงแค่เสด็จออกสำรวจเท่านั้น”
“เยี่ยงไรเสียพระองค์ก็ทรงสร้างต้าเซี่ยขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระองค์มิมีทางทนเห็นต้าเซี่ยตกต่ำลงในเงื้อมือของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้แน่นอน แม้ว่าครานี้จะเสด็จสำรวจไกลไปหน่อย ทว่าท้ายที่สุดพระองค์ย่อมจะเสด็จกลับมา”
“มาดื่มชากันเถิด สบายใจได้ จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงเป็นผู้คัดเลือกจักรพรรดิพระองค์ใหม่ด้วยตนเอง สายพระเนตรของพระองค์ย่อมมิมีทางผิดพลาด อีกอย่างบัดนี้จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ทรงพระเยาว์ยิ่งนัก ยังตัดสินใจอันใดมิได้มากนัก รอให้พระองค์เติบใหญ่ก่อนเถิด เมื่อถึงตอนนั้นคาดว่าพระองค์คงจะตระหนักถึงนโยบายของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้อย่างถ่องแท้ ว่ามันมีประโยชน์ต่อต้าเซี่ยมากเพียงใด”
“ท่านเว่ย ท่านคิดว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะรู้สึกเก็บกดเมื่อต้องอยู่ภายใต้แสงสว่างเจิดจ้าของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงหรือไม่ ? ”
“เรื่องนี่น่ะหรือ…”
อู๋เทียนซื่อหูผึ่งขึ้นทันใด เขาตั้งใจฟังท่านเว่ยผู้นั้นเอ่ย “จักรพรรดิผู้บุกเบิกแต่ละยุคสมัยต่างก็เป็นจักรพรรดิที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติ เพียงแต่จักรพรรดิพระองค์นี้ทรงมีคุณูปการมากเกินคำบรรยาย อย่าว่าแต่จักรพรรดิพระองค์ใหม่เลย เกรงว่าจักรพรรดิทุกพระองค์ในยุคหลังของต้าเซี่ยก็มิอาจเอาชนะผลงานของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้ ! ”
อู๋เทียนซื่อเงยหน้าขึ้น
เหนือศีรษะของเขามีต้นหอมหมื่นลี้ต้นใหญ่
แม้ต้นไม้จะส่งกลิ่นหอมอวล แต่มันก็ได้บดบังสุริยาที่ส่งแสงอยู่เบื้องบนจนมิดชิด
นี่ก็เปรียบดั่งร่มเงาของเสด็จพ่อ ข้าคงทำได้เพียงมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงานี้ตลอดไป เว้นแต่ว่าข้าเลือกที่จะเดินออกไปเอง !
……
……
ณ พระราชวังต้าเซี่ย
เยี่ยนซีเหวินร้อนรุ่มกลุ้มใจจนนั่งมิติด
“ไหนเล่า ? ฝ่าบาทอยู่ที่ใดกัน ? เจ้าดูแลวังเยี่ยงไรกัน ? ”
จ้าวโฮ่วโค้งตัวลง โดยมีเหงื่อเย็นไหลอาบทั่วร่าง !
“ท่านเสนาบดีเยี่ยน ข้าน้อยจะส่งคนออกไปตามหาประเดี๋ยวนี้แหละขอรับ ! ”
“รีบไปเร็วเข้า ! ฝ่าบาทต้องหนีออกจากพระราชวังแล้วเป็นแน่…รีบส่งคนไปบอกผู้บัญชาการฮั่ว ต้องระวังอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตมากนักล่ะ ฝ่าบาทจะต้องเสด็จออกไปพร้อมกับหลิวจิ่นเพียงแค่สองคนเป็นแน่ อย่าให้บุคคลภายนอกรู้ข่าวนี้เลยเชียว ! ”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ! ”
จ้าวโฮ่วเดินออกไปอย่างรีบร้อน เขานำทหารรักษาพระองค์ออกไปนอกพระราชวัง
ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนที่เพิ่งเดินทางมาถึงห้องทรงพระอักษรตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือด จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จสำรวจทางไกล จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็เพิ่งครองบัลลังก์ได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น หากเกิดอันใดขึ้นกับพระองค์…แล้วพวกเขาจะทำเยี่ยงไร ?
“ท่านเสนาบดีเยี่ยนอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ข้าคิดว่า…เกรงว่าสิ่งที่ข้าเอ่ยเมื่อวานนี้จะทำให้พระองค์รู้สึกเสื่อมเสียเกียรติเข้าแล้วล่ะสิ อาจจะทำให้พระองค์ทรงพิโรธ บัดนี้พระองค์คงจะเสด็จประพาสเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลายลงเป็นแน่”
เยี่ยนซีเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านเสนาบดีฉิน เรื่องนี้โทษท่านก็มิถูก นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนบัญญัติขึ้น บทบาทของกฎข้อนี้พวกเราต่างก็ทราบกันดี มิว่าเยี่ยงไรก็มิมีทางเปลี่ยนกฎข้อนี้ได้เป็นอันขาด ! ”
หนิงหยู่ชุนชะเง้อหน้าออกไปมองดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่งอยู่ข้างนอก อยู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาพลางส่ายศีรษะช้า ๆ “ท้ายที่สุดพวกเราก็กล้าเรียกเขาว่าฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ สินะ นั่นเป็นเพราะพวกเรารู้ว่าเยี่ยงไรเขาก็มิมีทางใส่ใจ จะว่าไปแล้วพวกเราก็ทำอันใดตามอำเภอใจเกินไปหน่อย หลายปีที่ผ่านมานี้ก็เลยลืมนึกถึงเกียรติยศที่จักรพรรดิพึงมี”
เขาหันกลับมามองเยี่ยนซีเหวิน แล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราควรกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ ? ”
คำว่าเมื่อก่อนย่อมหมายถึงอดีตราชวงศ์หยูหรือราชวงศ์อู๋นั่นเอง
ขุนนางจำต้องคุกเข่าเข้าเฝ้าจักรพรรดิ คำเอ่ยคำจาต้องมีพิธีรีตอง ทุกอย่างจะต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด
เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะในท้ายที่สุด
“กว่าเขาจะยกเลิกคำสอนของขงจื๊อแล้วทำให้ราษฎรเท่าเทียมกันเยี่ยงทุกวันนี้มิใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
“หากกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน พวกเราจะคุกเข่าให้ฝ่าบาทก็มิได้สลักสำคัญอันใดหรอก ทว่าราษฎรจะต้องคุกเข่าต่อหน้าพวกขุนนางนี่สิ ! ”
“ข้ายังคงยืนยันความคิดที่ว่า… มีเพียงทำให้ราษฎรยืนหยัดด้วยตนเองได้เท่านั้น ประเทศชาติถึงจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง”
“ถ้าหากพวกเขาต้องคุกเข่าลงไปอีกครา…ต้าเซี่ยในรูปแบบนี้ คงมิใช่ต้าเซี่ยในแบบที่ข้าชอบอีกต่อไป และคิดว่าต่อไปข้าคงมิมีโอกาสได้เห็นต้าเซี่ยในแบบที่ข้าอยากเห็นอีก ! ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้าเห็นด้วย “ตอนที่เสี่ยวกวนยังอยู่ ในท้องพระโรงฉี่หมิง เขาได้นำตำแหน่งจักรพรรดิซึ่งควรตั้งอยู่เหนือสิ่งใดวางไว้ด้านล่างสุด สิ่งที่เขาทำย่อมมีความหมายลึกซึ้ง ”
“การที่ขุนนางมีเสรีภาพในการออกสิทธิ์ออกเสียง และมิกลัวที่จะนำความคิดของตนเองออกมาถกเถียงกับฝ่าบาท สิ่งเหล่านั้นถือเป็นต้นกำเนิดของนโยบายต่าง ๆ ในปัจจุบัน”
“และในขณะเดียวกัน การที่ขุนนางชั้นผู้น้อยไร้ความเกรงกลัวต่อขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พวกเราถึงต้องมีการควบคุมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน”
“เหตุใดราชวงศ์หยูถึงต้องเผชิญกับความพินาศ ? เป็นเพราะอดีตฮ่องเต้มิขยันขันแข็ง มิเอาใจใส่ราษฎรของพระองค์เยี่ยงนั้นหรือ ? มิใช่เช่นนั้นหรอก เป็นเพราะความดำมืดของระบบขุนนางมากกว่า ที่ทำให้ขุนนางแต่ละคนต้องไขว้คว้าผลประโยชน์ส่วนตน และละเลยผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองไป ! ”
“กว่าจะเปลี่ยนความคิดของขุนนางได้นั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าหากกลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่าก็เท่ากับว่า…ความมานะพยายามที่พวกเราทำไปทั้งหมดจะสูญเปล่า… ขุนนางจะมิเก็บราษฎรมาใส่ใจอีกต่อไป การติดสินบนและซื้อขายตำแหน่งจะดำเนินต่อไป พวกเขาจะละโมบทุจริตคดโกงกันเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ”
“ตอนนี้ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์มากนัก ข้าคิดว่าพวกเราควรจะเล่าเรื่องปฐมจักรพรรดิให้เขาได้ยินบ่อย ๆ ให้เขาได้เข้าใจว่าเมื่ออำนาจถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตเมื่อใด เมื่อนั้นถึงจะได้นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ! ”
เสนาบดีทั้งสามฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะรักษาระบบแบบใหม่นี้ไว้ดังเดิม
แต่พวกเขากลับมิได้คิดใคร่ครวญให้มากพอ พวกเขาละเลยว่าอู๋เทียนซื่อคือผู้ที่ร่ำเรียนกับเหวินสิงโจวมานานหลายปี !
มิอาจปฏิเสธได้ว่าเหวินสิงโจวคือผู้ที่มีความรู้แตกฉาน ความคิดและอุดมการณ์ของเขาสูงส่ง ทว่าความคิดและอุดมกาณ์ของเขาแตกต่างกับขุนนางในราชสำนักมากยิ่งนัก
เขาเป็นผู้ธำรงไว้ซึ่งอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิ เขาอบรมอู๋เทียนซื่อไว้ว่าอำนาจของจักรพรรดิเหนือกว่าทุกสิ่ง ! ผืนปฐพีใดในใต้หล้าล้วนเป็นของจักรพรรดิทั้งสิ้น ขุนนางทั่วทุกสารทิศล้วนเป็นขุนนางภายใต้พระบาทขององค์จักรพรรดิ !
แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะคอยชี้แนะอู๋เทียนซื่อเป็นเวลาหนึ่งปี ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดที่หยั่งรากฝังลึกของบุตรชายได้
แม้ว่าอู๋เทียนซื่อจะมีเจตนาทำเพื่อความเจริญรุ่งของต้าเซี่ยเช่นกัน ทว่าวิธีการของเขากลับขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กำหนดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังความคิดเห็นจากหลาย ๆ คนแล้วนำมาประกอบการตัดสินใจ ทว่าอู๋เทียนซื่อผู้เป็นบุตรชายกลับหวังให้คำเอ่ยของตนเองถือเป็นที่สุด !
และนี่คือความขัดแย้งของสองความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนได้นำความคิดที่ล้ำยุคสมัยเข้ามา ส่วนอู๋เทียนซื่อมิใช่คนที่เดินทางข้ามกาลเวลามา เขาจึงมิอาจเข้าใจถึงความปรารถนาดีของบิดา
ความรู้สึกเดียวที่เขามีในตอนนี้คือความโกรธเคือง !
“ไปกันเถิด ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ! ”
“นายท่าน พวกเราควรกลับได้แล้วนะขอรับ ! ”
“…มิกลับ ! ไป…ไปตรอกปู๋เย่ต่อ”
อู๋เทียนซื่อพาหลิวจิ่นออกมาจากตรอกกุ้ยฮวา จากนั้นก็เดินไปยังสะพานชีเต้า บังเอิญพบกับฮั่วหวยจิ่นที่ร้อนรุ่มกลุ้มใจอยู่พอดี
“ฝ่าบาท ! ”
“อันใดกัน ? เจิ้นแค่ออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง”
“…มิใช่เช่นนั้น ฝ่าบาท ขุนนางทุกคนต่างก็เป็นกังวลอย่างยิ่ง ขอพระองค์เสด็จกลับพระราชวังด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“หากเจิ้นมิกลับ เจ้าจะทำอันใด ? ”
“…หากฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใด ? กระหม่อมก็จะตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”