นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1280 ต้มสุราพลางถกเรื่องบ้านเมือง
ตอนที่ 1280 ต้มสุราพลางถกเรื่องบ้านเมือง
ทุกคนจ้องไปที่หยุนซีเหยียนพร้อม ๆ กัน
“โดยภาพรวมราคาคงที่ อุปทานของตลาดมีเหลือเฟือ ราษฎรต่างก็มีกำลังซื้อ ปีนี้ราคาแกะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากเกิดพายุหิมะถล่มหนักที่ชื่อเล่อชวน ทว่าราคาก็ขึ้นในปริมาณที่พอรับได้ ทุกวันนี้การปศุสัตว์ของเขตจิงตงและเหอเป่ยต่างก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้น ทำให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของตลาด”
“หากเส้นทางรถไฟจากชื่อเล่อชวนมายังฉางอันเปิดใช้งานเมื่อใด เมื่อนั้นราคาก็จะตกลงไปอีก”
“ข้าว สิ่งทอและอื่น ๆ ต่างก็เข้าไปบุกเบิกในตลาดต่างประเทศ คาดว่าอีกห้าปีต่อจากนี้ความสามารถในการผลิตของต้าเซี่ยจะเติบโตไปพร้อมกับกำลังซื้อของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ”
“ทว่าเรื่องเนื้อสัตว์จำต้องระมัดระวังสักหน่อย เพราะการปศุสัตว์ที่เขตจิงตงและเหอเป่ยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมพันธุ์หมูและสัตว์ปีก ปริมาณของมันมีจำนวนมหาศาลกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้มากโข ! ข้าคาดการณ์ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า ถ้าถึงตอนนั้นแล้วยังส่งออกไปขายต่างประเทศมิได้…ก็เกรงว่าจะเกิดการปะทะคราใหญ่ขึ้นในตลาดเนื้อ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็หันไปมองชืออีหมิงเต้าถายคนใหม่ของเยวี่ยซานเป่ยเต้า “เจ้าฟังดูเถิด ข้ามิได้เอ่ยความเท็จให้เจ้าฟังแต่อย่างใด อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์มิใช่เรื่องเล็กเฉกเช่นที่เจ้าคิด ดังนั้นการขยายพันธุ์สัตว์จะต้องถูกควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด”
“ข้าเคยเดินทางไปที่เยวี่ยซานเป่ยเต้าและเยวี่ยซานหนานเต้าทั้งสองแห่งนี้มาก่อน หากคิดจะหาโครงการดี ๆ ก็ต้องเริ่มจากทรัพยากรที่พวกเรามีอยู่ในมือก่อน ซึ่งพวกเราก็เล็งเห็นแล้วว่าทั้งสองเต้านี้ขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นจึงวางแผนจะพัฒนาทั้งสองเต้านี้ให้เป็นพื้นที่ผลิตยุทโธปกรณ์”
“การสร้างถนนและทางรถไฟทั้งในเยวี่ยซานเป่ยเต้าและเยวี่ยซานหนานเต้าเป็นโครงการหลักที่พวกเราจะลงทุนในปีหน้า เจ้าและเหออันเชิงจำต้องหาสถานที่ก่อตั้งฐานผลิตยุทโธปกรณ์ ซึ่งแน่นอนว่าข้อกำหนดแรกก็คือจำต้องเป็นพื้นที่ที่สะดวกต่อการคมนาคม และต้องเป็นพื้นที่ที่มิมีอุตสาหกรรมใดตั้งอยู่มาก่อน”
“……”
นี่เปรียบเสมือนงานเลี้ยงน้ำชา !
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงวันหยุดราชการ ทว่าพวกเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังคิดและวางแผนเพื่อราษฎรชาวต้าเซี่ย
บรรยากาศเช่นนี้มีความผ่อนคลายและมีเสรีภาพในการออกสิทธิ์ออกเสียงอย่างแท้จริง ทว่าสองชั่วยามให้หลังท่ามกลางบรรยากาศที่มิเป็นทางการเช่นนี้กลับมีการกำหนดนโยบายใหญ่ในปีหน้าของทางราชสำนักเกิดขึ้น
“อำเภอที่ยากจนและขาดแคลนซึ่งได้รับการพิจารณาเมื่อคราก่อน ให้ดำเนินการตรวจสอบรอบแรกภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”
เยี่ยนซีเหวินยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าช่วงเวลานี้ค่อนข้างกระชั้นชิดไปสักหน่อย ส่วนตัวข้ามิแนะนำให้ใช้การตรวจสอบครานี้ประเมินความสามารถของขุนนาง เพียงแค่ตักเตือนก็พอ”
“ส่วนในด้านของการบริหารราชการ ในปีหน้าให้กรมขุนนางร่วมมือกับฝ่ายตรวจการเพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนอีกครา ในการปรับเปลี่ยนครานี้จะดำเนินการสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือการสุ่มสำรวจ โดยให้ทำการตรวจสอบขุนนางทุกระดับชั้น ข้ามิได้กลัวว่าเต้าถายเยี่ยงพวกเจ้าจะรู้เรื่องนี้หรอกนะ และหลังจากที่สำรวจเสร็จแล้วให้ขุนนางต้าเซี่ยทุกคนแจ้งรายการทรัพย์สินมายังกรมคลัง เพื่อเป็นฐานข้อมูลทรัพย์สินของขุนนางต้าเซี่ยในอนาคต”
“ส่วนรูปแบบที่สอง ประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรทราบถึงสิทธิในการตรวจสอบอำนาจของขุนนางที่พวกเขาพึงมี ข้าคิดว่าให้ทางฝ่ายตรวจการก่อตั้งสมาคมตรวจสอบขึ้นมาเพื่อรับร้องเรียนการทุจริตของขุนนางโดยเฉพาะ”
“คราหนึ่งเขาเคยเอ่ยว่า… แม้สุริยาจะใหญ่เพียงใด แต่ก็ย่อมมีจุดที่แสงสว่างส่องไปมิถึง และด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะฉี่หนูเพียงแค่หยดเดียวอาจจะทำให้ข้าวต้มเสียไปทั้งถ้วยก็เป็นได้ ! ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยกับความคิดของซีเหวิน”
“เป็นวิธีที่เยี่ยมเลยล่ะ ข้าเองก็เห็นด้วยเช่นกัน” หนิงหยู่ชุนพยักหน้า
“อืม…เมื่อราชสำนักกลับมาเปิดทำการเมื่อใด ก็จงนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเสีย”
เมื่อเรื่องบ้านเมืองถูกถกจนจบแล้ว หยุนซีเหยียนจึงโพล่งถามขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงสร้างตำหนักขึ้นบนภูเขาฉางหลิง เป็นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจยาวออกมา “เฮ้อ…สองเดือนให้หลังมานี้ฝ่าบาทมิออกว่าราชกิจเลย เหมือนพระองค์มิทรงโปรดพวกเรา ตอนที่ได้ยินข่าวจากรมโยธาธิการในตอนแรก พวกเราก็ตกใจมากเช่นกัน ทว่าหลังจากที่ได้หารือกับโม่เหวินและหยู่ชุนแล้ว…”
“เรื่องนี้พวกเราทำอันใดมิได้หรอก เพราะฝ่าบาทมิได้ใช้เงินของกรมคลังเลยสักตำลึงเดียว พระองค์ทรงใช้เงินในคลังส่วนตัว…ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะทรงใช้เยี่ยงไรก็สุดแล้วแต่พระองค์ท่าน”
หยุนซีเหยียนส่ายศีรษะเบา ๆ “แต่งบประมาณของตำหนักนี่สิ ท่านพ่อตาและอดีตประธานกรรมการธนาคารเพื่อราษฎรรับหน้าที่เป็นผู้จัดการ ! ”
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างตกอกตกใจ พ่อตาของหยุนซีเหยียนก็คือโหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังคนก่อน ส่วนอดีตประธานกรรมการธนาคารเพื่อราษฎรก็คือหลี่จินโต้วผู้ที่ติดตามฟู่เสี่ยวกวนมานั่นเอง !
“ใช้คนใหญ่คนโตถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? งบประมาณจำนวนเท่าใดกัน ? ” ฉินโม่เหวินเอ่ยถาม
“จำนวนเท่านี้ ! ”
หยุนซีเหยียนชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งแสนตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ก็มิได้มากมายอันใดนี่”
“หนึ่งร้อยล้านต่างหากเล่า ! ”
ฉินโม่เหวินอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ…ใช้เงินหนึ่งร้อยล้านตำลึงในการสร้างตำหนักบนภูเขาฉางหลิง…ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนยังครองบัลลังก์อยู่ เขามิเคยใช้เงินมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ เพื่อบำเรอความสุขให้ตนเองเลยสักครา
ทุกคนได้นำจักรพรรดิพระองค์ใหม่ไปเปรียบเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนโดยที่มิรู้ตัว
การเปรียบเทียบเช่นนี้ได้สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ฉินโม่เหวินเริ่มหน้าถอดสี “แม้จะเป็นเงินในคลังส่วนตัว แต่ก็มิอาจนำออกมาใช้แบบนี้ได้ ! ”
“แม้ว่าการก่อสร้างเมืองฉางอันจะใช้เงินมากถึงแสนล้านตำลึง แต่ท้ายที่สุดเมืองฉางอันก็เป็นเมืองทางเศรษฐกิจและเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ! มันได้สร้างความสะดวกให้กับการบริหารต้าเซี่ย และสะดวกต่อการเชื่อมเส้นทางไปยังเส้นทางสายไหมทางทิศเหนือ ! ”
“นี่พระองค์ทรงทำอันใดอยู่กัน ? พระองค์ยังมีพระชนมพรรษามิถึง 14 พรรษาเลยด้วยซ้ำ ร่ำเรียนวิชาได้เพียงน้อยนิดแต่คิดจะเสวยสุขแล้วหรือ ? ”
“ในคลังส่วนตัวของพระองค์มีเงินอยู่เท่าใดกัน ? เป็นเพราะใช้เงินส่วนตัวจนหมดแล้วเลยคิดที่จะไปรบกับประเทศอื่นเพื่อขโมยเงินในคลังของพวกเขาหรือเยี่ยงไรกัน ? มิได้การ ! หากราชสำนักเปิดทำการเมื่อใด ข้าต้องไปเจรจาเรื่องนี้กับฝ่าบาทสักหน่อย ! ”
ฉินโม่เหวินโกรธจัด คนอื่น ๆ ที่นั่งร่วมวงด้วยจึงปิดปากเงียบ
หยุนซีเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่ จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “โม่เหวิน มิจำเป็นต้องโกรธเคืองถึงเพียงนั้นหรอก…หากจะโน้มน้าวฝ่าบาทมิจำเป็นต้องให้ข้าหรือเจ้าไปเผชิญหน้ากับพระองค์หรอก”
“จะยอมให้พระองค์ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ต่อไปหรือ ? ”
“มิใช่เยี่ยงนั้นสักหน่อย เรื่องนี้ควรให้ท่านจัวอี้สิงหรือจัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธการไปโน้มน้าวถึงจะเป็นการดีที่สุด ! ”
ฉินโม่เหวินถึงบางอ้อทันพลัน
แม้เรื่องนี้จะมิเคยถูกเปิดเผย ทว่ามันก็มิใช่ความลับอีกต่อไป
จัวอี้สิงนั้นเป็นท่านทวดของฝ่าบาท ส่วนจัวเปี๋ยหลีคือท่านตาของพระองค์นั่นเอง !
เพราะการก่อสร้างตำหนักนั้นมิได้แตะต้องเงินในท้องพระคลังแม้แต่อีแปะเดียว จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว
จัวอี้สิงเป็นอดีตเสนาบดีฝ่ายบริหาร ปัจจุบันเป็นผู้นำในคณะรัฐมนตรี คิดว่าเขาคงเข้าใจสถานการณ์ของฝ่าบาทในตอนนี้เป็นอย่างดี
แท้ที่จริงคณะรัฐมนตรีนั้นมีจัวอีสิง หนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงเป็นประธาน นโยบายจากพระราชดำริของฝ่าบาทก็มักจะถูกอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้ง่าย ๆ หากนโยบายมิได้มีข้อผิดพลาดใหญ่โตนัก
“ทุกวันนี้พระทัยของฝ่าบาททรงกังวลในเรื่องของการครอบครองพระราชอำนาจ… แท้ที่จริงนี่ก็เป็นเหตุผลของแต่ละบุคคล มิใช่ว่าทุกคนจะยอมศูนย์เสียตำแหน่งของจักรพรรดิแล้วใช้ชีวิตเจ้าสำราญเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวน ส่วนมากจะเป็นเฉกเช่นฝ่าบาทในตอนนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะหลงใหลหรือถึงขั้นมัวเมาในอำนาจที่ตนเองมี”
“และวิธีที่จะทำให้พระองค์ผ่อนคลายความกังวลนี้ก็มีมากมาย… พวกเราอาจจะเอ่ยให้น้อยลง ให้ฝ่าบาททรงตรัสมากขึ้นกว่าเดิม”
หยุนซีเหยียนรินชาให้ทุกคนในวงสนทนาพลางเอ่ยออกมาว่า “จักรพรรดิพระเจ้าหลวงมิอยากให้พวกเราหาเรื่องไปรบกวนพระองค์ ทว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่ดูเหมือนจะคิดตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น…ข้าจึงคิดว่า พวกเราควรถอยสักก้าว โดยเฉพาะพวกเจ้าทั้งสามคน”
“ถ้าหากนโยบายใดของพระองค์มิค่อยได้เรื่อง ก็ปล่อยให้พระองค์รับผลที่เกิดขึ้นเองเถิด”
พวกเยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบไป
มันจะดีจริง ๆ หรือ ?
หรือบางทีความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและขุนนางอาจจะคลายความตึงเครียดลงมาบ้าง คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้ว่าอำนาจจะทำให้มนุษย์เสพติด และเมื่อมนุษย์ได้ครอบครองอำนาจ เขาจะยิ่งจับมันไว้ให้แน่น เขาจะขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น มือของเขาจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ และสาวเอาทุกอย่างจนกู่มิกลับอีกต่อไป