นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1281 ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
ตอนที่ 1281 ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
รัชสมัยต้าเซี่ยที่ห้า วันสิ้นปี
พลุและโคมไฟถูกประดับประดาทั่วทั้งเหมืองฉางอัน
เสียงพลุและประทัดเริ่มประทุตั้งเเต่ย่ำค่ำจนกระทั่งบัดนี้ เสียงประทัดดังในตรอกซอยน้อยใหญ่มิขาดสาย ไฟจากพลุได้แต่งแต้มสีสันสดสวยให้กับท้องนภาอันมืดมิด
งานเลี้ยงฉลองในจวนของหยุนซีเหยียนได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนนั่งรอบล้อมโต๊ะชา ลิ้มรสชาอันหอมหวานพลางฟังเสียงประทัดจากข้างนอก นาน ๆ ถึงจะมีแสงไฟจากพลุสว่างวาบให้เห็นนอกหน้าต่าง
“นี่คือยุคทองอย่างแท้จริง ! ”
เยี่ยนซีเหวินดื่มหนักจนหน้าแดงก่ำ เขาถือถ้วยชาด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นเต็มหัวใจ
“ที่เมืองจินหลิง ตอนที่เขาสมรสกับพวกหยูเวิ่นหวิน เขาได้จัดงานเลี้ยงและมีการจุดพลุเฉลิมฉลองคราใหญ่ ตอนนั้นพลุยังเป็นของหรูหราฟุ่มเฟือย ทว่าทุกวันนี้มันกลับเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คน”
“ตอนนี้เขาคงจะอยู่ในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง… เขาเคยคาดหวังที่จะเห็นความเจริญรุ่งเรือง เขาต่อสู้เพื่อให้มีวันนั้น และท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาตนเอง คิดว่าเขาอยู่กลางทะเลคงจะมิเหงา เพียงแต่มิรู้ว่าช่วงสองสามปีมานี้ เขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ผู้คนในวงสนทนาล้วนแต่เป็นอดีตชาวหยูทั้งสิ้น
บ้างก็มิค่อยลงรอยกับฟู่เสี่ยวกวนสักเท่าใดนักสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม อย่างเช่น เยี่ยนซีเหวิน เพราะเมื่อฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็ต้องเสียต่งชูหลานที่ใจเฝ้าถวิลหาให้ฟู่เสี่ยวกวนไปทั้งอย่างนั้น
หรืออย่างเช่น ชืออีหมิง เขามิเพียงแต่มิได้มีความสัมพันธ์อันดีกับฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้น ทว่าเขากลับเปิดฉากความสัมพันธ์ด้วยความพยาบาทแทน
มิว่าอดีตจะเป็นเยี่ยงไร ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนเหล่านี้ต่างก็มาอยู่เคียงข้างฟู่เสี่ยวกวน และล้วนเป็นขุนนางซึ่งเป็นเสาหลักของต้าเซี่ยทั้งสิ้น !
“นั่นเป็นความยิ่งใหญ่ของเขาเลยล่ะ” หนิงหยู่ชุนหัวเราะร่า “สมัยที่ยังอยู่ในเมืองจินหลิงพวกเรามักจะไปกินเลี้ยงสังสรรค์กันที่หอซื่อฟาง เจ้าหมอนั่น…คิดไปคิดมาแล้วก็เป็นมังกรซ่อนรูปดี ๆ นี่เอง ตอนนั้นเขาเพียงแค่ปิดบังความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ก็เท่านั้น หลังจากผ่านฝนผ่านหนาวมาหลายสิบปี ในที่สุดเขาก็ผงาดบินขึ้นสู่ท้องนภา เขาทำให้ต้าเซี่ยประสบความสำเร็จและทำให้พวกเราประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน”
“ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ว่า…ถ้าหากวันหนึ่งวันใดข้ามิอยากเป็นขุนนางหรืออาจจะเกษียณอายุแล้ว ข้าก็จะโดยสารเรือไปยังดินแดนที่เขาตั้งชื่อว่าอิงเทียนแห่งนั้น”
“ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาของตนเองว่าชีวิตของเขาสำราญจริงหรือไม่ เข้าไปถามเขาว่า…ข้ายังพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง พอจะร่วมขบวนด้วยได้หรือไม่ ? ”
“นี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ” ฉินโม่เหวินตบเข่าฉาดใหญ่เพื่อแสดงออกว่าเห็นด้วย “ถึงตอนนั้นพวกเราก็ออกเดินทางไปพร้อมกันเถิด ! ”
“ได้สิ ! ตกลงตามนี้ ถึงเวลานั้นค่อยออกเดินทางไปพร้อมกัน ! ”
……
……
ณ ตรอกเสี่ยวฉือเฉียว สะพานอู่เต้า เมืองฉางอัน
จวนตระกูลจัวตั้งอยู่ในตรอกแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากจวนของจี้หยุนกุยเพียงแค่สามหลังเท่านั้น
ตรอกแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางฉางอันหลายคน นั่นเป็นเพราะที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังมากที่สุด
วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวจะกลับมาทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตา จวนตระกูลจัวมีความคึกคักเป็นพิเศษ เพราะวันนี้มีแขกคนพิเศษมาร่วมฉลองด้วย ซึ่งก็คือ…อู๋เทียนซื่อจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยนั่นเอง !
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา จัวอี้สิงจึงพาอู๋เทียนซื่อ จัวเปี๋ยหลี รวมถึงจัวตงหลายไปยังห้องหนังสือ
นี่มิใช่คราแรกที่อู๋เทียนซื่อได้มาเยือนจวนตระกูลจัว
ตอนที่ยังอยู่ในเมืองกวนหยุนอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มักจะพาอู๋เทียนซื่อไปเยือนจวนตระกูลจัวหลายครั้งหลายครา แม้แต่ตอนที่ย้ายมาอยู่เมืองฉางอันก็เคยมาแล้วสามถึงห้าครา แม้จะมิมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าตนมีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกับตระกูลจัว ทว่าอู๋เทียนซื่อก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก
ที่นี่เป็นจวนของท่านทวด จึงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม พอจะทำอันใดตามอำเภอใจได้บ้าง
ทั้งหมดนั่งลงที่โต๊ะน้ำชา ส่วนจัวอี้สิงจัดแจงต้มชา
“ฝ่าบาท”
“ท่านทวด ที่นี่มิใช่พระราชวังสักหน่อย อย่าเรียกอย่างห่างเหินเช่นนี้เลย เรียกข้าว่าเทียนซื่อก็ได้เเล้ว ! ”
เมื่อจัวอี้สิงได้ยินดังนั้นจึงยิ้มแก้มปริ ผู้ใดกล่าวว่าเหลนของข้าเป็นเด็กมิรู้จักขนบธรรมเนียมกัน ?
เขาเป็นเด็กที่รู้ความคนหนึ่ง !
“เช่นนั้นก็ดี เทียนซื่อเอ๋ย พ่อแม่ของเจ้าออกท่องมหาสมุทรได้ครึ่งปีแล้ว เจ้าอยู่วังเพียงลำพัง…รู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวบ้างหรือไม่ ? บัดนี้เจ้าก็อายุ 14 ปีเต็มแล้ว เจ้าเลือกพระสนมไว้สัก 3 คนดีหรือไม่ ? เมื่อเป็นเช่นนี้วังหลังจะได้คึกคักมากกว่าเดิม”
อู๋เทียนซื่อฉีกยิ้มกว้าง “ท่านทวด เรื่องนี้มิรีบร้อนหรอก ให้ผ่านไปอีกสักสองปีก่อนเถิด ทว่าหากท่านทวดสะดวกก็ช่วยข้าหาคู่ครองสักหน่อยก็ดี”
จัวอี้สิงลูบเคราพร้อมพยักหน้าอย่างพอใจ “จะว่าไปแล้ว บุตรสาวของเสนาบดีเยี่ยนก็อายุน้อยไปหน่อย บุตรสาวของหยุนซีเหยียนก็เพิ่งจะมีอายุ 5 ปี… ทว่าบุตรสาวของเสนาบดีหนิงและเสนาบดีฉินมีอายุได้สิบเอ็ดสิบสองปีแล้ว เพียงแต่พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในเมืองจินหลิง ข้าก็ยังมิเคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเช่นกัน”
“ประเดี๋ยวข้าจะลองถามพวกเขาดูก็แล้วกัน เทียนซื่อเอ๋ย ครึ่งปีที่ผ่านมานี้…เจ้ามิสบายใจตรงที่ใดหรือไม่ ? ”
ความร่าเริงเหือดหายไปจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน สองมือประคองถ้วยชาขึ้นมาเเล้วทำท่าลังเลอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า “มิได้มิสบายใจหรอก แต่ข้ารู้สึกเหมือนถูกกดทับมากกว่า ! ”
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วจ้องมองจัวอี้สิงพร้อมกับเอ่ยอย่างตั้งใจว่า “ประเทศนี้ต้องการจักรพรรดิจริง ๆ หรือ ? ”
“เรื่องสำคัญในราชสำนัก…แม้แต่เอกสารราชการที่ถูกส่งมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ล้วนต้องผ่านสำนักเสนาบดีก่อน โดยให้สำนักเสนาบดีเลือกมาบางส่วนเพื่อรายงานให้แก่ข้า”
“แม้จะนำมารายงานเจิ้นก็จริง แต่มันก็ได้ผ่านการออกความเห็นจากเสนาบดีทั้งสามฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เจิ้นในฐานะจักรพรรดิทำได้เพียงดูข้อคิดเห็นของพวกเขาแล้วเขียนแค่ว่าเห็นชอบเท่านั้น”
“หากเจิ้นจะเขียนความคิดเห็นบางอย่างลงไป ท้ายที่สุดก็จำต้องผ่านการลงมติของคณะรัฐมนตรีอยู่ดี…ท่านคิดว่าตำแหน่งจักรพรรดิของข้านี้ มีกับมิมีต่างกันเยี่ยงไร ? ”
จัวตงหลายเงยหน้าขึ้นมา หากนับตามศักดิ์แล้ว เขาคือลุงของอู๋เทียนซื่อ
ทุกวันนี้เขาได้ดำรงตำแหน่งเต้าถายของกว่างหนานซีเต้า
เขาแทบจะมิมีเวลากลับมาเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ จึงมิค่อยเข้าใจว่าเหตุใดหลานถึงคิดเช่นนี้
“มันมิใช่เยี่ยงที่เจ้าคิดหรอก” จัวอี้สิงรินชาให้ผู้เป็นเหลน แล้วเอ่ยต่อว่า “ตอนที่พ่อของเจ้าครองบัลลังก์ เขาใช้เสนาบดีทั้งสามฝ่ายและการลงมติของคณะรัฐมนตรีเพื่อจำกัดอำนาจของตน ! ”
“พ่อของเจ้าบอกว่าคน ๆ หนึ่งต่อให้เก่งกาจมากเพียงใด ทว่าเยี่ยงไรก็มิมีทางเก่งไปหมดทุกอย่าง แม้นแต่เขาเองก็มิได้เก่งไปหมดทุกอย่าง คนเรามิใช่เทพเจ้า คนเรามักจะทำผิดอยู่เสมอ ความผิดบางอย่างก็พอจะเยียวยาได้ ทว่าความผิดร้ายแรงบางประการเมื่อเกิดขึ้นแล้ว อาจจะส่งผลร้ายต่อประเทศชาติ”
“เจ้าต้องเข้าใจถึงความเพียรพยามทั้งหมดที่พ่อของเจ้าได้ทำลงไป ที่เขาทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อต้าเซี่ยจะได้ดำรงอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี”
“อำนาจเป็นสิ่งที่ต้องจำกัด พ่อของเจ้าใช้วิธีนี้จำกัดอำนาจของจักรพรรดิ และใช้วิธีนี้หลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่เกิดจากการตัดสินใจผิดของจักรพรรดิ”
“เจ้าเป็นจักรพรรดิของประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ เจ้ามีขุนนางชั้นดีที่พ่อของเจ้าคัดสรรเองกับมือ ! มิว่าจะเป็นเสนาบดีทั้งสามฝ่ายหรือเต้าถายของเเต่ละเต้า ล้วนแต่เป็นคนที่พ่อของเจ้าคัดมาเองกับมือทั้งนั้น”
“เขาอยากให้ต้าเซี่ยดำรงอยู่ในเสถียรภาพอีกยาวนาน เขาอยากให้เจ้าได้เรียนรู้จากขุนนางที่มากความสามารถเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด…ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหาบ้านเมือง การแต่งตั้งและถอดถอนบุคลากร การควบคุมเศรษฐกิจและการควบคุมต้าเซี่ยในภาพรวมทั้งหมด ! ”
“เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพื้นฐานในการบริหารบ้านเมืองทั้งสิ้น ! แม้เจ้าจะได้เรียนรู้อยู่ข้างกายเขาเป็นเวลาหนึ่งปี หรือบางทีเจ้าอาจจะเห็นว่าเขามิทำอันใด ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ทุกเรื่องและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับต้าเซี่ย”
“เขาเคยเอ่ยว่าการบริหารบ้านเมืองเปรียบได้กับการทำอาหาร ระดับไฟ เครื่องปรุง การจับคู่อาหารให้เข้ากันเป็นต้น เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ต้องใช้ความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้แต่ท่านเหวินเองก็มิอาจถ่ายทอดให้เจ้าได้ เจ้าต้องใช้ใจมอง ใช้ใจเรียนรู้และใช้ใจสัมผัสด้วยตนเอง ! ”
แม้จัวอี้สิงจะพร่ำสอนด้วยความหวังดี ทว่าหัวใจกบฏของอู๋เทียนซื่อก็ยังรู้สึกต่อต้านดังเดิม เขายังคงรู้สึกว่าอำนาจของจักรพรรดินั้นคือที่สุดเหนือสิ่งใด เขาเชื่อว่าหากจักรพรรดิทรงตรัสสิ่งใดแล้วมิเป็นผลก็เท่ากับว่าตำแหน่งของจักรพรรดินั้นไร้ซึ่งความหมาย
แม้เขาจะได้ยินคำสอนเหล่านี้ของจัวอีสิง ทว่าเขามิได้ใช้ใจฟัง เขามิได้รู้สึกสำนึก มันร้ายแรงถึงขั้นที่ว่าเขาแสดงสีหน้าเอือมระอาออกมาอย่างชัดเจน
เขาเดินทางกลับไปแล้ว
เขาจากจวนตระกูลจัวไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในจวนตระกูลจัว จัวอี้สิงนั่งมองชาในถ้วยที่เย็นชืดนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน...