นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1282 เมืองอาเรีย
ตอนที่ 1282 เมืองอาเรีย
“ท่านปู่”
จัวตงหลายเดินไปปิดประตูห้องหนังสือ บัดนี้ในห้องจึงเหลือบุรุษตระกูลจัวเพียงแค่สามคนเท่านั้น
“ดูเหมือนเขาจะทนฟังมิได้”
จัวตงหลายกลับมานั่งลงที่โต๊ะชาอีกครา เขาต้มชาขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งกา พลางเงยหน้ามองใบหน้าเศร้าหมองของจัวอี้สิง จากนั้นถึงจะเอ่ยปากถามต่อว่า “หากฟู่เสี่ยวกวนกลับมาเห็นฝ่าบาทในสภาพมิเอาไหนเช่นนี้ เขาจะกำจัดฝ่าบาทออกจากตำแหน่งหรือไม่ ? ”
จัวอี้สิงยังคงนิ่งเงียบ ทว่าจัวเปี๋ยหลีสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาช้า ๆ “ถ้าหากเจ้าเด็กนั่นคิดเป็นกบฏล่ะก็…ข้าจะมิให้อภัยเขาเป็นอันขาด ! ”
“แต่เขาเป็นฝ่าบาทนะ ! ”
“เมื่อสองสามวันก่อนหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงได้มาหารือปัญหานี้กับข้า พวกเขาย่อมหวังให้ข้าโน้มน้าวฝ่าบาท ให้พระองค์ทรงล้มเลิกการก่อสร้างตำหนักขึ้นบนภูเขาฉางหลิง แล้วหันมาตั้งพระทัยบริหารบ้านเมืองแทน”
“เพราะเยี่ยงไรพระองค์ก็ยังทรงพระเยาว์มากยิ่งนัก เจ้าต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า…ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางไร้ความสัมพันธ์ดั่งญาติมิตร เจ้ามิอาจมองข้ามกฎข้อนี้ไปได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์”
“อีกอย่าง…ในฐานะเสนาบดีกรมยุทธการ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเจ้าก็คือการควบคุมกองทัพทุกเหล่าของต้าเซี่ยให้ดีที่สุด ! ”
“จัวตงหลายจะถูกย้ายเข้ามาในเมืองหลวงภายในสามปีนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้ารับตำแหน่งเสนาบดี ! หากเป็นเสนาบดีกรมคลังได้ก็จะดีที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ตงหลายต้องทำในช่วงสามปีนี้ มิได้มีเพียงแค่การดูแลกว่างหนานซีเต้าของเจ้าเท่านั้น ทว่าเจ้าจะต้องรู้จักสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของต้าเซี่ยให้ดี ! ”
“ท่านปู่ เสนาบดีหยุน...”
จัวอี้สิงยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะจัวตงหลาย เขาลุกขึ้นยืนเเล้วเดินไปริมหน้าต่างพร้อมกับเงยหน้ามองพลุที่กำลังผลิบานบนท้องนภา
“ข้าจะพยายามโน้มน้าวฝ่าบาท”
“หากโน้มน้าวมิสำเร็จเล่า ? ”
“กองทัพต้าเซี่ยอยู่เหนือกองทัพใดในใต้หล้า ผู้บัญชาการบางคนในกองทัพช่างดูธรรมดายิ่งนัก ช่วงสองสามปีนี้เจ้าจงหาคนที่มีประโยชน์เข้ามา คนที่ควรเปลี่ยนก็เปลี่ยนเสีย…”
จัวเปี๋ยหลีผงะ หัวใจของเขาเต้นแรง “ท่านพ่อ เขาเป็น… ! ”
“มิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก ให้เวลาเทียนซื่ออีกสองสามปีเถิด รอให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมา บางทีเขาน่าจะเข้าใจอันใดมากขึ้น…ต่อให้เขามิได้เรื่องและทำเรื่องเหลวแหลกขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจะทนเห็นเขาถูกถอนออกจากตำแหน่ง ถูกขังคุกหรือถูกสำเร็จโทษไปต่อหน้าต่อตาได้หรือ ? ”
จัวเปี๋ยหลีก้มหน้าลง เขาเป็นหลานชายของตน เขาจะมิแยแสคนในสายเลือดได้จริง ๆ หรือ ?
เขาคือคนที่ลูกสาวของตนฝากฝังให้ดูเเล เขาจะทนเห็นฟู่เสี่ยวกวนสังหารหลานชายของตนเองได้จริง ๆ หรือ ?
เมื่อต้องเผชิญหน้าระหว่างประเทศและคนในสายเลือด จัวเปี๋ยหลีจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบเอ่ยอันใดมิออก
“แท้ที่จริงหากลองมองอีกมุมหนึ่ง เมื่อต้าเซี่ยมีขุนนางที่มากความสามารถถึงเพียงนั้น หากอู๋เทียนซื่อมิสนใจเรื่องการเมืองจริง ๆ อย่างมากที่สุดเขาก็แค่มิมีผลงานอันใดสะดุดตา เขาย่อมมินำผลร้ายอันใดมาให้ต้าเซี่ยอย่างแน่นอน”
“…เพราะเยี่ยงไรเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง รอดูอีกสักระยะเถิด”
……
……
ณ เมืองอาเรีย แผ่นดินใหญ่ลีอาห์
กองทัพเรือของฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงที่นี่ในที่สุด จักรพรรดิทั้งสามแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ได้รับข่าวการมาเยือนจากกรมพิธีการมาสักพักใหญ่แล้ว พวกเขาพาขุนนางมายังท่าเรืออาเรียจำนวนมาก เพื่อรอต้อนรับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเซี่ย
หนึ่งในนั้นมีโดฮา ซึ่งบัดนี้ได้สละราชบัลลังก์ให้กับโอรสผู้มีนามว่าอันเอ๋อเรียบร้อยแล้ว
อันเอ๋อจักรพรรดิแห่งแคว้นซ่างหลัว ซูลี่จักรพรรดิแห่งแคว้นซูเฟิง และเยว่ยาจักรพรรดิแห่งแคว้นเทียนเย้าได้ยืนอยู่ด้านหน้าขบวนต้อนรับ เมื่อเห็นกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่แน่นขนัดผืนทะเล พวกเขาต่างก็พากันกลั้นหายใจทันใด !
เพราะกองทัพเรือขนาดใหญ่ยักษ์ได้บังเส้นขอบฟ้าจนมิด
ราวกับว่ามันกำลังเข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จะว่าไปมันก็เหมือนอสุรกายในตำนาน และดูเหมือนว่ามันกำลังอ้าปากเตรียมที่จะเขมือบผู้ที่มองเห็น !
นี่คือกองทัพเรือต้าเซี่ย !
โชคดีที่มันเป็นกองทัพเรือของต้าเซี่ย !
ข้างหลังของจักรพรรดิทั้งสามยังมีขุนนางกรมคลังและพ่อค้าจากต้าเซี่ยอีกมาย
เมื่อพวกเขาเห็นกองทัพเรืออันแข็งแกร่งของต้าเซี่ย พวกเขาก็รู้สึกดีใจจนล้นปรี่ ต่างโบกไม้โบกมือส่งเสียงโห่ร้อง และทันใดนั้นเองเสียงของฝูงชนก็ดังกึกขึ้นมา !
นี่เป็นความภาคภูมิใจของชาวต้าเซี่ย !
นี่เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดบนผืนปฐพีแห่งนี้ !
และครานี้ปฐมจักรพรรดิก็เป็นผู้นำกองทัพเรือออกมาด้วยตนเอง !
เรือได้เข้าจอดเทียบท่า ซูเจวี๋ยและซูม่อยืนอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน ส่วนซูโหรวและเยี่ยนถาวฮวายืนอยู่กับลูก ๆ ของพวกนางที่ด้านหลัง
คนที่ขึ้นฝั่งก่อนคือทหารนาวิกโยธินสองหมื่นนายโดยมีไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้บัญชาการ พวกเขาขึ้นฝั่งด้วยชุดทหารเต็มยศและได้ทำแนวกั้นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนและภรรยา
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่เหลือจึงลงมาจากเรือ อันเอ๋อพร้อมด้วยจักรพรรดิอีกสองคนที่เหลือได้ก้มลงคารวะบนพรมแดงซึ่งโรยดอกไม้เอาไว้อย่างสวยงาม
พวกเขาต่างก็แสดงออกมาจากใจจริง มิมีผู้ใดกล้าคิดต่างแม้แต่คนเดียว !
หลังจากผ่านพิธีต้อนรับอย่างเอิกเกริก จักรพรรดิทั้งสามจึงพาฟู่เสี่ยวกวนและครอบครัวของเขาเดินทางไปยังเมืองอาเรีย
ชาวเมืองอาเรียยืนรอขนาบสองข้างทาง พวกเขาตั้งหน้าตั้งรอการเสด็จมาถึงของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างตื่นเต้น
เมื่อขบวนเกียรติยศของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงถนนเส้นหลักของเมืองนี้ เสียงโห่ร้องของฝูงชนก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกครา บ้างก็โห่ร้องเสียงแหลม บ้างก็โห่ร้องด้วยความปีติยินดี บ้างก็แผดเสียงร้องดังลั่น…ทำเอาเมืองอาเรียสั่นไหวไปทั้งเมือง !
ทุกวันนี้สถาปัตยกรรมในเมืองอาเรียนั้นเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งนัก
ขนาดของเมืองก็พอ ๆ กับเมืองกวนหยุน เมืองนี้สามารถอยู่อาศัยได้ราวสองล้านกว่าคน
ในจำนวนนั้นมีพ่อค้าผู้เป็นประชากรเสียส่วนใหญ่ ล้วนอพยพมาจากแคว้นซ่างหลัว แคว้นเทียนเย้าและแคว้นซูเฟิง แน่นอนว่าในจำนวนนั้นมีพ่อค้าชาวต้าเซี่ยมากที่สุด
ในฐานะที่เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด เมืองอาเรียจึงได้รับบทบาทเป็นเมืองศูนย์กลางที่จะส่งสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ
มิว่าจะเป็นสินค้าของทั้งสามแคว้นที่จะส่งไปขายยังต้าเซี่ย หรือเป็นสินค้าจากต้าเซี่ยที่ส่งมาขายยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ พวกเขาล้วนต้องแวะพักที่ท่าเรืออาเรียก่อนทั้งนั้นถึงจะส่งต่อไปยังพื้นที่ห่างไกลต่อไป
ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ผนวกกับสภาพแวดล้อมที่สวยงามคือเกียรติยศของเมืองอาเรีย
ฟู่เสี่ยวกวนทักทายผู้คนสองข้างทาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ เขารู้สึกปีติยินดีกับภาพเบื้องหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง
ผู้คนเหล่านี้ล้วนใช้ภาษาต้าเซี่ย ทั้งยังเอ่ยวาจาที่แสดงถึงความรักและความเคารพออกมาจากใจ !
ในฐานะปฐมจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย แผ่นดินใหญ่ลีอาห์แห่งนี้ได้พึ่งพาอาศัยต้าเซี่ยโดยสมบูรณ์ ขอเพียงแค่ตนเอ่ยปาก ทั้งสามแคว้นนี้คงยอมเป็นหนึ่งในอาณาเขตของต้าเซี่ยทันทีทันใด
แน่นอนว่าเขามิได้ทำเช่นนั้น และก็มิมีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้นด้วย
ณ พระราชวังเมืองอาเรีย อาเรียกำลังจูงมือเด็กน้อยวัยสามขวบยืนอยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง
พวกเขาสวมอาภรณ์ที่ดีที่สุดโดยมีองค์รักษ์รายล้อม ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยกำลังวังชา
ฟู่หยาวซินที่เพิ่งมีอายุได้สามขวบรู้สึกตื่นเต้นมิน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองอาเรียผู้เป็นแม่ “ท่านเเม่ ท่านพ่อกลับมาแล้วจริง ๆ หรือ ? ”
อาเรียนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพลางลูบหน้าเด็กชายเบา ๆ สีหน้าของเด็กน้อยส่องประกายระเรื่อออกมา
“อืม…พ่อของเจ้ามาแล้วล่ะ”
“อีกประเดี๋ยวเมื่อพ่อของเจ้ามาถึงก็จงคุกเข่าถวายความเคารพเขาเสีย ! ”
“เขาคือปฐมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ ! ”
ฟู่หยาวซินเข้าใจดีว่าคุกเข่าถวายความเคารพคืออันใด แต่เขามิเข้าใจว่ายิ่งใหญ่นั้นหมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่
“ท่านเเม่ ท่านพ่อ… เขา…เขาดุหรือไม่ ? เขาจะตีข้าหรือไม่ ? ” เด็กน้อยถามพลางกระพริบตาปริบ ๆ
“ไม่หรอก…เขาเป็นคนอ่อนโยนและมีเมตตามากที่สุดคนหนึ่งเลยล่ะ และเจ้าก็เป็นลูกชายของเขา ดังนั้นเขามิตีเจ้าหรอก ! ”