นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1288 ความสัมพันธ์ด้านเงินตรา
ตอนที่ 1288 ความสัมพันธ์ด้านเงินตรา
ท่าป๋ายวี่ลุกขึ้นยืน
เขายกเเขนเสื้อขึ้นแล้วถวายความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ
“ข้าน้อยนามว่าท่าป๋ายวี่ ได้รับการไหว้วานจากครอบครัวให้มารอฝ่าบาท ณ สถานที่เเห่งนี้มาหลายวันแล้ว”
“ข้าน้อยมิบังอาจขวางกั้นขบวนเสด็จของพระองค์ เพียงมีเรื่องที่หัวหน้าตระกูลมอบหมายมาและจำต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อเจรจา ขอพระองค์ทรงมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารของพระองค์ถอยออกไปด้วยเถิด”
หลิวจิ่นผงะ “มิได้ ! เจ้าเป็นเพียงชายชราที่พวกเราบังเอิญพบเจอบนภูเขา หากเจ้าทำมิดีมิร้ายต่อพระองค์เล่าจะทำเยี่ยงไร ? ”
“ฝ่าบาท ท่านผู้นี้มิใช่เสนาบดีในราชสำนักด้วยซ้ำ พระองค์อย่าได้เชื่อคำเอ่ยนั้นเป็นอันขาด ! ”
อู๋เทียนซื่อเองก็มิรู้ว่าชายชราผู้นี้ต้องการจะเอ่ยอันใด เขาชะงักงันไปครู่หนึ่ง อยู่ ๆ ก็พลันรู้สึกว่าตนเองเป็นถึงองค์เหนือหัวผู้มีอำนาจสูงส่ง ดังนั้นจะทำให้ราษฎรในใต้หล้าดูแคลนได้เยี่ยงไรกัน ?
หากเสด็จพ่อเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ พระองค์จะต้องสืบหาความจริงเป็นแน่
ดังนั้นอู๋เทียนซื่อจึงเขาโบกมือแล้วเอ่ยออกมาว่า “มิเป็นไรหรอก เจิ้นก็อยากรู้เหมือนกันว่าชายชราผู้นี้ต้องการจะเอ่ยสิ่งใด”
“พวกเจ้าจงถอยไปให้หมด ! ”
หลิวจิ่น “……”
หนิงฝาเทียน “……”
หนิงฝาเทียนจ้องมองอู๋เทียนซื่ออีกครา พร้อมครุ่นคิดในใจว่าหากเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่เผชิญเรื่องนี้ เขาคงมิพาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้เป็นแน่
ในเมื่อจัวอี้สิงไหว้วานมา และก็เห็นแก่บทกวีนกหยวนหยางที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ให้ มิว่าเยี่ยงไรก็ตามตนต้องปกป้องอู๋เทียนซื่ออย่างสุดความสามารถ
ดังนั้น หนิงฝาเทียนจึงก้าวไปด้านหน้า จ้องมองท่าป๋ายวี่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงแสดงความจริงใจของพระองค์ออกมาเเล้ว ตัวเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์ ข้ามิเชื่อใจเจ้า เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมให้ข้าสกัดเส้นลมปราณของเจ้าก่อน ! ”
ท่าป๋ายวี่ลุกพรวดขึ้นมาแล้วตอบกลับอย่างมิลังเล “ได้สิ ! ”
รูม่านตาของหนิงฟาเทียนหดตัวลง เขายื่นมือออกไปสกัดจุดลมปราณตามที่เอ่ยจริง ๆ ทั้งยังทำการค้นตัวเพื่อให้แน่ใจว่าบนตัวของท่าป๋ายวี่มิมีอันใดที่เป็นอันตรายต่ออู๋เทียนซื่อแล้วจริง ๆ เขาถึงยอมปลีกตัวออกมาจากศาลาแล้วไปรออยู่ด้านนอก
เมื่อหลิวจิ่นเห็นดังนั้น จึงจำต้องถอยด้วยเช่นกัน ในศาลาจึงเหลือเพียงจักรพรรดิกับชายชราแค่สองคน
ท่าป๋ายวี่รินชาให้อู๋เทียนซื่อแล้วเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะสร้างตำหนักแห่งใหม่…ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก”
นี่เป็นคราแรกที่อู๋เทียนซื่อได้ยินว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องดี !
เขาโพล่งยิ้มออกมาพลางส่ายศีรษะ “ท่าป๋าหวังเป็นขุนนางที่ทรยศสินะ ! ”
คำเอ่ยของเขาทำให้ท่าป๋ายวี่ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เขารีบตอบกลับทันทีว่า “หัวหน้าตระกูลมิใช่ขุนนางทรยศพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“หากมิใช่ขุนนางทรยศ เหตุใดถึงบอกว่านี่เป็นเรื่องดี ? หรือเจ้าคิดว่าเจิ้นมิรู้ว่าเรื่องนี้มิถูกต้อง ? ”
อู๋เทียนซื่อแย้มพระสรวล ราวกับได้ระบายความคับแค้นใจออกมา
“เจิ้นรู้ว่าสิ่งที่เจิ้นทำมันผิด ! แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจิ้นถึงดึงดันที่จะทำต่อไป ? ”
ท่าป๋ายวี่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขาพบว่าตนเองประเมินจักรพรรดิพระองค์นี้ต่ำจนเกินไป และตนก็ตามพระองค์มิทันอีกด้วย
“เหตุใดฝ่าบาททรงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ? ”
อู๋เทียนซื่อยืดอกขึ้นแล้วตอบว่า “เจิ้นเป็นโอรสแห่งต้าเซี่ย ! เจิ้นจะทำอันใด มิต้องให้ผู้ใดมาชี้นิ้วออกคำสั่ง”
ท่าป๋ายวี่เข้าใจในทันใดว่าเขากำลังกบฏ !
จักรพรรดิพระองค์นี้มีความคิดกบฏต่อต้าน !
การหารือราชกิจของเสนาบดีทั้งสามฝ่ายและการลงมติของคณะรัฐมนตรีได้ริดรอนอำนาจของจักรพรรดิไป ทำให้เกียรติยศขององค์จักรพรรดิตกต่ำลง
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนบริหารต้าเซี่ยในช่วงหลายปีมานี้ เขาได้เพาะเมล็ดพันธุ์ลงกลางใจของราษฎร มาวันนี้เมล็ดพันธุ์นี้ได้แตกหน่องอกราก ปัจจุบันราษฎรมิได้รู้สึกว่าจักรพรรดินั้นสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
โดยเฉพาะเสนาบดีทั้งหลาย พวกเขาล้วนคุ้นชินกับการตัดสินใจผ่านการลงมติ มิใช่การยึดเสียงของคนใดคนหนึ่งเป็นเด็ดขาด
ดังนั้นจักรพรรดิพระองค์นี้จึงรู้สึกเสื่อมเสียพระเกียรติ
ด้วยเหตุนี้เขารู้ทั้งรู้ว่าการผลาญเงินสร้างตำหนักเป็นสิ่งที่มิถูกต้อง ทว่าเขาก็ยังดึงดันที่จะทำอยู่ดี
เขาทำเพื่อประชดเสนาบดีพวกนั้น ท่าป๋ายวี่จึงรู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น เขาลูบเครายาวพลางยกยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยยังยืนกรานว่าพระองค์ทำถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เพราะเหตุใด ? ”
“เพราะองค์จักรพรรดินั้นเปรียบดั่งมังกรท่ามกลางคนธรรมดา ! จักรพรรดิย่อมมิกระทำผิด จักรพรรดินั้นมีอาณาเขตมากมาย และยิ่งตำหนักแห่งนี้มิได้ก่อสร้างโดยเงินของต้าเซี่ยแม้แต่อีแปะเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นเงินส่วนพระองค์ทั้งสิ้น ! ”
“นี่ถือเป็นคุณธรรมของฝ่าบาท เมื่อท่านหัวหน้าตระกูลได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก เขาเอ่ยว่าพระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิผู้ทรงธรรมยิ่ง ! เขายังเอ่ยอีกว่าการลงมือก่อสร้างของพระองค์ได้แก้ไขปัญหาการว่างงานของราษฎร…ปัญหานี้จักรพรรดิพระเจ้าหลวงก็เคยแก้ไขมาก่อนเช่นกัน ! ”
เมื่ออู๋เทียนซื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา “เจ้าบอกว่าเสด็จพ่อเคยทำสิ่งนี้มาก่อน ไหนลองเล่าให้เจิ้นฟังหน่อยสิ ! ”
“ตอนนั้นยามที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงประทับอยู่ในเมืองหลินเจียง พระองค์ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ลี้ภัยกลุ่มหนึ่ง โดยให้พวกเขาไปก่อสร้างถนนที่ภูเขาเฟิ่งหมิง อีกทั้งยังสร้างหมู่บ้านซึ่งปลีกวิเวกจากภายนอกขึ้นบนภูเขาลูกนั้น และบนเกาะแห่งหนึ่งก็มีตำหนักที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเป็นผู้สร้างด้วยเช่นกัน”
ดวงตาของอู๋เทียนซื่อทอประกายทันใด “จริงหรือ ? ”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ ! ฝ่าบาททรงส่งคนไปสำรวจได้เลย ฝ่าบาทจะพบว่าบนนั้นยังมีคนอาศัยอยู่อีกมากมายนัก”
อู๋เทียนซื่อเชื่อสนิทใจ ครุ่นคิดว่าเมื่อกลับถึงวังแล้วจะส่งคนไปสำรวจที่นั่นสักหน่อย เพราะเยี่ยงไรเสียที่นั่นก็เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเสด็จพ่อ
“ดังนั้นการก่อสร้างครานี้ แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงใช้เงินส่วนพระองค์ แต่มันก็ช่วยให้ราษฎรหลายคนได้ทำมาหากิน พวกเขาจะต้องรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของฝ่าบาทเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอน ดั่งชาวลี้ภัยเหล่านั้นที่รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิพระเจ้าหลวง”
“เจ้ามาเพื่อส่งสารแค่นี้หรือ ? ”
“มิใช่เพียงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ทว่าหลังจากที่ท่านหัวหน้าตระกูลได้ทราบเรื่องนี้ ก็คิดได้ว่าในเมื่อพระองค์จะทรงสร้างตำหนัก เช่นนั้นก็เกรงว่าเงินหนึ่งร้อยล้านตำลึงมิอาจเผยความโอ่อ่าของตำหนักได้”
“ด้วยเหตุนี้ท่านหัวหน้าตระกูลจึงอยากถวายเงินห้าสิบล้านตำลึงเพื่อให้ฝ่าบาทสร้างตำหนักที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ! ”
รูม่านตาของอู๋เทียนซื่อหดลง “คราหนึ่งเสด็จพ่อเคยบอกข้าว่าใต้หล้านี้ไร้สิ่งใดที่ได้มาโดยมิต้องตอบแทน ท่าป๋าฉางฮวนติดอยู่ในคุกมากสุดก็หนึ่งปี ทว่าเจ้าต้องการใช้เงินห้าสิบล้านตำลึงนี้เพื่อซื้อตัวนักโทษ…เช่นนี้มันมิคุ้มค่าหรอกนะ”
“ฝ่าบาท… ท่านหัวหน้าตระกูลเห็นว่ามันคุ้มค่ายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ท่านหัวหน้าตระกูลยังหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทและเขาจะสนิทแนบชิดเหมือนตอนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงยังครองบัลลังก์อยู่”
“ก่อนที่ข้าน้อยจะเดินทางออกมา ท่านหัวหน้าตระกูลได้ย้ำเป็นหนักเป็นหนาว่า…หวังว่าจะได้รับมิตรภาพจากองค์ฝ่าบาท หวังว่าจักรพรรดิในแต่ละยุคแต่ละสมัยจะสามารถบริหารต้าเซี่ยได้อย่างผาสุก เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในเมืองหลวงก็สามารถเสด็จประพาสไปยังซีเซี่ยได้ทุกเมื่อ”
ตำแหน่งจ่งตูมิได้มีการสืบทอดทางสายเลือด
แท้ที่จริงมิว่าจะเป็นตำแหน่งที่สูงส่งเพียงใด ล้วนมิมีการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น
ดังนั้นเจตนารมณ์อีกประการของท่าป๋าวั่งก็คือ…เมื่อเขาเกษียณอายุแล้ว บุตรชายของเขาต้องเป็นผู้บริหารเขตปกครองตนเองซีเซี่ยต่อไป
สำหรับเรื่องนี้อู๋เทียนซื่อไร้ข้อโต้แย้งใด ๆ เพราะเดิมทีจ่งตูของเขตปกครองตนเองซีเซี่ยก็เป็นชาวซีเซี่ยดั้งเดิมที่บริหารจัดการ
ดังนั้นการที่บุตรชายคนใดคนหนึ่งของท่าป๋าวั่งจะเข้ารับตำแหน่งต่อถือเป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก
“หากเจิ้นมีเวลาว่าง เจิ้นจะไปเที่ยวชมซีเซี่ยอย่างแน่นอน หลิวจิ่นคือขันทีประจำตัวของเจิ้น เรื่องเงินทองให้หลิวจิ่นจัดการเถิด”
อู๋เทียนซื่อลุกขึ้นยืน “เพื่อเห็นแก่น้ำใจของจ่งตูท่าป๋าวั่ง เจิ้นจะมิเกรงใจอีกต่อไป ฝากบอกเขาว่าให้รักษาซีเซี่ยเอาไว้ให้ดี แล้วเจิ้นจะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเป็นธรรมแน่นอน ! ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
ท่าป๋ายวี่ลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ อู๋เทียนซื่อเอามือไพล่หลังพลางเดินออกไปจากศาลากระบี่อย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นขบวนก็ได้มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขา