นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1293 จดหมายจากแดนไกล
เดิมทีเยี่ยนซีเหวินคิดว่าจดหมายคัดค้านราชโองการฉบับนั้นจะนำพาความวุ่นวายต่าง ๆ มาให้เขาเสียอีก แต่คาดมิถึงเลยว่ามันกลับหายเงียบไปเสียดื้อ ๆ
ฝ่าบาทมิได้ส่งราชโองการฉบับที่สองกลับมา มิหนำซ้ำยังเงียบกริบไร้ซึ่งข่าวคราวใด
เขาหลงคิดไปว่าฝ่าบาทจะทรงคิดได้แล้ว แต่เขากลับมิรู้เลยว่าแท้จริงแล้วอู๋เทียนซื่อได้ข้ามขั้นตอนการพิจารณาจากเสนาบดีทั้งสามฝ่าย เขาส่งหน่วยพระราชวังชั้นในนำราชโองการของเขาส่งไปยังแต่ละพื้นที่ของต้าเซี่ย
“เจิ้นอยากจะรู้ว่าหากเจิ้นทำเช่นนี้แล้ว พวกเขายังจะสามารถทำอันใดเจิ้นได้อีก ? ”
“เจิ้นจะเลือกพระสนมทั้งที จำต้องขอความเห็นจากพวกเขาด้วยหรือ ? เช่นนั้นยามที่เจิ้นจะเข้านอนกับพระสนม เจิ้นต้องเชิญพวกเขามาชมให้เห็นกับตาด้วยหรือไม่ ? ”
“นี่มันไร้สาระสิ้นดี ! ”
“พวกเขากำลังรังแกเจิ้นอยู่ชัด ๆ ! ”
“หลิวจิ่น เจิ้นมิอยากอยู่เยี่ยงนี้อีกต่อไป มิอยากแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว เจ้ารีบรับสมัครคนเข้ามาจำนวนมากเถิด เจิ้นจำต้องใช้คนจำนวนมหาศาล ! ”
……
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่ห้า เดือนแปด วันที่แปด
ราชสำนักดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน สำนักงานน้อยใหญ่ต่าง ๆ ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยมตั้งแต่ยุคสมัยของฟู่เสี่ยวกวน แม้องค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะมิเอางานเอาการ แต่ก็มิได้ทำให้พวกเขาทำงานล่าช้าลงแต่อย่างใด
และในวันนั้นเอง ได้มีจดหมายจากฟู่เสี่ยวกวนส่งมาจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ มันถูกวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเยี่ยนซีเหวิน จดหมายมีด้วยกันทั้งสิ้นสองฉบับ ฉบับหนึ่งนั้นให้เยี่ยนซีเหวิน ส่วนอีกฉบับหนึ่งให้เขาส่งต่อให้อู๋เทียนซื่อ
“สวัสดี เยี่ยนเหวิน ! ”
กว่าจดหมายฉบับนี้จะส่งไปถึงเจ้า ข้าคงจากเมืองอาเรียแห่งนี้ไปยังมหาสมุทรอันกว้างไกลแล้ว
สิ่งที่ข้าได้พบเห็นตลอดการเดินทางนี้ ช่างทำให้ข้าชื่นใจเสียเหลือเกิน
ทุกวันนี้หยวนตงเต้าได้กลายเป็นพื้นที่ส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัวนัก ที่นั่นมีโรงงานของชาวต้าเซี่ยมากมาย และยังมีอู่ต่อเรือส่วนตัวของตระกูลโจวซึ่งเป็นอู่ต่อเรือเอกชนแห่งแรกอีกด้วย
นี่เป็นสัญญาณที่ดี ยามที่ข้าจอดเทียบท่าที่หยวนตงเต้า ข้าได้สนทนากับโจวสวินหัวหน้าตระกูลโจว เขากล่าวว่าธุรกิจอู่ต่อเรือของตระกูลโจวนั้นเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งนัก ทุกวันนี้ได้รับคำสั่งต่อเรือจนแถวยาวไปถึงห้าปีข้างหน้า คนที่จองเรือส่วนมากคือพ่อค้าชาวต้าเซี่ย อย่างเช่น ตระกูลซือหม่า ตระกูลหวางซุน ตระกูลใหญ่อื่น ๆ ”
“พวกเขาได้จองเรือจำนวนมาก ทว่ามิใช่เรือล่องแม่น้ำเหมือนในแม่น้ำฉางเจียงของพวกเรา เรือพวกนั้นบรรทุกน้ำหนักได้จำนวนหลายตัน สามารถบรรทุกสินค้าได้มากมาย และเหมาะแก่การล่องมหาสมุทรเป็นอย่างยิ่ง”
นี่เป็นกระแสการค้าที่เกิดขึ้นเองอย่างเสรี ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าพ่อค้าชาวต้าเซี่ยของเรานั้นมีสายตาที่กว้างขวาง รู้จักสนอกสนใจตลาดโลก !
ดังนั้นข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าควรจะสนับสนุนให้เกิดกระแสเช่นนี้ขึ้นมาในต้าเซี่ย ควรจะให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าร่วมตลาดเสรีเเห่งนี้ ให้เหล่าพ่อค้าที่มีกำลังความสามารถเปิดอู่ต่อเรือ หรืออาจจะเปิดท่าเรือเป็นของตนเอง
ข้าคิดว่าควรจะปลดปล่อยหยวนตงเต้า ให้มันกลายเป็นเมืองท่าการค้าเสรีแห่งแรกของต้าเซี่ย ให้มันเป็นหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกภายนอก ส่วนขุนนางมิจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงให้มากมาย เพียงแค่คอยช่วยเหลือให้เกิดความสะดวกต่อพวกเขามากที่สุดก็พอ !
“อีกสถานที่หนึ่งก็คือเมืองอาเรีย เมืองอาเรียเป็นเมืองขนาดใหญ่ริมชายหาด ที่นั่นสวยงามยิ่งนัก เศรษฐกิจก็คึกคักเป็นอย่างมาก และที่นั่นก็มีพ่อค้าชาวต้าเซี่ยเป็นส่วนมากเช่นกัน”
“ข้าพำนักอยู่ที่นี่นานครึ่งปี มันช่างสะดวกสบายเสียเหลือเกิน ถ้าหากมิมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปยังยุโรป ข้าก็อยากจะอาศัยอยู่ที่นั่นให้นานกว่านี้อีกหน่อย”
ข้ามิได้ไปเยือนประเทศราชทั้งสามบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ เพราะเห็นว่าต้องใช้เวลาในการเดินทางมิน้อย คิดไปคิดมาเห็นว่าควรจะเน้นเรื่องความร่วมมือทางการค้ากับทวีปยุโรปเป็นสำคัญมากกว่า
ดังนั้นครานี้ข้าก็เลยมิไป หากจัดการเรื่องทวีปยุโรปแล้วเสร็จเมื่อใดค่อยหาโอกาสไปเยือน
อาเรียเป็นเจ้าเมืองอาเรียคนแรก เพราะข้าต้องการพานางเดินทางไปกับข้าด้วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งเจ้าเมืองอาเรียคนใหม่เข้ามา
ข้าคิดว่าจางเมิ้งเจ๋อผู้นั้นเหมาะสมยิ่งนัก ทุกวันนี้เขาดำรงตำแหน่งจือโจวอยู่ที่เป่ยเซียวเต้า มิรู้ว่าเขามีความสามารถเยี่ยงไรบ้าง พวกเจ้าลองหารือกันกับอู๋เทียนซื่อดูเถิด
นี่เป็นเพียงข้อเสนอของข้าเท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่าก็ให้ปฏิบัติตามกฎเดิม
อีกอย่าง กองทัพที่ประจำอยู่เมืองอาเรียจะต้องมีการผลัดเปลี่ยนเวรยามปีละครา ทว่าครานี้ข้าได้นำกองนาวิกโยธินออกมาด้วย 20,000 นาย จึงเป็นเหตุให้กองทหารของหวางติ้งชุนมิอาจผลัดเปลี่ยนเวรยามได้ เรื่องนี้เจ้าจงให้กรมยุทธการออกหนังสือแจ้งหวางติ้งชุน หรือพวกเจ้าจะหารือกันว่าจะส่งทหารเหล่าใดของต้าเซี่ยมาเปลี่ยนเวรยามก็ย่อมได้
ท่าเรืออาเรียได้ทำการสร้างเรือรบขึ้นมา 5 ลำ สถานที่แห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ซึ่งมีความสำคัญมากยิ่งนัก ดังนั้นเจ้าจงหารือกับกรมยุทธการว่าให้ส่งกองทัพทหารเรือเข้ามา เพื่อให้พวกเขาล่องเรือลาดตระเวนปกป้องสถานที่แห่งนี้เอาไว้ !
เพราะสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นท่าเรือการค้าเสรีแห่งที่สองในอนาคต มันตั้งอยู่ใกล้ทวีปยุโรปมากกว่า พวกเรามีประเทศราชคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง และยังมีพ่อค้าชาวต้าเซี่ยเข้าไปเปิดโรงงานในสามแคว้นนั้นอีกด้วย !
อู๋เทียนซื่อบริหารประเทศได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ข้ามิรู้เลยว่าเขาเป็นจักรพรรดิที่ดีหรือไม่ แต่ข้าก็หวังว่าจะได้เห็นจักรพรรดิและเสนาบดีสมัครสมานร่วมใจกัน เห็นเรื่องประเทศชาติเป็นสำคัญ บริหารต้าเซี่ยให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป”
“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ มิว่าจะถูกหรือผิด ประโยชน์ของประเทศชาติและราษฎรจะอยู่เหนือทุกสิ่ง ! พระราชอำนาจจะต้องอยู่ในกรอบกำหนดของกฎหมาย หากอู๋เทียนซื่อล้ำเส้นออกมาก็จงแก้ไขให้ทันท่วงที ให้เขาได้เข้าใจว่าอำนาจของจักรพรรดินั้นมีไว้เพื่อรับใช้ราษฎร ! ”
“ถ้าหาก…ถ้าหากอู๋เทียนซื่อมีพฤติกรรมที่น่าเอือมระอาเกินทน ข้าได้ส่งตราประจำจักรพรรดิให้กับเจ้าแล้ว ซึ่งตรานี้เป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดประเทศ ! ข้าจะบอกเจ้าในฐานะจักรพรรดิพระเจ้าหลวง คณะรัฐมนตรีสามารถฟ้องร้องได้ หากองค์จักรพรรดิมีพฤติกรรมที่มิเหมาะสม… ต้าเซี่ยจะไร้ซึ่งจักรพรรดิก็ย่อมได้ ทว่าการตัดใจในเรื่องนโยบายต่าง ๆ ของต้าเซี่ยนั้นจำต้องผ่านการลงมติจากคณะรัฐมนตรีและเสนาบดีทั้งสามแผนก ! จงจำเอาไว้ให้ดี ! จงจำเอาไว้ให้ดี ! ”
“เอาล่ะ ! แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน รอให้ข้าได้ชัยชนะกลับมาเมื่อใด พวกเราค่อยไปฉลองจนเมาเละกันไปข้างหนึ่งที่หอซื่อฟาง ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวน”
“รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่ห้า เดือนหนึ่ง วันที่สาม”
เยี่ยนซีเหวินจ้องมองจดหมายฉบับนั้น มองลายมือขี้ริ้วขี้เหร่ซึ่งถูกเขียนด้วยดินสอ น้ำตาของเขาเอ่อล้นเบ้า ทันใดนั้นก็คิดไปว่าลายมือช่างงดงามเสียจริง
มือของเขาสั่นเครือโดยที่หักห้ามตนเองมิได้ เขากำจดหมายฉบับนี้ด้วยสองมือ แล้วอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษรถึงสามรอบ จากนั้นก็แผดเสียงสะอื้นไห้ออกมา “ฝ่าบาท… ! ”
หยุนซีเหยียนที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามาในสำนักเสนาบดีตกอกตกใจขึ้นมาทันใด “เสนาบดีเยี่ยน เกิดอันใดขึ้นกับฝ่าบาทกัน ? ”
เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเสียสติไปชั่วขณะ เขายกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตนเอง “อือ…มิมีอันใดหรอก ข้าเพิ่งได้อ่านจดหมายจากจักรพรรดิพระเจ้าหลวง ข้าดีใจจนกลั้นน้ำตาเอาไว้มิอยู่… ราวกับว่า…ราวกับว่าเขาได้กลับมาอยู่ข้างกายของข้าอีกครา ! ”
หยุนซีเหยียนเผยรอยยิ้มกว้างออกมา “บัดนี้เขาน่าจะอยู่บนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์แล้วสินะ พวกเราจะเดินทางไปเที่ยวชมแผ่นดินใหญ่ลีอาห์เมื่อใดดี ? ได้ยินมาว่าร้านหม้อไฟของโจ่งหยูเปิดสาขาที่นั่นแล้วเช่นกัน”
เยี่ยนซีเหวินมิได้บอกเล่าถึงข้อความในจดหมาย หยุนซีเหยียนก็มิกล้าเอ่ยถาม บัดนี้เยี่ยนซีเหวินเริ่มเก็บอาการได้แล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา “เมื่อปีก่อนครอบครัวคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งได้เดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ ดูเหมือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจหลังจากนี้ คาดว่าจะย้ายจากเวทีในประเทศไปยังเวทีต่างประเทศแล้วล่ะ”
“เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ข้ามาก็อยากจะสนทนาเรื่องนี้กับเจ้าพอดี”
“มา…นั่งลงเถิด ! แล้วจงเอ่ยให้ละเอียดสิว่าเป็นเรื่องใด ? ”
หยุนซีเหยียนนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเยี่ยนซีเหวิน สีหน้าของเขาเริ่มจริงจังขึ้นมา จากนั้นก็ส่งสมุดเล่มหนึ่งให้กับเยี่ยนซีเหวิน
เค้าโครงเศรษฐกิจห้าปีแห่งต้าเซี่ย !
“นี่มันยอดเยี่ยมยิ่ง เจ้าจัดทำขึ้นมาเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เหอะ ๆ ข้าร่วมทำกับขุนนางในกรมคลัง ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมนั้นมีมากมาย เช่น หลี่ฉายประธานกรรมการธนาคารเพื่อราษฏรต้าเซี่ย ทั้งยังมีท่านหลี่จินโต้วเป็นที่ปรึกษา ในนี้ได้วางหัวใจหลักเค้าโครงแผนพัฒนาอนาคตของต้าเซี่ยใหม่ทั้งหมด ! ”
“อืม…วางเอาไว้ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะอ่านให้ละเอียดอีกครา บัดนี้ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าจำต้องไปยังห้องทรงพระอักษร”
เยี่ยนซีเหวินลุกขึ้นยืนแล้วถอนหายใจยาวออกมา “หวังว่าหลังจากที่ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรจดหมายฉบับนี้แล้ว พระองค์จะยอมเปลี่ยนแปลงตนเองสักที”
หยุนซีเหยียนก็ลุกพรวดตามขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นก็เอ่ยกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูของเยี่ยนซีเหวิน “เสนาบดีเยี่ยน บัดนี้เสนาบดีเฉินแห่งกรมราชทัณฑ์กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ! ”
เยี่ยนซีเหวินผงะตกใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มีคนแอบปล่อยตัวท่าป๋าฉางฮวนออกมา ! ”