นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1294 เมฆทะมึนปกคลุมทั่วเมือง
ณ ตำหนักหยางซิน
ท่าป๋าฉางฮวนนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ต่อหน้าอู๋เทียนซื่อ
อู๋เทียนซื่อยกถ้วยชาขึ้นมาเปิดฝาแล้วเป่าลม “มิต้องขอบใจเจิ้นหรอก กลับไปครานี้เจ้าจงบอกกับบิดาของเจ้าว่า…เจิ้นต้องการทหารจำนวนหนึ่ง ทหารที่ซื่อสัตย์ต่อเจิ้น ! ”
“เขตปกครองตนเองซีเซี่ย เจิ้นอนุญาติให้บิดาของเจ้าสถาปนากองทัพขึ้นมาเป็นของตนเอง อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เจิ้นจะเป็นผู้สนับสนุนเอง ให้เขาจัดการกองทัพนี้ของเจิ้นให้ดี อย่างน้อย ๆ ต้องมีความสามารถในการสู้ระดับเดียวกันกับกองทัพบกของต้าเซี่ย ! ”
“อีกอย่าง…เจิ้นต้องการชาวยุทธภพขั้นสูง เรื่องนี้ให้บิดาของเจ้าไปจัดการให้เจิ้นด้วยก็แล้วกัน จำต้องส่งมาให้เจิ้นอย่างเงียบ ๆ อย่าให้ผู้ใดรับรู้เป็นอันขาด ! ”
“จริงสิ ! เจ้าเดินทางกลับไปครานี้ อย่าได้เปิดเผยหน้าตาเป็นอันขาด เพราะกว่าเจิ้นจะช่วยเจ้าออกมาได้มิใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ ”
“หลิวจิ่น ๆ ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
“นำเอาจดหมายลายมือของเจิ้น ไปส่งคุณชายท่าป๋าเดินทางออกจากเมืองฉางอัน”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ท่าป๋าฉางฮวนเอาศีรษะโขกพื้นสามคราติดกัน “ข้าน้อยขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก ! ”
“เจ้ามิต้องขอบใจข้า ฝากไปบอกบิดาของเจ้าอีกหนึ่งประโยค ให้บิดาของเจ้าจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ… หากทำได้สำเร็จเขตปกครองตนเองซีเซี่ยก็จะตกเป็นของตระกูลท่าป๋าแต่เพียงตระกูลเดียว”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลิวจิ่นนำตัวท่าป๋าฉางฮวนออกไป ครานี้อู๋เทียนซื่อจึงได้ดื่มชาสักที เขาวางถ้วยชาลงแล้วออกไปเดินเล่น ณ สวนดอกไม้ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องนภาสีฟ้าเข้ม พลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมาบริเวณมุมปาก
คิดจะผลักไสเจิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
เจิ้นเป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์เชียว !
เจิ้นต่างหากที่เป็นเจ้าของต้าเซี่ยตัวจริง !
พวกเจ้า…
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าเด็กหนุ่มที่ควรจะมีหน้าตาร่าเริงสดใสกลับเผยความดำมืดชั่วร้ายออกมา “สามปี…ให้เวลาเจิ้นสามปี เจิ้นจะตัดศีรษะพวกเจ้าให้ขาดให้จงได้ ! ”
“ผืนปฐพีแห่งนี้เป็นของเจิ้น พวกเจ้ามิว่าใครหน้าไหนก็มิอาจแย่งมันไปจากมือของเจิ้นได้ ! ”
……
……
ณ กรมราชทัณฑ์
เมื่อพวกเยี่ยนซีเหวินรุดเข้ามาถึงที่นั่น พวกเขาก็เห็นศพกองอยู่บนพื้น
ดูจากอาภรณ์ที่ผู้ตายสวมใส่ มิใช่ขุนนางของกรมราชทัณฑ์ทว่าเป็นชุดของหมอหลวง
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คนผู้นี้เป็นใครกัน ? ”
“เรียนท่านเสนาบดีเยี่ยน ท่านผู้นี้เป็นหมอหลวงนามว่าทางหวายหยุน” เฉินไป๋ชิวประคองมือตอบ “ก่อนหน้านี้มิกี่วันท่าป๋าฉางฮวนปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกระทันหัน ตามกฎของเรือนจำแล้วนั้น ผู้คุมเรือนจำจะต้องส่งคนไปโรงพยาบาลเพื่อเชิญหมอเข้ามารักษาอาการป่วยไข้ของเขา และหมอที่เรียกมานั้นก็คือทางหวายหยุน”
“หมอทางได้รักษาท่าป๋าฉางฮวนเป็นเวลาสามวัน ทว่าอาการของท่าป๋าหวางก็มิมีทีท่าว่าจะดีขึ้น มีเเต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ”
“หมอทางกล่าวว่าต้องนำท่าป๋าฉางฮวนออกไปวินิจฉัยให้ละเอียดกว่านี้ ทางผู้คุมก็มิได้คลางแคลงใจแต่อย่างใด จึงสั่งให้จ้าวเสี่ยวชุนคุมตัวท่าป๋าฉางฮวนไปส่งที่โรงพยาบาล”
“ผลปรากฏว่าหลังจากที่ท่าป๋าฉางฮวนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้หนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งวันนี้ยามเช้าถึงได้เกิดเรื่องขึ้นมา”
“ท่านเสนาบดีเยี่ยน ทางหวายหยุนบอกว่าท่าป๋าฉางฉวนต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและห้ามมิให้ผู้ใดติดตามเข้าไป ผลปรากฎว่าท่าป๋าฉางฮวนได้หายตัวไปจากโรงพยาบาล ส่วนจ้าวเสี่ยวชุนผู้นั้นพบเห็นทางหวานหยุนสิ้นใจอยู่ในห้องวินิจฉัย”
“เจ้าหน้าที่ได้ทำการชันสูตรศพพบว่าเขาตายด้วยการถูกทุบด้วยของเเข็ง น่าจะตายประมาณ…ประมาณช่วงค่ำของเมื่อวาน”
เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่ง “แล้วพบศพของเขายามใด ? ”
“เรียนท่านเสนาบดีเยี่ยน ยามโฉ่วขอรับ”
“ส่งคนไปตรวจค้นแล้วหรือยัง ? ”
“ส่งไปแล้วขอรับ ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจค้นทั่วทั้งพระราชวัง… นอกจากวังหลังแล้ว…ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจค้นทุกทางเข้าออกของพระราชวังเลยขอรับ”
“ทว่า… ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังมิพบร่องรอยของท่าป๋าฉางฮวน… ข้าน้อยจึงสงสัยว่า…”
เฉินไป๋ชิวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แต่ก็มิกล้าปริปากเอ่ยต่อให้จบ
เยี่ยนซีเหวินย่อมรู้ดีว่าคนที่เฉินไป๋ชิวสงสัยเป็นผู้ใด เพราะเขาก็สงสัยเช่นเดียวกัน คงมิมีผู้ใดสามารถหลบหนีไปจากเมืองฉางอันได้ภายในหนึ่งชั่วยามหรอก
ผนวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ฝ่าบาทถึงกับยอมมีปัญหากับตนเพื่อนักโทษคนหนึ่งที่มิได้สลักสำคัญอันใดมากนัก !
“ข้าทราบแล้ว จงตรวจค้นต่อไป…โดยให้คนจับตามองในพระราชวังอย่างมิละสายตา อีกอย่าง…แม้ว่าเมืองฉางอันจะไร้ซึ่งกำแพงเมือง แต่จงจับตามองถนนทุกสายที่มุ่งหน้าออกไปจากเมืองฉางอันให้ดี อย่าให้ท่าป๋าฉางฉวนหลบหนีออกไปจากเมืองฉางอันได้เป็นอันขาด ! ”
“ถ้าหากมีคนมิพอก็ให้ฮั่วหวยจิ่นผู้บัญชาการทหารส่งกำลังพลเข้ามาช่วยเหลือ จงตรวจค้นทุกซอกทุกมุมของเมืองฉางอันให้ละเอียด ! ”
“ข้าน้อยรับทราบ ! ”
เยี่ยนซีเหวินเดินออกมาจากกรมราชทัณฑ์ แล้วตรงไปยังห้องทรงพระอักษร
ทว่าประตูของห้องทางพระอักษรยังคงปิดและห้ามเข้าดังเดิม มีเพียงขันทีหน้าใหม่ประจำอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น
ในฐานะผู้ส่งสารของหน่วยพระราชวังชั้นในและพระราชวังชั้นนอก ขันทีที่ดูว่านอนสอนง่ายได้ทำการคารวะเยี่ยนซีเหวิน “ท่านเสนาบดีเยี่ยน ท่านมาอีกแล้วหรือ ? ”
“เสี่ยวเซวียนจื่อ จงเปิดประตูออกเถิด เจ้าส่งข่าวไปบอกด้านในหน่อยสิว่าข้าจะรอฝ่าบาทอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร”
“ขอรับ…ท่านเสนาบดีเยี่ยนได้โปรดนั่งรอสักครู่”
เยี่ยนซีเหวินนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยจิตใจที่ร้อนรน เขามิได้เป็นกังวลว่าท่าป๋าฉางฮวนจะหลบหนีออกจากเมืองฉางอันได้หรือไม่ เขาคิดว่าถ้าหากเรื่องนี้เป็นฝีพระหัตถ์ของฝ่าบาทอย่างแท้จริง เช่นนั้นการกระทำนี้ของฝ่าบาทก็ได้อยู่นอกเหนือที่บัญญัติเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฝ่าบาทจะถูกดำเนินการฟ้องร้องพฤติกรรมที่มิเหมาะสมของจักรพรรดิตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ทว่า…
ทว่าเขาเป็นถึงบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวนเชียว !
แม้ว่าเยี่ยนซีเหวินจะรู้สึกผิดหวังต่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมากเพียงใด แต่เขาก็มิได้หวังให้อู๋เทียนซื่อกลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกที่ถูกฟ้องร้องในประวัติศาสตร์
นี่จะเป็นการทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเสื่อมเสียเกียรติ !
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นถึงปฐมจักรพรรดิผู้ปราดเปรื่องและเกรียงไกรของต้าเซี่ย ทว่ากลับเลือกผู้สืบทอดอำนาจเช่นนี้มาปกครอง ดังนั้นราษฎรในใต้หล้าจะมองเขาเยี่ยงไร ?
เมื่อเขากลับมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะรู้สึกเยี่ยงไรกันนะ ?
เยี่ยนซีเหวินกำลังครุ่นคิดอยู่ในห้องทรงพระอักษร ว่าจะทำเยี่ยงไรให้อู๋เทียนซื่อกลับมาเดินในหนทางที่ถูกต้อง เขามิรู้เลยว่าบัดนี้หลิวจิ่นกำลังพาท่าป๋าฉางฮวนออกไปจากพระราชวังอย่างราบรื่นด้วยจดหมายลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท
ทว่าเขามิได้ส่งท่าป๋าฉางฮวนออกไปนอกเมือง แต่กลับไปยังหอโคมเขียวหยินเหอจิ่วเทียนในตรอกปู๋เย้แทน
มิมีผู้ใดทราบว่าท่าป๋ายวี่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
มิมีผู้ใดทราบว่าท่าป๋าฉางฮวนได้เดินเข้าไปยังเรือนด้านหลังหยินเหอจิ่วเทียน
หลิวจิ่นเดินทางไปยังตลาดตะวันตกเพื่อซื้อชามหยกกลับไปยังพระราชวังสองใบ ส่วนท่าป๋าฉางฮวนอาศัยอยู่ในเรือนด้านหลังของหยินเซ่อจิ่วเทียน โดยมิได้จากเมืองฉางอันไปที่ใด
กรมราชทัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลจำนวนมาก ทหารรักษาการณ์เมืองฉางอันมีจำนวนนับมิถ้วน ฮั่วหวยจิ่นได้ส่งกำลังพล 20,000 นายปิดเส้นทางเข้าออกเมืองฉางอันทั้งหกเส้นทาง
เพียงชั่วพริบตาเดียวชาวเมืองฉางอันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโกลาหลที่คืบคลานเข้ามา พวกเขาเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้เสียที่ไหนกัน ? ทว่าคนเฒ่าคนแก่ที่ย้ายมาจากเมืองอื่น ๆ พอจะคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้บ้าง คิดว่าสถานการณ์เช่นนี้มันช่างคลับคล้ายคลับคลากับฉากเริ่มต้นของคดีนองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เสียจริง
“ผู้ใดก่อเรื่องขึ้นกลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้อีกเล่า ? ”
“เฮ้อ…เพิ่งจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้กี่ปีเท่านั้นเอง พวกเจ้าลองดูท่าทีตึงเครียดของทหารเหล่านั้นสิ ลือกันว่าพวกอันธพาลที่คอยประจำอยู่ทั้งสี่มุมเมืองต่างก็กลัวหัวหดจนมิกล้าออกมาเลยเชียว…คาดว่าคงมิใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว”
“ทหารรักษาการณ์ได้ปิดล้อมเมืองเอาไว้ทั้งหมดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มิเคยเกิดขึ้นตั้งแต่สถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา ย่อมเป็นเรื่องใหญ่อยู่เเล้ว”
“เหมือนว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงต้องประทับอยู่ที่เมืองฉางอันเท่านั้น บ้านเมืองถึงจะสงบสุขขึ้นมาได้ เฮ้อ…พระองค์จะเดินทางไปนานเพียงใดกันนะ ? อยู่ ๆ เมืองฉางอันก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เมฆทะมึนปกคลุมครึ้มทั่วทั้งเมือง เกรงว่าจะมีพายุฝนกระหน่ำเข้ามาอีกคราแล้วสิ มิรู้ว่าคนชั่วผู้นั้นคือผู้ใดกันนะ ? ”
……
ณ ห้องทรงพระอักษร
อู๋เทียนซื่อสวมชุดคลุมมังกรกรเดินดุ่ม ๆ เข้ามา
ท้องนภาด้านนอกเริ่มมืดครึ้มขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังครืน ๆ
“เปรี้ยง… ! ”
เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่น อู๋เทียนซื่อหันกลับไปมองพบว่าสายฟ้าได้ฟาดเข้ามุมหนึ่งของชายคาห้องทรงพระอักษรจนมีเศษซากร่วงหล่นลงมากองบนพื้น และซากที่ร่วงลงมานั้นก็คือรูปสลักหัวมังกรที่ดูเสมือนจริงมากยิ่งนัก !