นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1295 หลงทาง
“ซู่ ๆ ๆ….”
พายุฝนเทลงมาอย่างกะทันหัน ท้องนภาจากที่สดใสกลายเป็นมืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องยังคงดังครึกโครม สายฟ้ายังคงผ่าฟาดเปรี้ยง ๆ
อู๋เทียนซื่อจ้องมองหัวมังกรที่หล่นลงมา สายตาของเขาเริ่มเลือนรางภาพเบื้องหน้ากลายเป็นพล่ามัว ทั้งยังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาในใจ
หรือนี่จะเป็นอำนาจแห่งสวรรค์ ?
ข้าเป็นโอรสเเห่งสวรรค์และได้รับราชโองการแห่งสวรรค์ให้ปกครองผืนปฐพีแห่งนี้ การที่สวรรค์ทำเช่นนี้ต้องการจะสื่อถึงอันใดกันแน่ ?
หรือเจิ้นทำผิดไปแล้วจริง ๆ ?
ถ้าหากเป็นฟู่เสี่ยวกวน เขาคงมิคิดอันใดกับเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น ทว่าอู๋เทียนซื่อกลับมิเหมือนกัน เขามิได้เข้าใจว่าฟ้าผ่าคือพลังงานธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่านี่เป็นสัญญาณจากสวรรค์ ครุ่นคิดไปว่าสวรรค์กำลังจะลงโทษเขา
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปยังโต๊ะชา จากนั้นก็นั่งลงเบื้องหน้าเยี่ยนซีเหวิน พลางหันไปสั่งหลิวจิ่นที่ติดตามเขาเข้ามาในห้องทรงพระอักษร “จุดไฟสิ ! ”
หลิวจิ่นจุดเทียน ห้องทรงพระอักษรจึงสว่างโร่ขึ้นมา อู๋เทียนซื่อถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เสนาบดีเยี่ยน ท่านยืนกรานที่จะเข้าเฝ้าเจิ้นเช่นนี้ มิทราบว่ามีเรื่องใหญ่ใดเกิดขึ้นในราชสำนักเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อู๋เทียนซื่อเอ่ยถามพลางใช้ตะบันไฟจุดเตาผิงขึ้นมาเพื่อต้มชา
เยี่ยนซีเหวินประคองมือคารวะแล้วหยิบจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อ
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้เสด็จออกจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์แล้ว และนี่ก็คือจดหมายที่พระองค์ทรงเขียนให้กับฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงทอดพระเนตรด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หัวใจของอู๋เทียนซื่อเต้นโครมครามแล้วคิดตามทันใด เสด็จพ่อได้จากเมืองฉางอันไปปีกว่าแล้ว เสนาบดีเยี่ยนจะทูลเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวังทั้งหมดกับเสด็จพ่อแล้วหรือยัง ?
อู๋เทียนซื่อเคารพนับถือผู้เป็นบิดามาตั้งแต่กำเนิด ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็กลัวบิดาเข้ากระดูก
ถ้าหากเสด็จพ่อทรงทราบทุกสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป… เขาแทบจะจินตนาการมิออกเลยว่าเสด็จพ่อจะใช้มาตรการใดจัดการกับเขา
แม้ว่าอู๋เทียนซื่อจะเป็นถึงจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ทว่าในใจของเขารู้ดีว่า คนที่กุมอำนาจของต้าเซี่ยจริง ๆ ยังคงเป็นเสด็จพ่อ ขอเพียงเสด็จพ่อมีพระบัญชาออกมา เขาก็คงต้องจำใจปล่อยวางตำแหน่งจักรพรรดิ !
แม้แต่หลิวจิ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินว่ามีจดหมายจากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจึงตื่นตกใจจนขาทั้งสองข้างสั่นไหวขึ้นมา เกรงว่าหากเรื่องราวถูกเปิดเผยออกไป หากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จกลับมา เช่นนั้นหลิวจิ่นคงต้องตายสถานเดียว !
อู๋เทียนซื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง เขารับจดหมายจากเยี่ยนซีเหวินมาเปิดอ่าน...
“สวัสดีลูกข้า ! ”
“เจ้าคงเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ อยู่ในวัยที่กำลังกลางปีกบินสยายอยู่บนท้องนภาอันกว้างใหญ่ เดิมทีพ่อมิควรเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเจ้า”
“ทว่าแม่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามากยิ่งนัก ผนวกกับพ่อก็ต้องจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์แล้ว จากนี้ไปคงมิอาจติดต่อสื่อสารกับเจ้าได้อีกแล้ว ดังนั้นพ่อจึงอยากเขียนจดหมายมาสนทนาบางอย่างกับเจ้า”
“สิ่งที่พ่อจะเอ่ยนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของบ้านเมือง เพราะเจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ! ”
“แท้ที่จริงเรื่องนี้พ่อเคยเอ่ยกับเจ้ามาก่อน ทว่าอยู่ ๆ พ่อก็รู้สึกว่าตนเองชราขึ้นมาอย่างกะทันหัน กลายเป็นคนที่ชอบพร่ำบ่น พ่อจึงต้องเน้นย้ำเรื่องนี้ให้เจ้าได้ฟังอีกครา ! ”
“กฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายพื้นฐานของต้าเซี่ย เป็นกฎหมายที่มิมีอำนาจใดอยู่เหนือกว่ามัน แม้แต่พระราชอำนาจแห่งองค์จักรพรรดิก็ต้องอยู่ในขอบกำหนดของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ่อหวังว่าเจ้าจะจำได้อย่างชัดเจนและตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ! ”
“คน ๆ หนึ่งมิว่าจะฉลาดปราดเปรื่องมากเพียงใดก็ทำผิดได้เสมอ พ่อเองก็เช่นกัน ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้พ่อกลายเป็นคนที่ผูกขาดอำนาจ พ่อถึงได้สร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจโดยแต่งตั้งสามสำนักหกกรมและคณะรัฐมนตรีขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาได้ลงมติและให้อำนาจของจักรพรรดิเข้ามามีส่วนร่วม เป้าประสงค์หนึ่งเดียวของมันก็เพื่อต้าเซี่ย ! ”
“เจ้าจงเชื่อมั่นว่าเพียงแค่นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อราษฎรต้าเซี่ย เสนาบดีทั้งสามฝ่ายและคณะรัฐมนตรีย่อมจะเห็นพ้องกับเจ้า หรืออาจจะแสดงความเคารพต่อความสามารถของเจ้าเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ ! ”
“และนี่ก็คือความรื่นรมย์ของการเป็นจักรพรรดิเยี่ยงไรเล่า ความสำเร็จของการเป็นจักรพรรดิคือการที่สามารถทำให้ราษฎรทุกย่อมหญ้ามีความสุขออกมาจากใจจริง การที่เราทำให้บ้านเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลดำรงอยู่ในความสงบสุข การที่ได้เห็นราษฎรทุกหนแห่งในใต้หล้าต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ! ” “นี่ต่างหากเล่าถึงจะเป็นความสำเร็จอันสูงสุดของการเป็นจักรพรรดิ ! ”
“หากเจ้าอยากให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า อยากให้ทุกคนในใต้หล้าสยบแทบเท้าเจ้า เจ้าก็ควรจะเริ่มต้นด้วยการให้เกียรติผู้อื่นก่อน หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองนั้นมีเกียรติสูงส่งเหนือผู้ใด นั่นมิใช่เพราะตัวเจ้าสูงขึ้น แต่เป็นเพราะว่าเจ้ากำลังกดให้ผู้อื่นต่ำลงต่างหากเล่า ! ”
“เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ถ้าหากทุกคนบนผืนปฐพีต่างยอมคุกเข่าลง เช่นนั้นประเทศก็จะคุกเข่าลงให้เจ้าเช่นกัน เพราะถึงตอนนั้นประเทศชาติก็คงจะสูญสิ้นกระดูกสันหลัง ! ”
“ประเทศใดประเทศหนึ่งมิอาจปกครองได้ด้วยจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว ทว่ามันต้องพึ่งพาอาศัยราษฎรทั้งประเทศ ! ”
“ลูกเอ๋ย พ่อรู้สึกกังวลมากยิ่งนัก กังวลว่าเจ้าจะดื้อรั้นและยึดมั่นในหนทางของตนเองมากเกินไป กังวลในความเยาว์วัยของเจ้าที่มิรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ! หวังว่าพ่อจะกังวลไปเอง หวังว่าจะได้เห็นโฉมใหม่ของต้าเซี่ยหลังจากที่กลับมาจากยุโรป หวังว่าจะได้ยินราษฎรต้าเซี่ยกล่าวยกย่องสรรเสริญในตัวเจ้า ! ”
“……”
“พ่อและเสด็จแม่ของเจ้าทุกคนสบายดี เจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเลย จงสนใจเรื่องบ้านเรื่องเมืองเป็นสำคัญเถิด ! ”
“เพราะนี่คือความรับผิดชอบที่แบกอยู่บนบ่าของเจ้า ! ”
เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้จนจบ อู๋เทียนซื่อก็ก้มหน้าลงทันพลัน
น้ำชาในกากำลังเดือดปุด ๆ พอดิบพอดี เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมา จากนั้นก็รินชาสองถ้วยแล้วส่งไปให้เยี่ยนซีเหวินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ฝ่าบาท แม้กระหม่อมจะมิทราบถึงเนื้อความในจดหมายฉบับนั้น ทว่ากระหม่อมก็เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าด้านในจดหมายมีคำปรารภของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงที่กลั่นกรองออกมาจากก้นบึ้งจิตใจของพระองค์ ! ”
“คราหนึ่งจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงมีพระราชประสงค์จะละทิ้งราชบัลลังก์แล้วออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ตอนนั้นกระหม่อมและเสนาบดีหลาย ๆ คนได้รั้งเขาเอาไว้ บอกเขาว่าให้รอจนกว่าพระองค์จะเติบใหญ่ แล้วค่อยส่งมอบผืนปฐพีแห่งนี้ให้แก่พระองค์”
“เขาเคยเอ่ยกับกระหม่อมหลายต่อหลายครา เขาหวังให้พวกกระหม่อมคอยช่วยเหลือพระองค์บริหารบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถเพื่อสร้างต้าเซี่ยที่งดงามยิ่งกว่านี้ขึ้นมา”
“กระหม่อมเคยรับปากกับเขามาก่อน มิมีเสนาบดีคนใดผลักไสพระองค์ เพราะพวกเราล้วนแต่เป็นมิตรสหายของพระบิดาของพระองค์ พวกเราเป็นดั่งสหายและญาติสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างกัน ! ”
“สิ่งที่พวกเราทำลงไปทั้งหมดนั้น เพียงหวังให้ต้าเซี่ยมิแย่ลงกว่าเดิมเพียงเพราะการจากไปของเขา หวังจะนำพาต้าเซี่ยให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้นภายใต้การปกครองของพระองค์ ! ”
“ฝ่าบาท…ขอพระองค์ทรงเลิกสนใจเรื่องอื่น แล้วหันกลับมาตั้งใจทำเรื่องชาติบ้านเมืองเถิดพ่ะย่ะค่ะ แม้จะไร้ธุระใหญ่โตในราชสำนัก ทว่าการที่มีพระองค์ประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร การที่มีพระองค์คอยเสด็จไปมายังสำนักงานของทั้งสามสำนักและหกกรม พวกเราในฐานะขุนนางย่อมรู้สึกสบายใจขึ้นมามิน้อย ! ”
ครานี้อู๋เทียนซื่อจึงเงยหน้าขึ้นมา สายตาของเขาดูคลุมเครือ ราวกับหมอกหนาคอยบดบังอยู่
“ทว่า…พวกเจ้ามิเชื่อฟังเจิ้น ! ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท มิว่าจะเป็นคำเอ่ยของผู้ใดก็ตาม จำต้องเก็บมาพิจารณาให้ดีและนี่ก็เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อของพระองค์ต้องการจะสื่อถึง เขาบอกว่ามีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาดได้มากที่สุด”
“มิว่าจะเป็นเสนาบดีทั้งสามฝ่าย หรือจะเป็นผู้ใดก็ตามที่เสนอความคิดขึ้นมาล้วนต้องผ่านการปรึกษาหารือกันทั้งสิ้น มิใช่ว่าพวกเรามิเชื่อฟังพระองค์ ทว่านี่คือข้อกำหนด คือกฎเกณฑ์ กฎหมายที่อยู่เหนืออำนาจเหนือเหตุผลทั้งปวง ! ”
“จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเคยเอ่ยเอาไว้ว่า หากใต้หล้าไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ก็จะไร้ซึ่งความเป็นระเบียบ ดังนั้นฝ่าบาทอย่าได้หลงเดินทางผิดติดอยู่ในทางตันอีกเลย”
อู๋เทียนซื่อยกถ้วยชาขึ้นมา ในขณะนั้นเขาถึงตระหนักรู้ขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นเองที่คำเอ่ยของผู้เป็นบิดาได้ดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้างของเขา
เขาจิบชาหนึ่งคราแล้วหันไปมองเยี่ยนซีเหวิน “แต่ข้าคิดว่าตนเองเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถ ! ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นี่เป็นการระดมความคิดและกำลังของทุกคน ! ถ้าหากฝ่าบาทและกระหม่อมไร้กำแพงขวางกั้นต่อกัน ก่อนที่เขาจะสละราชบัลลังก์ เขาได้พาพระองค์เข้ามาพบปะกับพวกกระหม่อม…ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางมิควรมีกำแพงขวางกั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นถึงจะสนทนากันได้ทุกเรื่อง นี่ดูไร้ความสามารถเยี่ยงไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“นี่ต่างหากเล่าถึงจะเป็นหลักในการปกครอง ราษฎรจะได้รับประโยชน์จากนโยบายของพระองค์ พวกเขาย่อมจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์”
อู๋เทียนซื่อจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าตนเองได้ทำผิดพลาดไปเเล้วจริง ๆ
ทว่าบัดนี้จะกลับไปแก้ไขได้เยี่ยงไร ?
รับเงินจากท่าป๋าวั่งมาเเล้ว 50 ล้านตำลึง ลอบปล่อยตัวท่าป๋าฉางฮวนสำเร็จแล้ว ทั้งยังส่งขันทีออกค้นหาหญิงงามเพื่อมาเป็นคู่ครองของตนเรียบร้อยแล้วด้วย…ทั้งหมดนี้ยังสามารถแก้ไขได้อยู่หรือไม่ ?