นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1305 ชนพื้นเมืองตกตะลึง
ตอนที่ 1305 ชนพื้นเมืองตกตะลึง
ในขณะที่ไป๋ยู่เหลียนรู้สึกนับถือในแผนการอันยิ่งใหญ่ที่ฟู่เสี่ยวกวนสาธยายออกมาอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เป็นกังวลยิ่งนัก เจ้าอายุสามสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว หากต้องผลิตลูกทุกค่ำคืน ร่างกายจะรับไหวเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เสี่ยวไป๋ เจ้าก็รีบหาสตรีสักคนเถิด ไม่สิ ! เจ้าควรจะหาให้มาก ๆ แล้วคลอดลูกหลาย ๆ คน เชื้อสายของพวกเราจะต้องกระจายไปทั่วทุกมุมโลก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าไป๋ยู่เหลียนเบา ๆ จากนั้นก็ควักแผนที่โลกออกมาจากกระเป๋าหน้าอก แล้วกางออกบนผืนทราย “เจ้าลองดูนี่สิ”
ทั้งสองนั่งลงบนพื้นทราย จากนั้นก็มองดูแผนที่โลกซึ่งวาดอย่างหยาบ ๆ “ที่ตรงนี้คาดว่าเป็นตำแหน่งที่พวกเรายืนอยู่ ถัดมาทางทิศตะวันออก นี่คือเส้นทางเดียวที่จะไปเยือนหมู่บ้านของชาวอินเดียเเดง สถานที่ตรงนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก ถ้าหากพวกเราข้ามตรงนี้ไปได้ พวกเราก็จะไปถึงอีกสถานที่หนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่า… ตรงนั้นก็มีชาวอินเดียแดงอาศัยอยู่เช่นกัน แต่ข้ามิรู้ว่า ณ ปัจจุบันนี้ที่นั่นถูกชาวยุโรปอพยพเข้ามายึดครองไปแล้วหรือยัง”
“ต่อให้ยึดครองไปแล้วก็มิเป็นไร พวกเราจะต้องทำศึกเพื่อแย่งชิงมันมา ! ”
“ในอนาคตสถานที่แห่งนั้นจะมีสถาปัตยกรรมในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือเทพีเสรีภาพ พวกเราจะสร้างเทพบุตรเสรีภาพขึ้นมาเเทนที่…โดยอิงรูปพรรณสัณฐานของเจ้าในการก่อสร้าง มันดูน่าเกรงขามใช่หรือไม่เล่า ? ”
“……” ไป๋ยู่เหลียนชำเลืองตามองฟู่เสี่ยวกวน “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เอ่อ…เรื่องนี้มิสำคัญหรอกน่า พวกเรามาสนทนาเรื่องที่สำคัญกันดีกว่า อย่างเช่นหากจะยกทัพเข้าไปที่นั่นจะต้องใช้กำลังพลจำนวนเท่าใด และด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว เจ้ามิอาจหยุดการฝึกทหารได้เป็นอันขาด ! ”
“ส่วนทหารให้ไปคัดมาจากพวกชาวพื้นเมืองเหล่านั้น ต้องสอนให้พวกเขาสนทนาและเขียนภาษาต้าเซี่ยของเรา จากนั้นก็ส่งพวกเขาไปขยายดินแดนให้กับพวกเรา ! ”
“ส่วนคนที่เหลือให้บุกเบิกที่ดินเพื่อทำการเพาะปลูกทั้งหมด ทว่าอย่าข่มเหงรังแกพวกเขามากจนเกินไป จำต้องทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะเยี่ยงไรเสียคนพวกนี้ก็ได้ขายชีวิตให้แก่พวกเราแล้ว พวกเขาถือเป็นประชากรของอิงเทียนด้วยเช่นกัน ดังนั้นจำต้องปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเท่าเทียม”
“ข้าคิดว่าหลังจากที่พวกเรายึดทวีปอเมริกาเหนือมาครองได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะเกษียณอายุได้สักที อ้อ…จริงสิ ! ที่นี่มีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าฮาวาย ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล สภาพอากาศเหมาะแก่การพักผ่อน ทิวทัศน์งดงามประดุจภาพวาด เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยพาพวกเยี่ยนซีเหวินเข้ามาสร้างที่พักตากอากาศริมชายหาด พวกเราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือกันอย่างสุขสบาย”
“ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นเพียงแค่ความฝัน บัดนี้ทำได้เพียงแค่ฝัน แต่หากพวกเรามุมานะสักหน่อยทุกอย่างก็น่าจะเป็นจริงได้มิยาก”
“ไปกันเถิด พวกเราไปดูข้างหน้ากัน”
……
……
ณ หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่มิห่างจากท่าเรือเท่าใดนัก สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านซึ่งดูมีความเป็นอยู่ค่อนข้างดี
บ้านเรือนของผู้คนทำมาจากก้อนหิน ส่วนหลังคายังคงทำมาจากหญ้า
บริเวณทางเข้าหมู่บ้านมีหอสังเกตุการณ์แห่งหนึ่งซึ่งค่อนข้างสูง หอแห่งนี้คาดว่ามีไว้สำหรับเตือนภัยคุกคามจากชนเผ่าอื่น ๆ
ยามเช้าตรู่วันนี้ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำในชุดหนังสัตว์ซึ่งยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ต้องถลึงตาโตด้วยความตื่นตกใจ
เพราะภาพของกองทัพที่มิเคยพบเห็นมาก่อนได้ปรากฏขึ้นมาบนสายตาของเขา !
กองนาวิกโยธินในชุดเกราะสีเงินจำนวนหนึ่งพันนายซึ่งนำทัพโดยหวางติ้งชุนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่
เด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นเปลือยเปล่าอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านรับรู้ได้ถึงสภาวะที่มิปกตินี้ มิรู้ว่าพวกเขาอยากรู้อยากเห็นหรือว่าตกใจจนทำอันใดมิถูกกันแน่ เพราะแต่ละคนต่างก็ยืนทื่ออยู่บนถนน จ้องมองทหารในชุดเกราะสีเงินเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อู… อู…”
ชายหนุ่มบนหอสังเกตการณ์เป่าหอยสังข์ส่งสัญญาณ เด็กเหล่านั้นถึงได้เบิกตาโตด้วยความตื่นตกใจแล้ววิ่งหนีอุตลุดกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันนั่นเอง ในหมู่บ้านก็เกิดความอลหม่านขึ้นมา พวกเขาต่างก็ส่งเสียงดังจ้าละหวั่น
ชายหนุ่มร่างกำยำหลายคนยกคันธนูและหอกขึ้นมาเตรียมพร้อม
พวกเขายืนอยู่หน้าหมู่บ้าน ต่างก็ตะลึงงันไปตาม ๆ กัน
พวกเขาเคยรบกับชนเผ่าอื่นมาก่อน ทว่าทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่คล้ายคลึงกัน ทว่าเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ?
เป็นผู้ใดกัน ?
มีมนุษย์ที่ส่องแสงสว่างไสวเช่นนี้ด้วยหรือ ?
หัวหน้าชนเผ่าแห่งนี้เป็นชายชรา บัดนี้เขากำลังเบียดตัวแทรกมายืนอยู่หน้าสุดของฝูงชน สายตาที่พร่ามัวคู่นั้นค่อย ๆ หรี่ลง จากนั้นก็ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง
“พระเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ… ? ”
“หรือนี่จะเป็นเทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากฟากฟ้ากัน ? ”
“หรือว่าที่พวกเราคนต่ำต้อยขอพรไปเมื่อคืนจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว เป็นเทพเจ้าที่เสด็จลงมาจากฟากฟ้าเพื่อมาช่วยพวกเราใช่หรือไม่ ? ”
ชนเผ่าแห่งนี้มีชื่อว่าชนเผ่าซูลี่ เป็นหนึ่งในแปดชนเผ่าที่อาศัยละแวกนี้ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุด เดิมทีทั้งแปดชนเผ่ามีผู้นำคอยบริหารดูแล ทว่าเมื่อมิกี่วันก่อนผู้นำคนนั้นได้สิ้นลมไปแล้ว และศิลิสวาหัวหน้าของเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมดอย่างชนเผ่าวาตูได้ประกาศกร้าวว่าจะรวมอีกเจ็ดชนเผ่าที่เหลือเป็นหนึ่งเดียว !
สำหรับชนเผ่าเหล่านี้ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจยอมรับได้
ซึ่งแน่นอนว่ากำลังของชนเผ่าซูลี่มิอาจต้านทานกำลังรบของชนเผ่าวาตูได้ ทว่าพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะต่อสู่ขัดขืนจนตัวตาย ต่อให้ต้องตายสิ้นทั้งชนเผ่า เขาก็จะมิมีทางยอมแพ้ให้แก่ชนเผ่าวาตูเป็นอันขาด !
สองสามวันมานี้ชายหนุ่มร่างกำยำทั้งหลายมิได้ออกไปล่าสัตว์ หรือแม้แต่สตรีก็มิได้ออกไปเก็บผักในป่า พวกเขาเฝ้ารอคอยการมาถึงของกองทัพที่มีศิลิสวาเป็นผู้นำ แต่มิคาดคิดเลยว่ากองทัพจากสวรรค์จะมาเยือนเสียเเทน !
นี่จะต้องเป็นกองทัพของพระเจ้าเป็นแน่ ถึงได้มีแสงสีเงินส่องประกายแวววับเช่นนี้ เพราะกองทัพของศิลิสวาที่เคยเห็นมาก็สวมเพียงแค่ชุดเกราะหนังสัตว์เท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาจะมิได้ขี่อาชาไนยเข้ามา ทว่าพวกเขาก็เคลื่อนทัพอย่างเป็นระเบียบ ดูแข็งแกร่งและงดงามมากยิ่งนัก และคาดว่าพวกเขาคงจะสู้กับกองทัพของศิลิสวาได้แน่ ๆ
จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ !
ชาวซูลี่มิเห็นดาบที่ซ่อนอยู่ในชุดทหาร พวกเขาจึงครุ่นคิดไปว่ากองทัพของต้าเซี่ยต้องประสงค์ดีต่อชาวซูลี่เป็นแน่ พวกเขาต้องมาช่วยเหลือชาวซูลี่ให้ข้ามผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากนี้แน่ ๆ
หลังจากที่ตะลึงงันอยู่พักใหญ่ หัวหน้าชนเผ่าก็เหมือนจะนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
เขาหันกลับไปมองทหารของชนเผ่าตน พร้อมกับยกมือขึ้นมาแล้วเอ่ยบางอย่างซึ่งฟังมิออกด้วยทีท่าดีอกดีใจ เมื่อหวางติ้งชุนได้ยินคำเอ่ยเหล่านั้นจึงตกตะลึงขึ้นมาทันใด
กองทัพได้ชะงักฝีเท้าอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายราว 1 จั้ง หลังจากนั้นมินาน ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของหวางติ้งชุนและคนอื่น ๆ ชนพื้นเมืองฝั่งตรงข้ามก็ได้วางอาวุธที่แทบจะทำอันตรายใดต่อกองนาวิกโยธินมิได้ลง
อยู่ ๆ พวกเขาทุกคนก็คุกเข่าลงโดยมีชายชราที่อยู่ด้านหน้าสุดเป็นผู้นำ !
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น ? ” หวางติ้งชุนหันหลับไปมองจี้ไห่เทาหัวหน้ากองพลที่หนึ่ง จี้ไห่เทายักไหล่เพื่อสื่อว่ามิรู้เช่นกัน “พวกเขายอมสวามิภักดิ์ต่อพวกเราใช่หรือไม่ ? ”
“แล้วควรทำเยี่ยงไรต่อไปดี ? ”
“แม่ทัพไป๋บอกชัดแล้วมิใช่หรือ ? หากศัตรูยอมแพ้พวกเราจะมิเข่นฆ่า ลองฟังดูสิว่าพวกเขาต้องการจะเอ่ยอันใด ? ”
จากนั้นหัวหน้าชนเผ่าคนนั้นก็สาธยายยืดยาวออกมาอีกครา ทว่าพวกเขาก็ฟังมิออกดังเดิม
หวางติ้งชุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปพยุงชายชราผู้นั้นขึ้นมา
การกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้หัวหน้าชนเผ่าเชื่อว่าพวกเขาเป็นเทพเจ้าที่ลงมาช่วยเหลือชนเผ่าซูลี่ !
น้ำตาของเขาไหลอาบสองแก้มด้วยความตื้นตัน ริมฝีปากที่เหี่ยวย่นสั่นระริก
เขายื่นมือที่เหี่ยวย่นคู่นั้นออกมาลูบคลำชุดเกราะของหวางติ้งชุนด้วยความระมัดระวัง สัมผัสนั้นเย็นเฉียบ นี่คงมิใช่สิ่งของที่ถูกสร้างขึ้นมาบนโลกมนุษย์เป็นแน่
อารยธรรมที่ถูกแช่แข็งเอาไว้มักจะน่ากลัวเสมอ สำหรับชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ชุดทหารของกองนาวิกโยธินถือเป็นสิ่งที่พวกเขามิอาจทำความเข้าใจได้
พวกเขาจึงทึกทักเอาเองว่ากองนาวิกโยธินเป็นเทพเจ้า !
ในเมื่อเทพเจ้ามาช่วยเหลือแล้ว หมู่บ้านย่อมปลอดภัย !