นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1307 เอาชนะ
ตอนที่ 1307 เอาชนะ
เสียงปืนนัดนั้นดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในขณะที่เสียงปืนดังก้องอยู่ข้างหูของทหารชนเผ่าวาตู แม่ทัพของพวกเขาก็ร่วงหล่นลงมากองกับพื้นเสียแล้ว
มิมีแม้แต่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
บัดนี้เขาอยู่ในท่าเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ระหว่างคิ้วมีเลือดไหลทะลัก
สายตาของเขายังคงหลงเหลือความหวาดระแวงในชั่วอึดใจสุดท้ายก่อนตายออกมาให้เห็น
บัดนี้ทหารที่อยู่รอบข้างหันไปมองร่างของแม่ทัพที่นอนราบอยู่บนพื้น พวกเขารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก อยู่ห่างกันถึงเพียงนี้ ทว่าแม่ทัพของเขากลับถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ !
เขาตายได้เยี่ยงไรกัน ?
มิมีผู้ใดรู้ว่าเขาตายได้เยี่ยงไร หลังจากที่ชนเผ่าวาตูตกตะลึงพรึงเพริดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีทหารร่างกำยำนายหนึ่งแกว่งดาบสำริดแล้วแผดเสียงคำรามที่ฟังมิรู้เรื่องออกมา ในขณะที่ไป๋ยู่เหลียนกำลังเล็งลำกล้องปืนอยู่นั่นเอง ทหารเหล่านั้นก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครา ใบหน้าของพวกเขามิได้เผยความหวาดกลัวให้เห็นอีกต่อไป พวกเขาชูอาวุธในมือแล้วคำรามเสียงดังกึกก้อง
ซูเกต์ชินที่ยืนอยู่เบื้องหลังของไป๋ยู่เหลียนมิไกลนัก ได้ยินสิ่งที่ชายร่างกำยำผู้นั้นเอ่ย ชายหนุ่มผู้นั้นคือตุลจานน้องชายของศิลิสวา และตามกฎของชนเผ่าแล้วนั้น เมื่อศิลิสวาสิ้นใจในสนามรบ ตุลจานน้องชายของเขาต้องขึ้นเป็นแม่ทัพทันที
และบัดนี้สิ่งที่ตุลจานกำลังทำอยู่ก็คือปลุกขวัญกำลังใจให้กับทหารของเผ่าวาตู เพื่อแก้แค้นให้กับผู้นำของชนเผ่าที่เพิ่งตายไป !
นางหันไปมองไป๋ยู่เหลียนด้วยสีหน้าร้อนรน แต่ดูเหมือนว่าเทพเจ้าหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้จะฟังภาษาของฝ่ายตรงข้ามมิเข้าใจ
นางเดินเข้าไปกระตุกบ่าของไป๋ยู่เหลียนอย่างระมัดระวัง ไป๋ยู่เหลียนจึงผละสายตาออกมาจากลำกล้องแล้วหันไปมองหญิงสาวที่อายจนต้องก้มหน้าหนี
ซูเกต์ชินอยากบอกเทพเจ้ารูปงามเบื้องหน้าเสียเหลือเกินว่าศัตรูกำลังจะบุกโจมตีเข้ามาในมิช้า ทว่าน่าเสียดายที่มิว่านางจะเอ่ยอันใด อีกฝ่ายก็ฟังมิเข้าใจอยู่ดี
นางคิดแล้วคิดอีก จึงตัดสินใจชี้นิ้วไปยังฝั่งศัตรูที่กำลังส่งเสียงอึกทึก จากนั้นก็ทำท่าปาดคอตนเอง ไป๋ยู่เหลียนผงะตกใจ นี่หมายความว่าอีกฝ่ายกำลังจะบุกโจมตีพวกเราสินะ ?
เขาเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่งดงามราวกับบุปผากำลังผลิบาน เมื่อซูเกต์ชินเห็นดังนั้น หัวใจดวงน้อย ๆ ของนางก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เทพเจ้าและมนุษย์นั้นมีขอบฟ้าและแม่น้ำคอยขวางกั้นซึ่งมิอาจฝ่าฟันไปได้ อย่าได้คิดเพ้อฝันเลยเชียว !
ในขณะนั้นเอง ทหารจำนวนหนึ่งแสนนายก็เริ่มกรูทัพเข้ามา
พวกเขากวัดแกว่งอาวุธในมือ พลางแผดเสียงตะโกนพลางรุกคืบเข้ามาโจมตีชนเผ่าซูลี่
ไป๋ยู่เหลียนยกปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาอีกครา จากนั้นก็จดจ้องไปที่ลำกล้องปืน ซูเกต์ชินเงยหน้ามองตามไป ภายใต้แสงสุริยาอันงดงาม เทพเจ้าที่ดูหนุ่มและรูปงามพระองค์นั้นก็ยิ่งทวีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
นางเฝ้ามองอย่างรอคอย อยากรู้ว่าอาวุธในมือของพระองค์มีอิทธิฤทธิ์เยี่ยงไรกัน
และคนที่ไป๋ยู่เหลียนกำลังเล็งอยู่นั้นก็คือตุลจานน้องชายของศิลิสวานั่นเอง
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เพื่อเพ่งมองลำกล้องปืน จากนั้นก็เล็งไปกลางระหว่างคิ้วของเขา และในชั่วอึดใจนั้นเอง เขาก็ได้ลั่นไกปืนขึ้นมาอีกครา
“ปัง… ! ”
“อ้าก... ! ”
ซูเกต์ชินอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ครานี้นางเห็นทุกอย่างเต็มสองตา !
นางเห็นนิ้วของไป๋ยู่เหลียนขยับเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ราวกับว่ามีประกายไฟจำนวนมากออกมาจากกระบอกสีดำ เสียงของมันดังสนั่น จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปที่ตุลจานซึ่งกำลังหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วล้มลงกับพื้น
ทว่าข้าศึกยังมิหยุดรุกคืบเข้ามาเพียงเพราะการตายของตุลจาน พวกเขายังคงส่งเสียงร้องคำรามแล้วเคลื่อนทัพมาเบื้องหน้า เพียงมินานก็อยู่ห่างทหารนาวิกโยธินเพียงแค่ 20 จั้งเท่านั้น
ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เขาชะงักราวสามอึดใจแล้วออกคำสั่งว่า “ยิง ! ”
ปืนของต้าเซี่ยได้ปะทุรัวคราแรกบนสังคมยุคบรรพกาล
จิตใจของซูเกต์ชินสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด เธอตื่นตกใจจนถึงขีดสุด
ร่างของข้าศึกเป็นรูพรุน ท่ามกลางเสียงปืน
บ้างก็พรุนที่หน้าอก บ้างก็พรุนที่ใบหน้า
ทหารของชนเผ่าวาตูร่วงลงกับพื้นคนแล้วคนเล่าท่ามกลางเสียงปืนที่ดังลั่น
ราวกับว่าพวกเขาได้ขีดเส้นแบ่งขึ้นมา เส้นที่มิว่าผู้ใดก็มิอาจก้าวล้ำเข้ามาได้
หรือว่านี่จะเป็นเขตหวงห้ามของเทพเจ้าตามตำนานกัน ?
นี่เป็นการลงโทษของเทพเจ้าใช่หรือไม่ ?
ในฐานะคนที่อาศัยอยู่บนผืนปฐพีเดียวกัน บัดนี้ชาวเผ่าซูลีรู้สึกกังวลต่อโชคชะตาของชนเผ่าวาตูมากยิ่งนัก
เมื่อยามที่อยู่ภายใต้การนำของท่านหัวหน้าเผ่า ทั้งแปดชนเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จนถึงขั้นที่ว่าบริเวณคีวาจายซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ท่านผู้นำอยู่อาศัยนั้น มีชาวเผ่าทั้งแปดมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันที่นั่นในทุก ๆ สามวัน
ยกตัวอย่างเช่นนำหนังสัตว์มาแลกกับเครื่องทองสัมฤทธิ์ หรือนำอาหารต่าง ๆ มาแลกกับเครื่องปั้นดินเผา
ช่วงเวลานั้นผืนปฐพีแห่งนี้เต็มไปด้วยแสงสุริยาและความอบอุ่น
ทว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนแปลงไปหลังจากการตายของท่านผู้นำ แม้แต่คีวาจายก็ถูกศิลิสวายึดครองไป ผู้คนมิอาจไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่คีวาจายได้อีกต่อไป มิหนำซ้ำยังต้องถวายเครื่องราชบรรณาการให้ศิลิสวาอีกด้วย
นี่เป็นฝีมือของศิลิสวาเพียงคนเดียว ชาวเผ่าวาตูเป็นผู้บริสุทธิ์
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไป๋ยู่เหลียนด้วยสายตาอ้อนวอน นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับปืนในมือของไป๋ยู่เหลียน
จากนั้นก็กดปืนลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม นางหันไปอ้อนวอนไป๋ยู่เหลียนพร้อมกับส่ายศีรษะ
นางมิรู้ว่าเทพเจ้าจะเข้าใจความคิดของมนุษย์หรือไม่ นางแค่มิอยากให้ชนเผ่าวาตูถูกฆ่าล้างจนหมดสิ้นเช่นนี้
ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หัวใจของซูเกต์ชินเต้นโครมครามอีกครา ไป๋ยู่เหลียนหันไปมองสนามรบเบื้องหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองหวางติ้งชุนพร้อมกับสั่งการว่า “หยุดยิง ! ”
เมื่อคำสั่งถูกถ่ายทอดออกไป เสียงปืนก็พลันหยุดชะงักลงในบัดดล ความเงียบได้เข้ามาแทนที่
กลิ่นคาวเลือดโชยคละคลุ้ง ทหารจำนวนหนึ่งแสนนายเบื้องหน้า ถูกทหารนาวิกโยธินจำนวนหนึ่งหมื่นนายยิงตายอย่างน้อยสามหมื่นราย ส่วนคนที่บาดเจ็บก็มีมากมายเช่นกัน !
ทหารของชนเผ่าวาตูที่อกสั่นขวัญแขวนมาสักพักใหญ่ พวกเขามิเหลือแม้แต่ความกล้าที่จะเผ่นหนี
พวกเขามองสหายร่วมรบนอนจมกองเลือดด้วยความสั่นกลัว ได้ยินเสียงร้องโหยหวานชวนสะพรึงของบรรดาสหายที่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขามิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไปดี
ซูเกต์ชินจ้องมองไป๋ยู่เหลียนด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ นางคุกเข่าลง จากนั้นก็หมอบกราบไป๋ยู่เหลียน ทั้งยังพรมจูบลงบนรองเท้าทหารของเขา
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหากองทัพของชนเผ่าวาตู
นางรู้สึกมั่นใจมากยิ่งนักว่าทหารที่สวมชุดเกราะสีเงินเหล่านี้คือเทพเจ้า !
พระองค์เสด็จลงมาที่นี่ คาดว่าอาจจะเสด็จลงมาเพราะเทวาคารที่ถูกหลงลืมแห่งนั้น
เช่นนั้นก็รอให้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยพาพระองค์ไปค้นหาเทวาคารที่ถูกหลงลืมแห่งนั้นบนทุ่งน้ำแข็ง
หรือที่นั่นเป็นสถานที่ที่พระองค์เหลือทิ้งไว้บนโลกมนุษย์กัน
ซูเกต์ชินเหยียบย่ำอยู่บนเลือดที่เจิ่งนองแล้วเข้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าของทหารชนเผ่าวาตู เมื่อแสงสุริยาสาดกระทบร่างของนาง แม้ว่านางจะสวมเพียงชุดกระโปรงที่ทำจากหญ้า แต่ก็ดูบริสุทธิ์และล้ำค่ามากยิ่งนัก
นางชูสองมือขึ้นมาแล้วชี้แจงเจตจำนงของเทพเจ้าให้แก่ชนเผ่าวาตู
ไป๋ยู่เหลียนเป็นกังวลในความปลอดภัยของนางจึงยกปืนขึ้นมาเพื่อเตรียมยิง
ทหารเหล่านั้นกำลังเผชิญหน้ากับความประหลาดใจและความงุนงง หลังจากนั้นมินานพวกเขาก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบนใบหน้า แล้ววางอาวุธลงในท้ายที่สุด
พวกเขาคุกเข่าลงพร้อมกับก้มหน้าผากลงแนบพื้น เพื่อแสดงออกถึงความเลื่อมใสในเทพเจ้า !
ซูเกต์ชินยกยิ้มออกมาอย่างเริงร่า นางถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกแล้วหันหน้ากลับไปมองไป๋ยู่เหลียน ดวงตาใสคู่นั้นจ้องมองใบหน้างดงามของไป๋ยู่เหลียนอย่างเบิกบาน