นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1309 ล้อมเมือง
ตอนที่ 1309 ล้อมเมือง
กองทัพบกที่หนึ่งของกวนเสี่ยวซียังคงอยู่ที่เมืองฝูสั่ว
เพียงแต่ว่าเมืองนี้ถูกทหารนับล้านนายของประเทศซิลูซิดล้อมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
ในศาลาว่าการ มาร์ควิสเวลลีสรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก
บัดนี้เขาได้เรียนรู้ภาษาของต้าเซี่ยมาบ้างแล้ว แม้จะยังออกเสียงมิค่อยถูก แต่ก็สามารถสื่อสารพื้นฐานได้อย่างมิมีปัญหา
บัดนี้เขากำลังใช้ภาษาต้าเซี่ยสนทนากับกวนเสี่ยวซีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านเเม่ทัพ กองทัพนับล้านนายเหล่านั้นมีท่านเคานต์อาริสต้านำทัพมาด้วยตนเอง ! ”
“ท่านเคานต์อาริสต้ามีปืนในครอบครองทั้งสิ้นสามแสนกระบอก อีกทั้งยังมีปืนใหญ่อีกด้วย… ท่านแม่ทัพมิกังวลจริง ๆ หรือ ? ”
กวนเสี่ยวซียิ้มร่า เขาเดินเข้าไปตบบ่าของมาร์ควิสเวลลีสอย่างเป็นกันเอง เขามิได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับเอ่ยถามเรื่องอื่นขึ้นมาเเทน “เจ้าคิดว่าพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่งได้รับจดหมายที่พวกเราส่งไปให้เขาหรือไม่ ? ”
มาร์ควิสเวลลีสผงะ เมื่อลองคำนวณเวลาดูแล้ว เขาจึงส่ายศีรษะ “คงมิเร็วถึงเพียงนั้นหรอก จากที่นี่ไปยังเมืองแอนตีออกจำต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนขอรับ”
กวนเสี่ยวซีเลิกคิ้วขึ้น “น่าเสียดายยิ่งนัก”
“เสียดายอันใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
“เห็นทีการกำจัดทหารหนึ่งล้านนายคงจะเป็นหนทางเดียวที่ข้าสามารถทำได้แล้วน่ะสิ ! ”
เวลลีสผงะตกใจ เดิมทีคิดว่าท่านแม่ทัพกวนผู้นี้จะออกไปดูสถานการณ์บนกำแพงเมืองเสียอีก คาดมิถึงว่าเขาจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจเย็น
ท่านแม่ทัพกวนผู้นี้มั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
เมื่อมาร์ควิสเวลลีสลองย้อนกลับมาตริตรองอย่างละเอียด ทุกวันนี้เมืองฝูสั่วมีทหารของเขาทั้งสิ้นสี่แสนนาย ถ้าหากพวกเขาเหาะเหินขึ้นไปบนท้องนภาแล้วปล่อยระเบิดลงมาอีกล่ะก็… ทหารหนึ่งล้านนายของท่านเคานต์อาริสต้าเกรงว่าคงมิอาจทำอันใดพวกเขาได้
และแผนการรบของกวนเสี่ยวซีก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
นี่เป็นการเดินทางไกลซึ่งมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ การหารือระหว่างกวนเสี่ยวซี เผิงยวี๋เยี่ยนและคนอื่น ๆ ยังคงเป็นการลดความสูญเสียของทหารดังเดิม เพราะมิรู้ว่าหนทางข้างหน้าอีกยาวไกลหรือไม่ และมิรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีศัตรูมากน้อยเพียงใด
ทว่าระเบิดที่จะใช้ในครานี้ มิใช่ระเบิดที่นำมาจากต้าเซี่ย แต่เป็นดินปืนที่ได้มาจากโกดังยุทโธปกรณ์ของเมืองฝูสั่ว พวกเขาได้นำมาดัดแปลงทำเป็นระเบิด
แน่นอนว่ากวนเสี่ยวซีมิได้รู้สึกกังวลกับผลการรบในครานี้ เขาต้มชาพลางสนทนากับเผิงยวี๋เยี่ยน
“หลังจบศึกครานี้ พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนใช้เส้นทางมหาสมุทร ถ้าหากทุกอย่างราบรื่น เกรงว่าเขาคงจะนำหน้าพวกเราไปไกล”
“พวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่สองเดือนแล้ว ต่อไปคงต้องเพิ่มความเร็วในการเดินทัพขึ้นอีกสักหน่อย แน่นอนว่าหากพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่งได้รับจดหมายของพวกเราแล้วยอมให้พวกเราผ่านทางแต่โดยดี ถึงจะเป็นการดีที่สุด เพราะข้ามิมีอารมณ์จะไปตีเมืองแอนติออกอันใดนั่นแล้ว”
เผิงยวี๋เยี่ยนทำท่าทางครุ่นคิดชั่วครู่ “เมื่อผลแพ้ชนะของศึกครานี้แพร่ไปถึงหูของพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่งเมื่อใด…เกรงว่าเขาคงมิบังอาจสกัดกั้นพวกเราอีก”
ถ้าหากกองทัพทั้งหนึ่งล้านนายของพระเจ้าเซคิวลัสที่หนึ่งถูกกำจัดจนสูญสิ้น เขาย่อมไร้ความกล้าหาญที่จะสกัดกั้นขวางทางศัตรู !
หวังว่าเขาจะจำคำทำนายนั้นได้เช่นกัน
ในเมื่อเป้าหมายของศัตรูคือฝูหล่างจี เช่นนั้นก็มิมีความจำเป็นอันใดที่จะทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูให้กับฝูหล่างจี
บรรยากาศภายในศาลาว่าการผ่อนคลายยิ่งนัก หลังจากที่มาร์ควิสเวลลีสได้คบหากับพวกกวนเสี่ยวซีเป็นเวลาสองเดือน เขาจึงได้ค้นพบว่าความเป็นศัตรูคู่แค้นระหว่างเขากับข้าศึกได้มลายหายไปจนหมดสิ้น เขารู้สึกว่านี่คือกองทัพที่ยิ่งใหญ่กองทัพหนึ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบหวังว่าจะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานในการพิชิตยุโรปของพวกเขา
กวนเสี่ยวซีและคนอื่น ๆ ต่างก็มิได้มีความคิดแบ่งพรรคแบ่งพวกแต่อย่างใด ตลอดระยะเวลาสองเดือนมานี้เวลลีสก็ได้ให้ความร่วมมือกับพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเกี่ยวใต้หล้านี้ อีกทั้งยังช่วยปลอบใจชาวเมืองฝูสั่วให้อยู่ในความสงบสุขจนลืมสงครามที่ผ่านมา และด้วยเหตุนี้กวนเสี่ยวซีจึงมิได้มองเวลลีสเป็นศัตรูคู่อาฆาต
กองทัพของเขาต้องการคนนำทาง ต้องการคนที่จะช่วยติดต่อสื่อสารกับประเทศต่าง ๆ ตลอดเส้นทางเดินทัพ และเวลลีสผู้นี้สามารถสื่อสารภาษาต้าเซี่ยได้ เขาจึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมมากที่สุด เหมาะสมที่จะทำหน้าทูตเพื่อติดต่อกับประเทศต่าง ๆ
ทั้งสามนั่งล้อมวงภายในศาลาว่าการ กวนเสี่ยวซีเริ่มวางแผนการเดินทัพในภายภาคหน้า บัดนี้เสียงปืนยังมิได้ปะทุดังขึ้นมา นอกกำแพงเมืองฝูสั่วมีท่านเคานต์อาริสต้ายืนอยู่บนรถม้า เขากำลังยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดูกำแพงเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
และแน่นอนว่าทหารในชุดเกราะสีเงินที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองก็คือทหารต้าเซี่ยนั่นเอง
ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนมิมากนัก ซึ่งอาริสต้าคำนวณได้คร่าว ๆ ราวหนึ่งแสนนาย… เขาทราบมาว่ากองทัพนี้เดินทางมาจากทิศตะวันออก และยังรู้อีกว่ากองทัพนี้มีความสามารถในการรบที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
จากประสบการณ์การรบของเขาแล้วนั้น หากใช้กองทัพนับล้านนายโจมตีเมืองที่มีทหารประจำการณ์เพียงแค่หนึ่งแสนนาย…ด้วยกำลังที่แตกต่างกันถึงสิบเท่านี้ หากจะตีให้แตกคงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อมีปืนในครอบครองถึงสามแสนกระบอก
ฝ่ายตรงข้ามได้ถือปืนที่เหมือนกับปืนของตนทุกประการ เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้ทำการยึดมาจากเมืองฝูสั่ว
มิรู้ว่ามาร์ควิสเวลลีสรักษาการณ์เมืองเยี่ยงไร ทั้งที่กำแพงเมืองฝูสั่วก็แข็งแกร่งมากยิ่งนัก เขามีทหารอยู่ในมือมากมายถึงเพียงนั้น แต่กลับมิอาจรักษาเมืองเอาไว้ได้
รอให้แย่งชิงเมืองนี้กลับมาได้ก่อนเถิด ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ !
หลังจากที่ท่านเคานต์อาริสต้าได้ทำการสำรวจอย่างรอบคอบแล้วนั้น นอกจากชุดเกราะสีเงินของศัตรูแล้ว เขาก็มิเห็นความผิดปกติอื่นใดอีกเลย ดังนั้นเขาจึงวางใจลงแล้วออกคำสั่งในทันใด
“ทหาร… บุกโจมตี… ! ”
เสียงกลองโหมดังสนั่นผืนปฐพี กองทัพได้เคลื่อนตัวเข้าหาเมืองฝูสั่วราวกับน้ำป่าไหลหลาก
ท่ามกลางความตื่นตระหนกของชาวเมือง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกแปลกใจมากยิ่งนัก เพราะตามหลักแล้วท่านเคานต์อาริสต้ากำลังยกทัพมาปลดปล่อยพวกเขา ทว่าตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้ยอมรับทหารของต้าเซี่ยอย่างมิรู้ตัว !
ทหารเหล่านั้นเป็นคนดี พวกเขามิเคยข่มเหงรังแกสามัญชนคนธรรมดามาก่อน
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาที่นี่ พวกเขาก็ได้บริหารเมืองฝูสั่วแห่งนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม พวกเขาบังคับใช้กฎระเบียบทางการทหารที่เข้มงวด จนสามารถเอาชนะใจชาวเมืองและได้รับการต้อนรับในที่สุด ทำให้ชาวเมืองรู้สึกว่าทหารเหล่านั้นมิใช่ผู้บุกรุกแต่อย่างใด
ทว่าบัดนี้เมืองฝูสั่วกำลังจะถูกโจมตี เช่นนั้นทหารในชุดเกราะสีเงินพวกนั้นต้องออกไปรบ ว่ากันว่ากองทัพของท่านเคานต์อาริสต้านั้นมีจำนวนมหาศาลนับล้านคนเลยทีเดียว…
ชาวเมืองฝูสั่วมิรู้ว่าควรจะช่วยเหลือทหารต้าเซี่ยเยี่ยงไร
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มิได้หักหลังทหารต้าเซี่ย
พวกเขาทำได้เพียงแค่มอง ไม่แม้แต่จะภาวนาให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำ
กองทัพของท่านเคานต์อาริสต้าเข้าใกล้กำแพงเมืองเรื่อย ๆ แล้ว ทหารปืนใหญ่ของพวกเขากำลังเข็นปืนใหญ่เข้าไปในวิถีกระสุน
และในตอนนั้นเอง
ท่านเคานต์พลันเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา รูม่านตาของเขาพลันหดลง หว่างคิ้วขมวดแน่นทันใด เมื่อยกกล้องส่งทางไกลขึ้นมามองดู เขาจึงเห็นบอลลูนไฟกำลังลอยตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จากเมืองฝูสั่ว !
“ตู้ม… ! ”
ปืนใหญ่บนกำแพงเมืองยิงเปิดศึกภายใต้การควบคุมของทหารต้าเซี่ย ผู้ที่ยิงปืนใหญ่ล้วนเป็นทหารที่เก่าแก่ วิถีกระสุนปืนใหญ่ตกลงไปบริเวณแนวหน้าพอดิบพอดี
เมื่อกระสุนปืนใหญ่ระเบิดออก ทหารสิบกว่านายจึงถูกยิงจนร่างเละกระจัดกระจาย
กองทัพของท่านเคานต์อาริสต้ายังคงเดินหน้าต่อไป ปืนใหญ่ที่ประจำการทั้งสี่มุมบนกำแพงเมืองยิงกระสุนออกมาอีกระลอก
อาริสต้ามิได้มองไปยังสนามรบแนวหน้า บัดนี้เขายังคงเงยหน้าขึ้นมองบอลลูนไฟที่กำลังคืบคลานเข้ามาช้า ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นวาบจับหัวใจ