นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 131 ใบไม้สีเหลืองปลิวอยู่ตรงหน้าต่าง
ตอนที่ 131 ใบไม้สีเหลืองปลิวอยู่ตรงหน้าต่าง
ซูม่อแบกฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังโรงเตี๊ยม
“เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณชาย ข้าจะไปตามหมอ”
ซูม่อกลับหลังเดินออกไป ชุนซิ่วมองฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยเลือดอาบร่าง น้ำตาก็ไหลพรากลงมา
“คุณชายเจ้าคะ อย่าทำให้บ่าวกลัวสิเจ้าคะ ท่านจะตายไม่ได้นะเจ้าคะ… !”
นางร้องไปพลางพูดไปพลางและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเบามือ ในตอนที่กำลังจะถอดกางเกงก็พบว่ากางเกงและบาดแผลนั้นติดกัน นางค่อย ๆ พลิกร่างของฟู่เสี่ยวกวนอย่างระมัดระวัง ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ติดอยู่ออก คิดว่าจะรอหลังจากที่ท่านหมอมาแล้วค่อยจัดการ
นางเปลี่ยนให้ฟู่เสี่ยวกวนสวมเสื้อผ้าสีฟ้า นั่งอยู่ด้านหน้าเตียงมองใบหน้าและปากของฟู่เสี่ยวกวนที่ซีดเผือด นึกถึงคุณชายที่เคยใช้ชีวิตอย่างเสเพลกับช่วงหลังมานี้ที่ต่างกันจนราวกับเป็นคนละคน ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากคุณชายใช้ชีวิตอย่างเสเพลไปทั้งชีวิต เกรงว่าจะมิต้องประสบกับหายนะเยี่ยงนี้
ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เคยพูดถึงเป้าหมายที่มาเมืองหลวงในครานี้ต่อหน้านาง แต่เมื่อนับจากเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดมาและกระทำมาทั้งหมดในหลายเดือนนี้ ชุนซิ่วก็ได้เข้าใจเหตุและผลที่อยู่ในนั้น
หากคุณชายเป็นเหมือนในอดีต เขาทำเรื่องชั่วร้ายที่หลินเจียงเอาไว้มาก หยอกเย้าเหล่าหญิงสาว ทั้งยังพาสหายชั้นเลวไปทานข้าวที่หอหลินเจียง แล้วจึงไปหออี้หงเพื่อดื่มสุราและฟังฝานตั่วเอ๋อร์ขับร้อง
หากเป็นเยี่ยงนั้น ชั่วชีวิตของคุณชายก็จะใช้ชีวิตได้แต่หลินเจียงเท่านั้น ถึงแม้จะสร้างเรื่องยุ่งยากให้แก่นายท่าน ถึงแม้ในสายตาผู้อื่นจะเป็นได้เพียงคุณชายเสเพลที่ไร้ประโยชน์ แต่เขาก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง นอนจนตื่นเองในทุกวัน ออกไปสำมะเลเทเมาในทุกวัน หลังจากดื่มจนเมาก็กลับมา ล้มตัวนอนบนเตียง และหลับฝันไปอย่างสงบสุข
ไหนเลยจะเหมือนกับในปัจจุบันนี้ ชุนซิ่วมองคุณชายในตอนนี้ก็รู้สึกปวดใจ
ตื่นเช้ายิ่งกว่าไก่ นอนดึกยิ่งกว่าสุนัข มิใช่ จะเอาคุณชายไปเปรียบกับไก่และสุนัขได้เยี่ยงไร !
เรื่องที่คุณชายต้องกังวลใจนั้นมีมากยิ่ง ไม่ว่าจะที่ซีซานหรือที่เมืองหลวง คุณชายมักจะมีเรื่องให้ทำอย่างมิรู้จักจบจักสิ้น กังวลอยู่ตลอดเวลา คุณชายกล่าวว่าคนหนุ่มสาวมิพยายามบรรพบุรุษคงเศร้าใจ ชุนซิ่วเข้าใจประโยคนี้ แต่ตระกูลฟู่ก็มีกิจการที่ใหญ่โตแล้ว คุณชายเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน หากอยู่อย่างสงบ เขียนบทกวี ประพันธ์ตำรา นั่นก็ดีมากยิ่งแล้ว เหตุใดต้องเข้าไปสู้กับเหล่าขุนนางด้วยกัน
แต่ก็ถือว่ายังดี เกือบจะรักษาชีวิตไว้มิได้เสียแล้ว เฮ้อ…
ในตอนที่ชุนซิ่วกำลังครุ่นคิดอย่างไร้สาระ ซูม่อพาท่านหมอมา 3 ท่าน
ท่านหมอทั้งสามล้อมรอบเตียงของฟู่เสี่ยวกวน ปลดเสื้อผ้าของเขาเพื่อสำรวจบาดแผลตรงสะบักไหล่ซ้ายและก้นของเขาอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ ท่านหมอหนึ่งในนั้นส่ายหน้าและกล่าวว่า “แขนข้างนี้เกรงว่าจะใช้การมิได้แล้ว”
มีคนสองสามคนวิ่งเข้ามาจากทางด้านนอก หยูเวิ่นหวินมองไปรอบ ๆ พร้อมกับตาโตเมื่อเห็นอาการของฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าหมอกำมะลอ รีบไสหัวออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ! ”
ท่านหมอทั้งสามต่างสะดุ้งตกใจ หันไปมองซูม่อ ซูม่อพยักหน้า อย่างไรองค์หญิงก็เก้ามาแล้ว นางย่อมมีท่านหมอที่ดียิ่งกว่า
“ยกเขาขึ้น นำไปส่งวังหลวง… เสด็จพี่ของข้าอยู่ที่วัง ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“กระหม่อมจะแบกเขาพ่ะย่ะค่ะ เขา… มีบาดแผลที่ด้านหลัง ไม่สามารถนอนได้พ่ะย่ะค่ะ” ซูม่อกล่าว
“ได้ ชูหลาน รบกวนเจ้าไปที่หลานหยวน ตามหาเสด็จพี่ของข้า”
“เพคะ อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปวังหลวง”
……
…..
หลานหยวนคือสวนชา
ในยามนี้ฉินโม่เหวินและหยูเวิ่นเต้ากำลังดื่มชาด้วยกันในห้องหนึ่ง
“กระหม่อมเชื่อว่าต้องมิใช่สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมต้องการเข้าพบฝ่าบาท อยากจะทราบพระประสงค์ของฝ่าบาท เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเยี่ยงนี้ มีหลายคนที่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย แต่มิมีหลักฐานใด ๆ ปรากฏบนตัวของมือสังหารทั้งสอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเรื่องนี้จักต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเกรงว่าจะใช้เวลานาน แต่กระหม่อมจะต้องถูกย้ายไปยังเจียงเป่ยในอีกไม่ช้า”
หยูเวิ่นเต้าเพิ่งได้รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนทำเรื่องมากมายที่เขาไม่เคยได้ยิน และเพิ่งได้ทราบเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนมายังเมืองหลวง
ชายผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก
แต่เดิมเขาคิดเพียงว่าฟู่เสี่ยวกวนปราดเปรื่องด้านวิชาการ มิคาดคิดเลยว่าจะยังชอบทำสิ่งที่เรียกว่าการค้นคว้า ทั้งยังถึงขั้นเขียนกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยจนเข้าพระเนตรเสด็จพ่อ
เมื่อเข้าใจเหตุและผลแล้ว หยูเวิ่นเต้าครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวกับเด็กสาวผู้หนึ่งที่อยู่ทางด้านหลัง “ศิษย์น้อง เจ้าจงไปยังหอชิงเฟิงซี่หยู่ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับหยางชีและจ้าวซื่อมาทั้งหมด เจ้าจงจำไว้ว่าต้องละเอียดรอบคอบ หลังจากนั้นก็พาศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่สำนักกฎหมายมาพบกับข้าที่นี่ เรื่องนี้…พวกเราจะต้องตรวจสอบอย่างเงียบเชียบ จะให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้เด็ดขาด”
ศิษย์น้องผู้นั้นรับคำสั่งและเดินออกไป หยูเวิ่นเต้าถึงได้ถามว่า “ใครที่มารับตำแหน่งต่อจากเจ้ากัน ?”
“หนิงหยู่ชุน บุตรชายคนที่สี่ของหนิงไท่ฟู่”
หยูเวิ่นเต้าครุ่นคิด และมิมีภาพจำอันใดกับคนผู้นี้
“ดูเหมือนว่าเมืองหลวงแห่งนี้จักมิสมดุลเสียแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่คืนอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวกับเจ้าก่อน ศาลาว่าการเหนือใต้และทหารยามอีก 100 นายของเจ้ามิต้องขยับไปไหน ไหน ๆ พวกเขาก็กล้ามายืมดาบของข้าไปฆ่าคน ข้าจักฆ่าคนเหล่านั้นให้พวกเขาได้ประจักษ์เอง”
หยูเวิ่นเต้ากล่าวอย่างแผ่วเบา หัวใจของฉินโม่เหวินพลันบีบรัด “ฝ่าบาท… อย่าทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ข้าลำดับความสำคัญไว้แล้ว ไม่ลำบากเจ้าหรอก เจ้าคือคนที่เสด็จแม่ข้าลงนามไว้ที่เจียงเป่ยเต้า ความหมายของท่านแม่ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่ ? ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า
เรื่องนี้ฉินโม่เหวินได้เคยปรึกษากับฉินปิ่งจงมานานแล้ว
ฉินปิ่งจงคิดว่าบ้านของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หลินเจียง หากราชสำนักยังคงมีคนที่อยากให้จวนฟู่ตายตก คงหนีไม่พ้นเจียงเป่ยเต้าจวนเต้าถาย เยี่ยงนั้นแล้วตำแหน่งเจียงเป่ยเต้าถายก็สำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งอยู่คือเซี่ยเซวี๋ยนลูกพี่ลูกน้องของอนุนางหนึ่งในจวนเยี่ยน อายุได้เพียง 46 ปี กล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงเวลาที่หนทางการเป็นขุนนางนั้นราบรื่น แต่กลับถูกเจียงเป่ยเต้าที่ได้รับราชโองการให้มาตรวจสอบและถูกตัดสินว่าไม่มีความสามารถในการบรรเทาสาธารณภัย เขายังคงมิถูกจับกุม ส่วนพระราชโองการฉบับนั้นขององค์ฮ่องเต้ก็ได้ปลดตำแหน่งขุนนางของเขาออก และกำลังรอมอบให้ฉินโม่เหวิน
กระดานหมากนี้ตอนนี้ดูแล้วกำลังล้อมรอบฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดังนั้นฉินโม่เหวินจึงเข้าใจอย่างยิ่งว่าฟู่เสี่ยวกวนสำคัญต่อจิตใจของราชสำนักอย่างไร
“ไหน ๆ เจ้าก็เข้าใจแล้ว ความจริงหากข้าสังหารคนเหล่านั้นที่จินหลิง เกรงว่าเสด็จพ่อก็คงพอใจอยู่ไม่น้อย”
ฉินโม่เหวินมิกล้ารับคำนี้ เขายกจอกชาขึ้นมาจิบ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต่งชูหลานที่วิ่งเข้ามา
“เจอตัวเขาแล้ว บาดเจ็บหนัก หยูเวิ่นหวินกำลังรับเขาเข้าวังหลวง ตรัสว่าจะจัดให้อยู่ที่…ตำหนักองค์ชายเพคะ”
หยูเวิ่นเต้าดีใจขึ้นมาทันพลัน น้องสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
เขาลุกขึ้นยืน และกล่าวกับเด็กสาวที่อยู่อีกด้าน “ศิษย์น้องหก เจ้าจงไปบอกกับศิษย์น้องเล็ก เข้าวังมาหาข้า ข้าจะต้องกลับไปดูเขาเสียหน่อย”
ฉินโม่เหวินบอกลาหยูเวิ่นเต้า ต่งชูหลานกล่าวถวายพระพรของพระองค์ทรงพระเจริญกับหยูเวิ่นเต้าแล้วก็ไปยังในวังเช่นกัน ฉินโม่เหวินนั่งลงและเหม่อมองไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าแต่เดิมที่เคยสดใสไม่รู้เมื่อใดที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาขึ้นมา สายลมแรงที่พัดผ่าน มีใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงมาด้านนอกหน้าต่าง
“เมืองหลวงนี้… เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสียแล้ว”
องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าเข้าใจความหมายดีอย่างยิ่ง เขาต้องทำอันใดสักอย่าง เพราะผู้ที่จะสังหารฟู่เสี่ยวกวนมาจากหอชิงเฟิงซี่หยู่ของเขา
แม้ว่าเขาจะมิทราบเรื่องนี้มาก่อน แต่ในตอนนี้เขาเองก็ต้องแสดงท่าทีออกไปบ้างเช่นกัน ประการแรกคือนำเรื่องนี้ทูลถวายฝ่าบาทโดยตรงนี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ประการที่สองคือสั่นประสาทผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ เหมือนกับที่เขาได้กล่าวเอาไว้ ไหน ๆ ก็กล้าที่จะยืมดาบของข้าไปฆ่าคน ข้าก็จะฆ่าคนให้พวกเขาดูเสียหน่อย
ฉินโม่เหวินถึงขั้นสามารถคาดเดาได้ว่าองค์ชายห้าจะลงมือที่ใด ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวว่าอย่าทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป
หากเป็นอย่างที่ฉินโม่เหวินคาดการณ์ไว้จริง เกรงว่ากองกำลังใต้ดินทางตะวันออกของเมืองจะถูกชำระล้างโดยเลือด และผู้ที่เลี้ยงดูกองกำลังใต้ดินเหล่านั้นก็คือหนึ่งในหกตระกูลผู้มีอำนาจอย่างตระกูลชือ