นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1314 เสนาบดีเก่าแก่
ตอนที่ 1314 เสนาบดีเก่าแก่
คำบอกเล่าของหยุนซีเหยียนทำให้ทุกคนในวงสนทนาตื่นตกใจขึ้นมาทันใด !
แม้หยุนซีเหยียนจะมิได้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ทว่าพวกเยี่ยนซีเหวินต่างก็หันไปมองหน้ากัน พวกเขารู้ความหมายที่แอบแฝงในคำเอ่ยเหล่านั้นเป็นอย่างดี
นี่หมายความว่าท่าป๋าฉางฮวนยังมิถูกจับตัว และฝ่าบาทก็ยังมีความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่ยากจะจินตนาการกับท่าป๋าวั่ง !
เพราะฝ่าบาทดูเหมือนจะทรงสำนึกผิดและปรับปรุงตัว ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดเอ่ยถึงมันอีก และเรื่องก็เลยจบแบบไร้ข้อสรุป คาดว่าทุกวันนี้ท่าป๋าฉางฮวนก็ยังอยู่ดีมีสุขในเขตปกครองตนเองซีเซี่ย
เนื่องจากในวงสนทนามีซือหม่าเทาและจังชีเยวี่ย เยี่ยนซีเหวินจึงหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเอ่ยอธิบายว่า
“เรื่องนี้มิค่อยสำคัญเท่าใดนัก เพราะเยี่ยงไรนี่ก็เป็นเงินของฝ่าบาท คาดว่าพระองค์คงบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่ซีเซี่ย แต่ก่อนจักรพรรดิพระเจ้าหลวงก็เคยทำเช่นนี้นี่”
“จริงสิ…บัดนี้ท่านปู่ฉินยังอยู่ที่เรือนซีซานหรือไม่ ? สุขภาพของท่าน…ที่มิสบายเมื่อคราก่อน ทุกวันนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง ? ”
“เมื่อมิกี่วันก่อนท่านพ่อส่งจดหมายมาบอกเล่าว่า…อาการของท่านดีขึ้นแล้ว เพียงแต่เดินเหินมิค่อยคล่องนัก แน่นอนว่าข้าย่อมหวังให้ท่านมาที่เมืองฉางอัน แต่ท่านก็บอกว่าท่านชอบเรือนซีซานมากกว่า”
“นี่ก็ใกล้ปีใหม่เข้ามาเต็มทีแล้ว ท่านบอกว่าปีใหม่ปีนี้อาจจะกลับไปพำนักอยู่ที่เมืองจินหลิง”
เยี่ยนซีเหวินจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าจะให้รั่วเสวียไปฉลองปีใหม่ที่เมืองจินหลิงก็แล้วกัน เพราะเยี่ยงไรเรือนก็มิได้เก็บกวาดมานานนม อีกอย่าง…เมื่อมีรั่วเสวียคอยอยู่เป็นเพื่อน ท่านปู่ฉินจะได้มิเหงาจนเกินไป”
“มิต้องหรอก ท่านพ่อบอกว่าปู่ของเจ้าได้เชิญท่านไปฉลองปีใหม่ด้วยกันที่จวนตระกูลเยี่ยนในเมืองจินหลิง”
“อ่า…เช่นนั้นก็ดี จะว่าไปเเล้วพวกเราทั้งหลายควรกลับไปเยี่ยมเมืองจินหลิงสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”
“รออีกหน่อยเถิด รอให้จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จกลับมาเสียก่อน”
เมื่อเอ่ยจบฉินโม่เหวินก็หันไปมองซือหม่าเทาและคนอื่น ๆ “พวกชีเยวี่ยเพิ่งจะกลับมาจากแผ่นดินใหญ่ลีอาห์ เจ้าเป็นเจ้าบ้านมิคิดจะจัดเลี้ยงต้อนรับหน่อยหรือ ? ”
ซือหม่าเทาเข้าใจความหมายของประโยคข้างต้นในทันที เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าละเลยเรื่องนี้ไปแล้วสิ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อข้าเตรียมการเสร็จเมื่อใดค่อยเชิญพวกเจ้าไปร่วมงานด้วยก็แล้วกัน ! ”
ฉินโม่เหวินโบกมือเชิงปฏิเสธ “พวกข้าคงมิอาจไปร่วมงานเลี้ยงได้ เวลามิคอยใคร ไว้หยุดยาวเมื่อใดค่อยว่ากันใหม่อีกครา”
ซือหม่าเทาลุกขึ้นยืนพลางประคองสองมือคารวะ “ก็ได้…เช่นนั้นพวกเราค่อยเลี้ยงฉลองกันวันปีใหม่”
เขาพาจังชีเยวี่ยและคนอื่น ๆ ออกมาจากจวนตระกูลหยุน ครานี้เรือนเหมยหย่วนจึงเหลือแค่หยุนซีเหยียนและเสนาบดีอีกสามคน
สีหน้าของทั้งสามเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วแน่นเป็นปมพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด… ใต้เท้าจี้หยุนกุยกลับมาแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะไปเยี่ยมท่านใต้เท้าจี้สักหน่อย จำต้องให้หอเทียนจีส่งคนออกไปเท่านั้นจึงจะมิทำให้ฝ่าบาททรงผิดสังเกต เช่นนี้พวกเราจะได้ทราบว่าเงินที่พระองค์ทรงมอบให้ท่าป๋ายวี่ แท้จริงแล้วเอาไปทำอันใดกันแน่ ! ”
“อืม ! ” หนิงหยู่ชุนพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามหยุนซีเหยียนว่า “รายได้ต่อปีของคลังส่วนพระองค์นั้นมีเท่าใดกัน ? ”
“กลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เป็นดั่งแม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำ ! และตามที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงกำหนดไว้ก่อนที่จะเสด็จไปนั้น หลี่จินโต้วจะต้องฝากเงินเข้าไปในคลังส่วนพระองค์เป็นจำนวน 120 ล้านตำลึงต่อปี”
“หือ… ! ” เสนาบดีทั้งสามต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง พวกเขาทราบเพียงแค่ว่ากลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ และก็รู้เช่นกันว่ากลุ่มบริษัทนั่นมีเงินไหลมาเทมาตลอดทั้งปี แต่คาดมิถึงว่าจะมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้
“ดังนั้น การที่ฝ่าบาทใช้เงินในคลังส่วนพระองค์จนหมด หมายความว่าชีวิตของพระองค์ดำเนินไปอย่างเกษมสำราญ ทว่าบัดนี้คลังส่วนพระองค์มิเหลือเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ! สิ่งที่ข้าเป็นกังวลก็คือ…ท่านเสนาบดีเยี่ยน เห็นที่พวกเราจำต้องตรวจสอบกลุ่มบริษัทอาวุธยุทโธปกรณ์ต้าเซี่ยกันสักหน่อยแล้ว ! ”
เยี่ยนซีเหวินผงะ “เจ้าสงสัยว่าเงินเหล่านั้นถูกทุ่มไปกับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…เรื่องนี้เอ่ยได้ยากนัก”
ฉินโม่เหวินขมวดคิ้วแน่นเป็นปม “พระองค์ซื้อโดยตรงจากบริษัทติดตั้งสรรพาวุธจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) มิสะดวกกว่าหรือ ? ”
หยุนซีเหยียนส่ายศีรษะไปมา “ข้าถามเรื่องความเป็นไปของบริษัทติดตั้งสรรพาวุธจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) กับหลี่จินโต้วมาแล้ว ทราบความมาว่าตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเสด็จจากต้าเซี่ยไป หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็มิมีธุรกรรมใด ๆ เกิดขึ้นอีก ซึ่งก็หมายความว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงละทิ้งบริษัทนี้ไปแล้ว”
“ทุกวันนี้การจัดซื้อใด ๆ ของกองทัพล้วนมอบหมายให้กรมยุทธการ จัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธการ…ก็เป็นถึงท่านตาของฝ่าบาท ! ”
“เอาล่ะ ซีเหยียน เรื่องนี้…ให้หยุดไว้แค่นี้ก่อน” เยี่ยนซีเหวินลุกขึ้นยืน “มิต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป หรือบางทีพวกเราอาจจะคิดมากจนเกินไป ประเดี๋ยวข้าจะไปพบจี้หยุนกุย รอฟังข่าวจากหอเทียนจีก่อนเถิด แล้วพวกเราค่อยมาหารือกัน ! ”
……
……
หิมะแรกเพิ่งจะมาเยือนเมืองฉางอัน ในขณะที่เมืองกวนหยุนมีหิมะตกหนักมาหลายวันแล้ว
อู๋เทียนซื่อที่เดินทางมาจากฉางอัน ได้พาหลิวจิ่นและคนอื่น ๆ กลับมาที่เมืองกวนหยุน สำหรับราษฎรชาวกวนหยุนนั้น นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฉางอัน ทว่าที่เมืองกวนหยุนต่างหากถึงจะเป็นดินแดนบรรพบุรุษของเหล่าเชื้อพระวงศ์ !
ที่นี่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์อู๋นับร้อย ๆ ปี ที่นี่มีวัดไท่เมี่ยวประจำราชวงศ์ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิอีกด้วย
เมืองกวนหยุนมิได้ตกต่ำลงเพียงเพราะมิใช่เมืองหลวงของประเทศอันเกรียงไกร แน่นอนว่าประชากรย่อมน้อยลงกว่าเดิมมากนัก ทว่าการค้ายังคงเจริญรุ่งเรืองดังเดิม
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ แต่กลับมีผู้คนเดินขวักไขว่จนไหล่เสียดสีกันบนตรอกน้อยใหญ่อย่างมิขาดสาย
พระราชวังของราชวงศ์อู๋ถูกทำนุบำรุงอย่างสมบูรณ์แบบ และด้วยพระราชปณิธานของจักรพรรดิพระเจ้าหลวง พระองค์ทรงกำหนดให้เมืองกวนหยุนเป็นเมืองหลวงรอง ซึ่งมีศักดิ์เทียบเท่ากับเมืองจินหลิง ซึ่งเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิจะเสด็จมาประทับเป็นครั้งครา
เพียงแต่ว่านอกจากตำหนักส่วนวังหลังแล้วนั้น อาคารรอบนอกที่เคยเป็นราชสำนักของขุนนางในอดีตถูกเปิดสู่สาธารณชนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของเมืองกวนหยุน
กวนหยุนถายก็ถูกเปิดให้สาธารณะเข้าเยี่ยมชมเช่นเดียวกัน ทะเลหมอกที่มีอยู่นับพันปีได้เผยสู่สายตามวลมนุษยชาติในที่สุด
อู๋เทียนซื่อใช้วังหลังเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับการเดินทางครานี้
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาอยู่อาศัยมานานหลายปี วันนี้มีโอกาสได้กลับมา เขารู้สึกสนิทชิดใกล้กับบรรยากาศที่นี่มากยิ่งนัก
“เมื่อพำนักอยู่ที่นี่ เจิ้นรู้สึกราวกับว่าได้เห็นบรรพบุรุษของเจิ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย ! ”
อู๋เทียนซื่อนั่งอิงเตาผิง พร้อมกับหันไปมองกงฮ้วนอวี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม อีกทั้งยังมีอดีตเสนาบดีที่เกษียณอายุตั้งแต่สมัยราชวงศ์อู๋ เขายิ้มพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฉางอันเพื่อทำให้ต้าเซี่ยพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ทว่าในใจของเสด็จพ่อหรือแม้แต่ในใจของเจิ้นเองก็ยังเป็นห่วงเมืองกวนหยุน พวกเจ้าได้อุทิศตนให้ประเทศชาติมามากมาย และทุกวันนี้ก็ได้เกษียณอายุออกไปแล้ว”
ในห้องนี้มีท่านจวงอดีตอาจารย์อาวุโสแห่งสำนักศึกษาหลีซาน และมีอดีตเสนาบดีทั้งหกกรมอยู่ด้วยกันเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เซียวยวี่โหลวอดีตเสนาบดีกรมพิธีการ โหยวเซียนจืออดีตเสนาบดีกรมคลัง จูเว่ยอดีตเสนาบดีกรมยุทธการ เหวินซือหยวนอดีตเสนาบดีกรมขุนนาง กวนซานเฉียนเสนาบดีกรมราชทัณฑ์เป็นต้น
อดีตเสนาบดีเหล่านี้ อายุมากแล้วจึงถูกฟู่เสี่ยวกวนโยกย้ายมารับหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีโดยให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในปีนั้น
เพียงเเต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้บังคับเข้มงวดกับสมาชิกวุฒิสภาเท่าใดนัก พวกเขาสามารถขอเกษียณอายุได้ ทว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้สละราชบัลลังก์ หลังจากที่อู๋เทียนซื่อขึ้นครองบัลลังก์ และหลังจากที่อู๋เทียนซื่อยืนกรานที่จะสร้างตำหนักให้ได้นั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะเดินทางออกมาจากเมืองฉางอัน
มาตุภูมิของพวกเขาอยู่ที่เมืองกวนหยุน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกกลับมาที่นี่
เมื่อวานฝ่าบาททรงเสด็จกลับมา พระองค์ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้เข้าเฝ้า นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าบาทยังทรงมีต่อเสนาบดีเก่าแก่ เห็นได้ชัดเจนว่าฝ่าบาททรงระลึกถึงอ้อมกอดของเสนาบดีเก่าแก่ทั้งหลาย
เรื่องนี้ต้องประกาศให้ชาวประชาทราบในหนังสือพิมพ์ต้าเซี่ยรายสัปดาห์ ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้าเพิกเฉย
แม้จะจากศูนย์กลางอำนาจของประเทศมานานกว่าครึ่งปี ทว่าพวกเขายังคงติดตามนโยบายทุกอย่างของต้าเซี่ย และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมติดตามว่าจักรพรรดิพระองค์นี้จะทรงมีการเปลี่ยนแปลงใดหรือไม่
ความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ก่อนที่จะจากเมืองฉางอันมีแต่ความผิดหวัง แล้วบัดนี้เล่า ?
ทุกวันนี้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงตนเองไปมากน้อยเพียงใดกัน ?