นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 132 สายฝนหนาวเหน็บโปรยปราย
ตอนที่ 132 สายฝนหนาวเหน็บโปรยปราย
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบ ฝนตก ณ เมืองจินหลิง
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัวผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ฟู่เสี่ยวกวนพำนักอยู่ที่จวนของหยูเวิ่นหวินได้สิบกว่าวัน จากการดูแลรักษาอย่างดีของหมอหลวง สภาพร่างกายของเขาจึงฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อห้าวันก่อนเขาได้เดินทางออกจากพระราชวัง เนื่องจากจวนใหญ่ที่ทะเลสาบซวนอู่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานนั่งอยู่ที่หอเถาหรานกลางสวนดอกไม้ ในมือของเขาถือคันเบ็ดที่ติดเหยื่อตกปลาไว้ในมือ และนั่งรอปลามาติดเบ็ด
ต่งชูหลานถือสมุดบัญชีแล้วนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอย่างสงบ
ฝนในช่วงต้นฤดูหนาวตกลงมากลางทะเลสาบ หยดน้ำจาง ๆ รวมตัวกันหนาแน่น หมอกบาง ๆ กระจายอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ มองออกไปช่างน่าตื่นตานัก ทะเลสาบและท้องฟ้าบรรจบเชื่อมต่อเป็นแผ่นเดียวกัน
“อีกเพียงห้าวัน ถิงเหม่ยก็สามารถเปิดกิจการได้แล้ว ข้าคิดว่าเราเลือกเวลาไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ควรจะเลือกฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนคาดว่าจะได้ผลดีกว่านี้” ต่งชูหลานเอ่ยขึ้น
“อืม ไม่เป็นไร ช่วงนี้เราจะต้องทำการโฆษณาให้ร้านค้าและสินค้าของเราเป็นที่รู้จักเสียก่อน เนื่องจากการที่จะได้รับความยอมรับจากสตรีทั้งหลาย ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดพลางหยิบธัญพืชมากำหนึ่งแล้วโปรยลงไป ธัญพืชนี้เขาใช้สำหรับหมักสุราเทียนฉุนเชียว เหตุใดปลาจึงไม่มาติดเบ็ดกัน ?
“เจ้ากลับเข้าไปด้านในก่อนเถิด ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงเท่าใดนัก”
“มิเป็นไร เพียงแต่แขนข้างซ้ายเท่านั้นที่ยังไม่สามารถใช้แรงได้มาก แต่แผลที่…ก้น ก็ทำให้ลำบากยิ่งยามลุกนั่ง”
ต่งชูหลานมองค้อนเขา และคำนวณบัญชีที่อยู่ในมืออีกครั้งแล้วกล่าวว่า “จวนนี้ใช้เงินในการปรับปรุงจำนวน 107,800 ตำลึง เป็นรายได้ที่มาจากการจำหน่ายหนังสือความฝันในหอแดงทั้งสิ้น……”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ แล้วหัวเราะกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องมารายงานแก่ข้า ข้าเห็นตัวเลขเหล่านี้แล้วปวดหัวยิ่งนัก เงินเหล่านั้นเจ้าจะนำไปทำอันใดก็ตามแต่เจ้าเถิด มิต้องกังวลว่าท่านพ่อข้าจะมิมีเงิน นอกเสียจากในบัญชีเจ้ามีเงินน้อยกว่า 50,000 ตำลึง”
ต่งชูหลานมองดูฟู่เสี่ยวกวน นางเองก็ชื่นชอบการกระทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงมิได้เอ่ยถึงเรื่องรายรับอีก
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางจะต้องรายงานฟู่เสี่ยวกวนนั่นคือ “นับจากที่เจ้าย้ายเข้ามายังที่นี่ ฝ่าบาทได้ทรงมอบป้ายจวนฟู่ที่ทรงเขียนด้วยตนเองมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งนั้นแขวนไว้ที่นี่ อีกทั้งดีหมี 5 คู่ โสมโบราณ 100 ต้น หยกขาวและอุปกรณ์การเขียนอักษรทั้งสี่ อ้อ แล้วก็ตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งหกนั้นส่งคนมา หนึ่งในนั้นมีเยี่ยนซือเต้าจากจวนเยี่ยน ชืออีหมิงจากจวนชือ ฉินโม่เหวินจากตระกูลฉิน เฟ่ยปังจากจวนเฟ่ย สีฉวินเหมยจากจวนสี…พวกเขาเหล่านี้นำของกำนัลมาให้เจ้ามากมาย เหตุใดเจ้าจึงต้องแสร้งทำเป็นหลับและมิพบปะกับพวกเขาเล่า ? ”
ต่งชูหลานไม่เข้าใจเสียจริง หากว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการตั้งหลักปักฐานที่เมืองหลวง เขาควรใช้โอกาสนี้ผูกสัมพันธ์กับพวกเขามิใช่หรือ ?
แต่ทุกทีที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่ามีคนมาเยี่ยม เขาก็จะวิ่งไปยังห้องนอน และมิอยากพบปะกับผู้ใด
แม้ว่าต่งชูหลานจะรู้ดีว่าเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบทำร้ายนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ทั้งหก แต่การปฏิบัติตามมารยาทเช่นนี้ก็มิได้มีสิ่งใดเสียหาย
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ และกล่าวว่า “บัดนี้ยังมิถึงเวลา เจ้าอย่าได้เอ่ยกับใครว่าข้าหายดีแล้ว แม้แต่ท่านพ่อตาถามไถ่ก็จงบอกว่าข้ายังมิอาจลงจากเตียงได้”
ต่งชูหลานอายหน้าแดง นางกัดปากตนแล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจจะหลบหนีไปถึงเมื่อไหร่กัน ? ”
“อีกสัก 3 วัน”
“เพราะเหตุใด ?”
“เนื่องจากสิ่งของที่พวกเขานำมาให้นั้น…ยังมิพอ ! ”
……
……
ณ หอชิงโหลวแสนอบอุ่น ไม่ว่าอากาศข้างนอกจะหนาวเหน็บเพียงไร แต่ภายในนั้นมีสตรีงามคอยดูแลรินชาและเหล้าตลอดเวลา อีกทั้งยังขับร้องบทเพลงกล่อมจิตใจให้สงบคลายกังวล
ส่วนบ่อนพนันช่างครึกครื้นยิ่ง บางคนได้เป็นเศรษฐีในชั่วคืน
ทิศเหนือของตรอกชิงหลวนมีหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่าหอเยียนจือ
ทิศใต้ของตรอกชิงหลวนมีบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่าหย่งเล่อฟาง
บัดนี้ทั้งสองที่ครึกครื้น แสงไฟส่องสว่างไสว หรูหราตระการตา
ด้านข้างหอเยียนจือ มีพระรูปหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน รอบกายเขาถูกล้อมรอบด้วยชายรูปร่างกำยำหลายสิบคนยืนกำดาบไว้ในมือ
พระรูปนั้นยิ้มและมองไปยังชายกลุ่มนั้น สายตาเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชายผู้หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้ารับผิดชอบหลินหงใช่หรือไม่ ? ”
เขารีบโค้งตัวแล้วตอบกลับว่า “เรียนเจ้าสำนัก หลินหงเป็นเพียงแค่สาวรับใช้ของเฟิ่งหลิงเอ๋อร์”
“เจ้าจงบอกข้ามาว่าหลินหงอยู่ที่ใด ? ”
“เรื่องนี้…ข้าน้อยมิทราบ ขอท่านเจ้าสำนักโปรดลงโทษด้วย”
“ข้าต้องลงโทษเจ้าแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงลง ลูกประคำเม็ดหนึ่งลอยมาจากในมือเขา ชายผู้นั้นเบิกตากว้าง ตาข้างหนึ่งของเขาถูกลูกประคำฝังลงไป เขาล้มลงกับพื้นและดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวดพระรูปนั้นเดินไปยังเขาและเก็บลูกประคำนั้นขึ้นมาร้อยดังเดิม
“พวกเจ้าจงจำไว้ ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ หากผิดพลาดก็คือตาย”
เมื่อเขาพูดจบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เปลี่ยนไป “จัดการมันซะ ! ”
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากตรอกชิงหลวน !
บัดนี้ได้เดินมาถึงหอเยียนจือแล้ว !
พวกเขาสวมชุดสีดำ ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าสีดำ ในมือถือดาบ
ไม่มีผู้ใดกล่าวคำพูดออกมา ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดแกว่งดาบ คนชุดดำกลุ่มนั้นบุกเข้าไปในหอเยียนจือ เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วสารทิศ ลูกประคำในมือของพระรูปนั้นถูกดีดไปยังชายผู้เดินนำหน้ามา ชายชุดดำแกว่งดาบตัดลูกประคำออกเป็นสองท่อน
“ลวี่ซั่ง ! ”
“พวกเจ้าเป็นคนจากชิงเฟิงซี่หยู่…”
ดาบคมกริบฟันลง ศีรษะและร่างกายของพระรูปนั้นจนแยกออกจากกัน !
เพียงเวลาธูปหนึ่งเล่ม คนชุดดำกลุ่มนั้นเดินถือดาบนองเลือดออกมา และเพียงเวลาธูปหนึ่งเล่ม พวกเขาก็จุดไฟเผาแล้วหายตัวไปท่ามกลางสายฝน
จวนผู้ว่าการเมืองจินหลิง ฉินโม่เหวินมองออกไปด้านนอก แล้วกล่าวกับหนิงหยู่ชุนที่จะมารับตำแหน่งแทนเขาว่า “น่าจะถึงเวลาแล้ว ส่งคนไปจัดการเก็บศพเถอะ”
ณ จวนฟู่ทะเลสาบซวนอู่ องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแก้วสุดท้าย กล่าวว่า “แม่นางที่ชื่อว่าหลินหงนั้น เจ้านำนางไปซ่อนไว้ที่ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัวและตอบว่า “ข้ามิได้แม้แต่ย่างกรายออกจากที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ที่ฉินโม่เหวินจะเป็นคนจับตัวนางไป ? ข้าจำได้ว่าข้าเป็นคนบอกกับเขาเอง เรื่องที่หอเยียนจือมีสตรีชื่อว่าหลินหง ซึ่งนางอาจจะรู้เบาะแสบางอย่าง”
“หากเจ้านำตัวนางมาให้ข้า เรื่องนี้อาจทำให้เป็นเพียงบทความที่จบลงอย่างงดงาม”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังนอกหน้าต่าง ผ่านไปชั่วครู่จึงยิ้มตอบว่า “เรื่องการเขียนบทความนั้น ท่าน สู้ข้ามิได้”
หยูเวิ่นเต้ามองฟู่เสี่ยวกวนอยู่นาน จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินจากไป “ฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้น อากาศเริ่มเย็นลง หวังว่าเจ้าจะหนาวเหน็บ ! ”