นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1322 นโยบายอันเหลวไหล
ตอนที่ 1322 นโยบายอันเหลวไหล
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่ห้า เดือนสิบสอง วันที่สามสิบ
ท้องนภาสดใส หลังจากหิมะโหมกระหน่ำ วันนี้เมืองฉางอันมีความคึกครื้นเป็นพิเศษ
ความคึกครื้นเเบบนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งต้าเซี่ย พวกเขาใช้ชีวิตสุขสบายมานานหลายปี และวันคืนจะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกวันนี้ทุกคนต่างก็ลืมตาอ้าปากได้แล้ว หนึ่งปีที่ผ่านมา ครอบครัวได้เก็บหอมรอมริบเงินทองได้จำนวนหนึ่งแล้ว เมื่อถึงช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่พวกเขาก็จะนำออกมาใช้สอยกันอย่างสนุกมือ
สำหรับราษฎรเเล้วนั้น นี่คือยุคสมัยอันรุ่งเรืองและน่าหวงแหนอย่างถึงที่สุด หวังว่าคืนวันเช่นนี้จะดำรงอยู่ตลอดกาลนาน หวังว่าต้าเซี่ยจะคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป
แต่สำหรับอู๋เทียนซื่อจักรพรรดิหนุ่มแล้วนั้น ปีนี้เป็นปีที่กระวนกระวายใจยิ่งนัก มิสบายใจ ขัดข้อง และทุกข์ร้อนในใจเป็นอย่างยิ่ง
คลังส่วนพระองค์มิมีเงินหลงเหลืออีกแล้ว
หน่วยพระราชวังชั้นในมีมากมายหลายชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยตน
เดิมทีตนต้องการนำกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) กลับมาให้กงฮ้วนอวี่ดูแล เพื่อเเก้ไขปัญหาเงินมิพอใช้ แต่คาดมิถึงเลยจริง ๆ ว่าหลี่จินโต้วจะกระจายกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ออกไปหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือน !
หลี่จินโต้วได้ให้เหตุผลที่ทำให้อู๋เทียนซื่อมิอาจเอาผิดเขาได้ ซึ่งเหตุผลนั่นก็คือก่อนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะเสด็จล่องมหาสมุทร พระองค์ทรงกำชับกระหม่อมเอาไว้เช่นนี้ เพราะจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะเสด็จออกมหาสมุทร ดังนั้นกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) จึงมิอาจแข่งขันด้านผลประโยชน์กับพ่อค้าชาวต้าเซี่ยได้อีกต่อไป ต่อให้ได้กินของอร่อยก็ต้องคายออกมา จำต้องแบ่งผลกำไรให้พ่อค้าชาวต้าเซี่ยทั้งหมด
อู๋เทียนซื่อมิกล้าเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนยังมิกลับมา เขาก็มิกล้าเผชิญหน้าอยู่ดี
“แล้วเงินในกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) อยู่ที่ใดหมดแล้วเล่า ? ”
หลี่จินโจ้วยกยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงนำเงินทั้งหมดติดตัวไปด้วย เพราะจำเป็นต้องสถาปนาอิงเทียนขึ้นมา ! ”
ก็ยังไร้ข้อให้ตำหนิติเตียนอยู่ดี เขายังอธิบายอีกว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงขนภูเขาทองคำที่จายซิงถายไปทั้งหมดเช่นเดียวกัน
คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยถึงอิงเทียนให้อู๋เทียนซื่อฟัง เขาเคยบอกว่าก่อนที่จะสละราชบัลลังก์ เขาอยากทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นคราสุดท้ายให้ต้าเซี่ย หลังจากนั้นจะจากไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่กล่าวถึงก็คือการทำศึกพิชิตแดนไกล และสถานที่ที่เขาจะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวก็คืออิงเทียน
เขาบอกว่าจะสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่เทียบเท่าต้าเซี่ยขึ้นมา และเขาจะทำนาอยู่ที่นั่น เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน...
ทว่าท่านกลับขนเงินไปมากมายมหาศาล เงินตั้งมากมายถึงเพียงนั้น เพียงพอที่จะก่อร้างสร้างแคว้นใหม่ขึ้นมา !
อู่เทียนซื่อยืนอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนักหยางซิน มองดูกิ่งต้นเหมยที่โค้งงอเพราะถูกหิมะกดทับ เขาสูดเอาลมเย็นเข้าไป จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่า…ถ้าหากเสด็จพ่อสถาปนาแคว้นขึ้นมาที่อิงเทียน ต้าเซี่ยควรจะเป็นประเทศราชของอิงเทียน…หรืออิงเทียนจะเป็นประเทศราชของต้าเซี่ย”
กงฮ้วนอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขารีบโค้งกายลงคารวะ “ฝ่าบาท ที่นี่ต่างหากถึงจะเป็นดินแดนอันชอบธรรมของต้าเซี่ย อีกอย่าง…ในเมื่อจักรพรรดิพระเจ้าหลวงมิทรงหวงแหนตำแหน่งจักรพรรดิ เช่นนั้นคาดว่าพระองค์คงมิสถาปนาแคว้นขึ้นมาที่อิงเทียน”
“เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงขนเงินทองมากมายถึงเพียงนั้นไปทำอันใดกัน ? ”
“เอ่อ…ผืนปฐพีนั่นนอกจากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแล้ว เกรงว่าจะมิมีผู้ใดทราบอีก บางที…บางทีอาจจะเป็นดินแดนรกร้างไร้ซึ่งผู้คน อีกอย่างเนื่องจากจักรพรรดิพระเจ้าหลวงมีพระประสงค์ที่จะปลดเกษียณ เกรงว่าพระองค์คงมิสนพระทัยที่จะทำกิจการเพื่อหาเงินอีกต่อไป เงินทองเหล่านั้น คาดว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงน่าจะเก็บเอาไว้ใช้จ่ายเพื่อทำให้พระองค์และบรรดาพระสนมใช้ชีวิตอย่างสุขสบายพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เขาคิดจะเป็นเศรษฐีที่ดินนี่ ! ”
“เมื่อมีเงินทองเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถเป็นเศรษฐีที่ดินที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วบัดนี้พวกเราควรทำเยี่ยงไรต่อไป ? เมื่อมิมีเงิน หน่วยพระราชวังชั้นในเห็นทีคงต้องแตกกระเซิงไปคนละทิศละทาง”
“ฝ่าบาททรงสบายพระทัยได้ เพราะเงินตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณจากท่านจ่งตูท่าป๋าวั่งใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว พวกจ้าวโฮ่วก็คงใกล้จะสืบความได้แล้ว เมื่อพวกจ้าวโฮ่วกลับมา…กรมคลังก็จะกลายเป็นของฝ่าบาท ! ”
“เจ้าพวกนี้ แค่เรื่องง่าย ๆ เรื่องเดียวต้องใช้เวลาจัดการถึง 3 เดือน ! กรมคลังมีรายการเดินบัญชีตั้งมากมาย ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนนับร้อยล้านตำลึง พวกเขามิมีปัญญาจะหาช่องโหว่ได้เลยหรือ ? เจิ้นมิเชื่อว่าหยุนซีเหยียนผู้นี้จะไร้มลทิน เมื่อกลิ้งลงมาจากภูเขาเงินภูเขาทอง แม้มันจะมิติดหน้าแม้แต่อีแปะเดียว ทว่าเยี่ยงไรที่เท้าก็น่าจะมีบ้าง แม้ว่าจะมิมี…ก็ต้องติดตามร่างกายบ้างสิ ! ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ส่งจดหมายถึงจ้าวโฮ่วแล้ว เขาทราบดีว่าควรทำเยี่ยงไร… เพราะสุดท้ายแล้วหยุนซีเหยียนก็เป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง ถ้าหากว่าเอาผิดมิเด็ดขาด อาจจะนำไปสู่หายนะได้”
“เพื่อเเบ่งเบาความกังวลพระทัยของฝ่าบาท นี่เป็นหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมมีอีกหนึ่งเรื่องที่จะขอคำแนะนำจากฝ่าบาท”
“เจ้าว่ามา”
“หอเทียนจีเป็นองค์กรข่าวสารที่ลึกลับและมีขนาดใหญ่ที่สุดในต้าเซี่ย เมื่อคราที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงครองบัลลังก์อยู่นั้น พระองค์ก็ให้ความสนใจหอเทียนจีเป็นอย่างมากมิใช่หรือ กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรนำหอเทียนจีมาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์เสีย ! ”
“ฝ่าบาททรงพระราชดำริให้ถี่ถ้วนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ทุกคราที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงเสด็จออกพิชิตแดนไกล ล้วนมีหอเทียนจีเดินทางนำหน้าทุกครา กองทัพต้าเซี่ยได้นำสายลับของหอเทียนจีไปเข้าร่วมหลายคน เพื่อความแม่นยำในการรายงานข้อมูลของฝ่ายศัตรู ด้วยเหตุนี้รบกี่คราจึงชนะทุกครา”
“กระหม่อมคิดว่า มิแน่วันข้างหน้าฝ่าบาทอาจจะเสด็จออกรบด้วยพระองค์เอง เฉกเช่นจักรพรรดิพระเจ้าหลวง จากนั้นค่อยขยายให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ดังนั้นฝ่าบาทควรจะเรียกจี้หยุนกุยมาเข้าเฝ้า หากสามารถปราบจี้หยุนกุยได้ เช่นนั้นการที่จะจัดการกับเสนาบดีเหล่านั้นก็คงง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ! ”
อู๋เทียนซื่อรู้แจ้งทันพลัน
เขาขึ้นครองบัลลังก์มาปีกว่าแล้ว เขามิเคยคิดถึงหอเทียนจี แผนกที่มิได้สลักสำคัญอันใด
บัดนี้เมื่อได้กงฮ้วนอวี่คอยย้ำเตือน เขาจึงฉุกคิดคำที่เสด็จพ่อเคยเอ่ยเอาไว้ได้ จี้หยุนกุยหัวหน้าหอเทียนจีเป็นคนที่สามารถไว้วางใจได้เทียบเท่ากับเสนาบดีทั้งสามฝ่าย เขาจงรักษ์ภักดีต่อข้า และจงรักภักดีต่อต้าเซี่ย ถ้าเจ้ามีเรื่องยากลำบากประการใด ก็สามารถปรึกษาจี้หยุนกุยได้
แต่เสนาบดีทั้งสามมิควรค่ากับความไว้ใจของข้าเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังขัดใจข้าอยู่เรื่อย ดังนั้นจี้หยุนกุยจะเป็นเหมือนพวกเขาหรือไม่ ?
เยี่ยงไรก็ต้องได้เจอได้สนทนากับเขาเสียก่อนถึงจะทราบได้
“หลิวจิ่น ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าจงไปจวนตระกูลจี้ แล้วเชิญท่านใต้เท้าจี้มาเข้าเฝ้าในวันที่สอง เดือนหนึ่ง เจิ้นจะเชิญเขามาดื่มสุรา”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลิวจิ่นจากไปพร้อมกับคำสั่ง อู๋เทียนซื่อเงยหน้ามองท้องนภาสีคราม “เมื่อขึ้นปีใหม่ เจิ้นก็จะอายุ 15 ปีแล้ว”
“เมื่อขึ้นปีใหม่ ก็จะก้าวเข้าสู่รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หกแล้ว”
“ในรัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หกนี้ เจิ้นมีเรื่องสำคัญสองสามประการที่ต้องจัดการให้สำเร็จ ! ”
“เรื่องแรกเจิ้นต้องคว้ากรมคลังมาอยู่ในมือให้ได้ เรื่องที่สอง…กองทัพต้าเซี่ยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นก็ฟื้นฟูกลุ่มบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ขึ้นมา ข้ายังคงมอบหมายให้เจ้าเป็นผู้ดูแลดังเดิม ส่วนกิจการ…ก็เอาตามกิจการที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ หรืออาจจะใช้วิธีควบกิจการของฝั่งเอกชนก็ได้”
“เจิ้นกำลังคิดว่า…ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเจิ้น ในเมื่อพ่อค้าต่างกอบโกยเงินทองจากนโยบายของต้าเซี่ย เช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องอุทิศบางอย่างให้แก่ต้าเซี่ย”
“ให้นำกิจการบางอย่างมาเป็นของประเทศ แต่จะต้องจัดการในนามของบริษัทจินเฟิ่งต้าเซี่ยกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขนส่งสินค้า โรงงานจิ่นซิว หรือกลุ่มบริษัทค้าธัญพืชต่าง ๆ ”
“แต่เรื่องนี้เจ้าจำต้องใช้ลูกเล่นสักหน่อย กิจการของเหล่าแม่ ๆ ของข้ามิอาจแตะต้องได้ ส่วนที่เหลือสามารถแตะต้องได้ทั้งหมด ส่วนกิจการเล็ก ๆ มิต้องไปเหลียวมองมัน”
กงฮ้วนอวี่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะเล่นไม้นี้ !
ตามกฎหมายการค้าของต้าเซี่ย ฟู่เสี่ยวกวนเคยเน้นย้ำมาก่อนแล้วว่ามิอาจละเมิดสิทธิของเอกชนได้…
“ฝ่าบาท นี่มัน…ผิดกฎหมายพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“นี่มิใช่กลอุบายหลอกลวง แต่เป็นการบริหารร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์เยี่ยงไรเล่า ! ”
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ อู๋เทียนซื่อก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ใช้สมองให้มากกว่านี้หน่อยสิ เยี่ยงไรก็ต้องมีวิธีอยู่แล้ว ! ”