นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1324 เจตนาต่างกัน
ตอนที่ 1324 เจตนาต่างกัน
อู๋เทียนซื่อเสร็จมาร่วมงานเลี้ยงในคืนวันสิ้นปีที่จวนตระกูลจัว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหารที่วางไว้จนเต็มโต๊ะ อู๋เทียนซื่อกลับไร้ความอยากอาหารอย่างสิ้นเชิง
เขาดื่มสุราเพียงมิกี่อึก กินอาหารเพียงมิกี่คำก็บอกลาจัวอี้สิง แล้วเดินทางกลับมายังพระราชวัง
เมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับ ทั้งยังจากไปด้วยความกริ้วโกรธ ค่ำคืนวันสิ้นปีของจวนตระกูลจัวกร่อยลงทันใด ทุกคนกินอาหารเพียงสองสามคำก็หมดอารมณ์ลงทันใด
ปู่ พ่อและหลานคนสามรุ่นนั่งอยู่ในห้องหนังสือตระกูลจัว แน่นอนว่าบรรยากาศในตอนนี้มีความอึมครึม ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นเพราะอันใด
“ข้าชรามากแล้ว”
จัวอี้สิงยกถ้วยชาที่จัวตงหลายส่งมาให้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “อีกอย่างข้าก็มิใช่เสนาบดีของต้าเซี่ยอีกต่อไป ข้าเป็นเพียงหัวหน้าคณะรัฐมนตรีที่มีสิทธิ์ในการลงประชามติเพียงเท่านั้น”
“ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าคงมีความคิดและมีประสบการณ์ที่จะวางแผน เพื่อให้พระราชประสงค์ของฝ่าบาทเป็นจริง”
“ทว่าตอนนี้…”
จัวอี้สิงเปิดฝาครอบถ้วยชาออก จากนั้นก็เป่า “บัดนี้ข้ามิมีกำลังมากพอแล้ว อีกอย่างตอนนี้ข้าเห็นความก้าวหน้าของต้าเซี่ยเป็นประจักษ์แก่สายตาแล้ว แม้ว่าจะเป็นเวลาแค่สองปีที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงได้จากต้าเซี่ยไป ทว่าในสายตาของข้า สิ่งที่ข้าเห็นก็คือพวกเยี่ยนซีเหวินบริหารประเทศได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
“ดังนั้นหากให้เอ่ยออกมาจากใจจริง ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะสามารถเดินตามเส้นทางที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงจัดเตรียมไว้ให้ แท้ที่จริงเป็นเช่นนี้พระองค์ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายไร้ความกังวล ต้าเซี่ยก็จะมั่นคงและพัฒนาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ดังเดิม”
“ทว่ามิรู้เหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงได้หลงใหลในอำนาจถึงเพียงนี้…”
จัวอี้สิงจิบชาหนึ่งอึกแล้วหันหน้าไปมองจัวเปี๋ยหลี “เจ้าทราบหรือไม่ว่าอันใดทำให้ทหารบกต้าเซี่ยรบมิมีวันแพ้ ? ”
“เขาคงคิดว่า…ทหารบกต้าเซี่ยก่อตั้งขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของจักรพรรดิพระเจ้าหลวง คงจะเชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแต่เพียงผู้เดียว คงคิดว่าการเสียสละเพื่อประเทศเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด ทำให้รบกี่คราก็มิมีวันพ่ายแพ้”
จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่ายศีรษะ “เขาคิดผิดเเล้ว กองทัพบกต้าเซี่ยพัฒนามาจากดาบเทวะในวันนั้น ! ”
“ความเป็นมาของดาบเทวะเริ่มต้นมาจากเมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนยังอาศัยอยู่ที่เมืองหลินเจียงเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขาได้ก่อตั้งกองทัพดาบเทวะที่หนึ่งขึ้นมาบนภูเขาเฟิ่งหมิง บัดนี้มิว่าจะเป็นทหารบกหรือทหารเรือ ล้วนมีทหารเก่าจากกองทัพดาบเทวะทั้งสิ้น”
“ทหารเก่าเหล่านี้ได้เผยแพร่จิตวิญญาณและเจตนารมณ์ของกองทัพทหารดาบเทวะให้แก่ทหารรุ่นใหม่ เพื่อให้ทหารนับล้านของต้าเซี่ยต่างทราบถึงเกียรติการรบและประวัติอันรุ่งโรจน์ของกองทัพดาบเทวะ”
“นี่ก็คือจิตวิญญาณทางการทหารของกองทัพบกและกองทัพเรือแห่งต้าเซี่ย ! ”
“เพราะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทหารต้าเซี่ยถึงได้มีกระดูกสันหลังที่แข็งแกร่ง และมีเจตนารมณ์ที่ตั้งมั่นแน่วแน่ !”
“บัดนี้อู๋เทียนซื่อต้องการเปลี่ยนทหารทั้งหมด…”
จัวอี้สิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหลับตาลง ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ลืมตาขึ้นมา “ที่เขาทำเพราะต้องการให้ทหารของต้าเซี่ยไร้จิตวิญญาณ เขาต้องการหักกระดูกสันหลังของทหารต้าเซี่ยให้แหลกสลาย ! ”
จัวเปี๋ยหลีตั้งใจฟังทุกประโยค ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่วออกมาว่า “จากความเห็นของท่านพ่อ ท่านคิดว่าลูกควรทำเยี่ยงไรดี ? ”
“เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนยังมิตาย ! ”
“เขาแค่เดินทางไปยังประเทศที่ไกลแสนไกล ! ”
“เยี่ยงไรเขาก็ต้องกลับมา ! ”
“เจ้าลองคิดดูเถิด เมื่อเขากลับมาเห็นทุกอย่างเละเทะมิเหลือซากเช่นนี้…เขาจะคิดเยี่ยงไร ? เขาจะมองอู๋เทียนซื่อเยี่ยงไร ? ”
“อู๋เทียนซื่อมีสายเลือดตระกูลจัวของเรา เพียงแต่ เพียงแต่ว่า…ตอนที่เขาทำเรื่องเหลวไหลเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา ข้ากลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่ได้สนทนากับหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงแล้วนั้น ข้าคิดว่าพวกเขาเอ่ยได้ถูกต้อง”
“มิมีผู้ใดสามารถทำให้ประวัติศาสตร์หวนกลับคืนมาได้ ! ”
“สติปัญญาของราษฎรชาวต้าเซี่ยค่อย ๆ เปิดกว้างขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้สนับสนุนให้มีการศึกษาเล่าเรียนอย่างกว้างขวาง วันนี้มันได้ผลขึ้นมาแล้ว กรงที่ครอบอยู่เหนือศีรษะของราษฎรได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และรอยแตกนั้นก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ! ”
“เมื่อราษฎรไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อขุนนางท้องถิ่น พวกเขากล้าที่จะเอ่ยถามถึงนโยบาย ตอนนี้พวกเขาได้เงยหน้าขึ้นมาแล้ว สายตาทอดมองได้กว้างไกลยิ่งกว่าเดิม หากคิดที่จะปิดสองตาของพวกเขาให้มืดบอด และกดศีรษะของพวกเขาให้ต่ำลงดังเดิม…เกรงว่าจะนำมาสู่การลุกฮือต่อต้านในท้ายที่สุด ! ”
“เมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนยังคงปกครองอยู่นั้น เขาเคยป่าวประกาศต่อราษฎรว่า…เมื่อใดที่รู้สึกว่าสิทธิของตนถูกลิดรอน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มอำนาจ ! ”
“คำกล่าวนี้ถูกบรรจุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งยังเป็นที่แพร่หลายในหมู่ราษฎร ทุกวันนี้มันยิ่งได้รับการยอมรับจากราษฎรมากขึ้นกว่าเดิม หากจะกลับไปใช้กฎหมายเหมือนในอดีต เจ้าคิดว่าราษฎรจะยินยอมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ดังนั้น การปลดทหารสามารถทำได้ในบางส่วน แต่จำต้องคงจิตวิญญาณนั้นเอาไว้ ! ”
“นอกจากนี้…หอเทียนจีได้ส่งสายลับไปยังทั้งสองเต้าของเขตเยวี่ยซานจำนวนมิน้อย พ่อได้ข่าวมาว่าอู๋เทียนซื่อได้ส่งคนในหน่วยพระราชวังชั้นในเข้าไปหาความผิดให้แก่หยุนซีเหยียน”
“ทหารช่างของต้าเซี่ยอยู่ในความดูแลของเจ้า เรื่องนี้…มิว่าเยี่ยงไรกรมยุทธการของเจ้ามิอาจเข้าไปพัวพันได้เด็ดขาด และห้ามมิให้สร้างหลักฐานปลอมขึ้นมา ! ตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังของหยุนซีเหยียน มิมีผู้ใดทราบถึงความสำคัญของตำแหน่งนี้ได้ดีไปกว่าข้าแล้ว ! ”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้เช่นนี้ ถ้าหากหยุนซีเหยียนถูกใส่ร้ายจนเป็นเหตุให้ต้องติดคุกเมื่อใด ! เมื่อนั้นกรมคลังจะเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันใด อีกอย่าง…เจ้าอย่าได้หลงลืมความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเขากับฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“ข้าขอเตือนเจ้าอีกคราว่าฟู่เสี่ยวกวนยังมิตาย ! เขาจะกลับมาสักวันหนึ่ง ! ”
จัวอี้สิงเอ่ยจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
เขาเอนตัวพิงบนพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้ทอดถอนหายใจออกมา “ข้าเคยโน้มน้าวฝ่าบาท โน้มน้าวมาหลายครา… เขาถือเป็นเหลนของข้าคนหนึ่ง เหตุใดเขาถึงดื้อดึงที่จะเดินบนเส้นทางสายดำมืดสกปรกเยี่ยงนี้กันนะ ? ”
“ตระกูลของพวกเรามิสามารถเดินบนเส้นทางสายนี้ได้ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมา เขาจะนำข่าวดีคราใหญ่มาให้พวกเรา ต้าเซี่ยจะต้องผงาดขึ้นมาและยืนตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้าอย่างแท้จริง ! ”
“ข้าชรามากแล้ว ทว่าตงหลายยังหนุ่มยังแน่น พวกเขาจะต้องได้เห็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองที่ยากจะจินตนาการถึง… ดังนั้นแล้วเส้นทางของตระกูลจัว ข้าเกือบจะเดินทางผิดไปแล้ว ต่อไปนี้ตระกูลจัวข้าคงจะมอบให้เจ้าดูแล เจ้าอย่าเลือกเดินทางผิดเป็นอันขาด ! ”
“โยกย้ายกองทัพทหารบกที่สองและสามไปยังเขตปกครองตนเองซีเซี่ย แล้วจัดการสังหารท่าป๋าวั่งเสีย ! ตงหลาย เจ้าจงเตรียมตัวรับตำแหน่งจ่งตูของเขตปกครองตนเองซีเซี่ยต่อจากท่าป๋าวั่ง พรุ่งนี้ปู่จะพาเจ้าไปพบพวกเยี่ยนซีเหวิน เมื่อราชสำนักกลับมาเปิดทำการเมื่อใด…จำต้องกำจัดหน่วยพระราชวังชั้นในเสียให้เกลี้ยง ! ”
“การที่พวกเราสกัดกั้นความคิดของอู๋เทียนซื่อในตอนนี้ เขาต้องโกรธพวกเรามากเป็นแน่ แต่อย่างน้อยเขาจะยังมีชีวิตอยู่…แม้จะอยู่อย่างเจ็บช้ำสักหน่อยก็ตามที”
……
……
ณ จวนของจี้หยุนกุย
แม้ว่าจวนหลังนี้จะมีเพียงเขาและหูฉินอาศัยอยู่เพียงสองคน แต่หูฉินก็ยังทำอาหารจานใหญ่อยู่ดี ทั้งยังเตรียมสุราซีซานไว้ด้วยหนึ่งขวด
สองสามีภรรยานั่งอยู่บนโต๊ะ หูฉินรินชาให้จี้หยุนกุย เมื่อหันหน้าไปมองสามี เห็นเขายังคงขมวดคิ้วเข้มอยู่อย่างนั้น จึงอดที่จะยิ้มออกมามิได้ “อันใดกัน ? ยังขุ่นข้องใจเรื่องฝ่าบาทอยู่อีกหรือ ? เจ้าสบายใจได้ เมื่อผ่านช่วงปีใหม่ไปแล้ว พระองค์จะทรงเจริญพระชนมพรรษาขึ้นมาอีกหนึ่งพรรษา ปีหน้าฝ่าบาทอาจจะเปลี่ยนความคิดก็เป็นได้”
จี้หยุนกุยจ้องมองหูฉินแล้วยกยิ้มอย่างฝืนใจ “ถึงเยี่ยงไรเขาก็ยังเป็นบุตรของคุณชาย ! ”
“แต่การที่เขาทำเรื่องแบบนั้น…มันมิยุติธรรมต่อคุณชาย ! ”
จี้หยุนกุยยกจอกสุราขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกสับสนในตนเอง การถอดถอนจักรพรรดิมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทว่าบัดนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ! ”
หูฉินผงะเมื่อได้ยินดังนั้น “เช่นนั้นก็หมายความว่า…พระองค์ทรงทำเรื่องที่ผิดมหันต์จริง ๆ หรือ ? ”
จี้หยุนกุยพยักหน้าเบา ๆ แล้วตอบว่า “เงินในคลังส่วนพระองค์ถูกส่งไปยังเขตปกครองตนเองซีเซี่ย เพื่อเป็นทุนให้ท่าป๋าวั่งฝึกทหารจำนวนสามหมื่นนาย ! ”
“ทั้ง ๆ ที่ต้าเซี่ยเป็นของพระองค์ พระองค์จะฝึกทหารสามหมื่นนายอย่างลับ ๆ ไปเพื่ออันใดกัน ? ”
“…พวกเยี่ยนซีเหวินทราบเรื่องนี้หรือไม่ ? ”
จี้หยุนกุยส่ายศีรษะไปมา “ข้ามิได้บอกพวกเขา แต่สักวันหนึ่งก็ต้องบอกพวกเขาอยู่ดี”
เมื่อสิ้นเสียง คนเฝ้าประตูก็เดินเข้ามารายงานว่าจัวเปี๋ยหลีมาขอเข้าพบพอดี !