นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1325 วิงวอน
ตอนที่ 1325 วิงวอน
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หก เดือนหนึ่ง เมืองฉางอัน อากาศแจ่มใส
เช้าตรู่วันนี้ จัวอี้สิงโดยสารรถม้าไปยังวัดหงฟู่
นี่เป็นวัดที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างขึ้นมาให้ชุนซิ่วหลังจากที่ย้ายเมืองหลวงมายังเมืองฉางอัน แน่นอนว่ามันถูกเปิดออกสู่สาธารณชน เว้นแต่ว่าจะมีเชื้อพระวงศ์มาขอพรเท่านั้น
เจ้าอาวาสวัดหงฟู่คือพระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยที่เดินทางมาจากวัดหานหลิงของเมืองกวนหยุน บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ในกุฏิเพื่อรวบรวมพระไตรปิฎก ทันใดนั้นพระลูกวัดก็เข้ามาแจ้งว่า…จัวอี้สิงมาขอเข้าพบ
พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยย่อมรู้จักอดีตอัครมหาเสนาบดีท่านนี้ เพียงแต่ทั้งสองมิได้พบกันมานานหลายปีแล้ว เลยห้ามมิได้ที่จะเกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เชิญโยมจัวไปที่ห้องรับรองเถิด จุดเตาผิงที่ห้องรับรองด้วยล่ะ โยมจัวนั้นอายุมากแล้ว คงทนความหนาวเย็นมิไหว”
“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง ! ”
เมื่อพระลูกวัดเดินออกไป พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยจึงจัดกองหนังสือให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็พยุงร่างลุกขึ้นมา
ขาเริ่มชา เอวก็เริ่มเมื่อย ตอนนี้เองที่เริ่มรู้ตัวว่าตนเองแก่ตัวลงแล้ว
ตนอยู่อาศัยในวัดหานหลิงมาเนิ่นนาน หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนถึงได้เชิญเขามาที่นี่ อากาศที่นี่อุ่นกว่าที่เมืองกวนหยุนเล็กน้อย เขาย้ายมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้วเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะต้องหาเวลากลับไปเยี่ยมวัดหานหลิงสักหน่อยแล้วสิ
ในขณะที่คิดอยู่นั้น พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยก็เดินมาถึงห้องรับรองพอดี เห็นจัวอี้สิงนั่งอยู่หน้าโต๊ะชาแล้ว
เมื่อเห็นพระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยยเดินเข้ามา จัวอี้สิงจึงลุกขึ้นคารวะ พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยรีบร้อนคารวะตอบทันใด “ท่านอัครมหาเสนาบดีจัวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ! ”
จัวอี้สิงยิ้มเจื่อน “ท่านอาจารย์ ข้ามิใช่อัครมหาเสนาบดีอันใดนั่นแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้ที่ศรัทธาในเมืองฉางอันก็เท่านั้น”
“ทว่าในใจของอาตมานั้น ท่านยังคงเป็นอัครมหาเสนาบดีท่านนั้นอยู่ เชิญนั่งลงเถิด ! ”
“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ! ”
ชายชราทั้งสองนั่งลง พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยจัดแจงต้มชา จากนั้นก็มองมาทางจัวอี้สิง “มีเรื่องกังวลใดเยี่ยงนั้นหรือ ? อาตมาจำได้ เมื่อคราที่ยังอยู่ในวัดหานหลิง โยมเคยกล่าวว่ามิเชื่อในพระพุทธศาสนา โยมเชื่อในตนเองเท่านั้น ! ”
จัวอี้สิงหัวเราะแก้เก้อ “บัดนี้ข้าชรามากแล้ว ความเชื่อก็เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อครู่ข้ายังจุดธูปอ้อนวอนขอพระพุทธองค์อยู่เลย แต่มิได้ขอให้พระองค์ปกป้องข้า”
คิ้วพระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยกระตุกขึ้นมาทันใด “ดูเหมือนว่าโยมจัวจะขอพรให้ผู้อื่น หากให้อาตมาลองเดา…โยมจัวจุดธูปขอพรให้ฝ่าบาทใช่หรือไม่ ? ”
“ดูเหมือนว่าท่านจะทราบเรื่องนี้ด้วยสินะ”
“อืม…พอได้ยินมาบ้าง โยมจัวกังวลใจเรื่องนี้หรือ ? ”
“อืม…ข้ามิหวังให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำเยี่ยงไรเขาถึงจะเข้าใจแล้วสำนึกผิด ? ”
พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยชักสายตากลับมา จากนั้นก็จัดแจงชา โดยที่มิตอบคำถามของจัวอี้สิง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงรินชาให้จัวอี้สิง “พระพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า…ผลของทุกอย่างล้วนมาจากการกระทำในอดีต ถ้าหากพระองค์ทรงมีพระราชดำริเช่นนั้น ก็คงมีแค่การขวางทางความคิดเขาเพียงเท่านั้น ! ”
“สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกหมดหวังแน่นอนว่ามิใช่สิ่งที่ดี ทว่าหนึ่งคนสิ้นหวัง ย่อมดีกว่าคนนับร้อยล้านสิ้นหวังเป็นไหน ๆ ในเมื่อโยมจัวมาที่นี่แล้ว ในใจย่อมมีความคิดนี้เป็นธรรมดา เพียงแต่อาตมามิอาจช่วยเหลืออันใดได้”
“มิทราบว่าโยมจัวยังจำงานชุมนุมวรรณกรรม ณ ราชวงศ์อู๋ บนภูเขาหลิงซานครานั้นได้หรือไม่ อาตมาเป็นคนประพันธ์ตุ้ยเหลียนท่อนแรก”
“และฟู่เสี่ยวกวนได้มาต่อท่อนที่สอง…เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงพูดถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน”
“การสั่งสอนมีพันหมื่นวิธี มุมมองของคนนั้นมีนับหมื่นแสน พุทธศาสนาเปรียบดั่งยานพาหนะ ยานพาหนะหมายถึงสิ่งใด ? ตอนนั้นข้าได้นั่งถกเถียงกับฟู่เสี่ยวกวน เขากล่าวว่ายานพาหนะก็คือใจคน เมื่อเข้าใจในตนเองก็จะเห็นธรรม ซึ่งเป็นพยานของกรรมทั้งมวล”
“มีคำกล่าวอ้างหนึ่งที่อาตมาเปิดคัมภีร์ไตรปิฎกมาหลายต่อหลายคราแต่ก็ยังมิเคยพบมาก่อน เขาเป็นผู้ที่เอ่ยคำกล่าวอ้างนี้ออกมา โยมจัวลองฟังดูเถิด”
“เขากล่าวว่าเมื่อคราที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระองค์มักจะอยากถ่ายทอดสัทธรรมปุณฑรีกสูตรในแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะสติปัญญาของคนมิเท่ากัน มีบางคนมิเชื่อ มีบางคนมิฟัง มิเข้าใจ ดังนั้นพระองค์จึงเทศนาได้แค่หินยาน มหายานและวัชรยาน เพื่อช่วยให้สติปัญญาของทุกคนค่อย ๆ ก้าวหน้ามากขึ้น”
“อาตมากำลังคิดว่า ฝ่าบาทในทุกวันนี้มีเวลาอยู่เคียงข้างจักรพรรดิพระเจ้าหลวงแค่ปีกว่าเท่านั้น…ถ้าหากเปรียบฟู่เสี่ยวกวนเป็นดั่งพระพุทธเจ้า เขาอาจจะบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรให้อู๋เทียนซื่อฟังโดยตรง ดังนั้นอู๋เทียนซื่อย่อมมิเข้าใจ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนจากไป แล้วให้อู๋เทียนซื่อครองบัลลังก์ต่อ เขาย่อมมิอาจเข้าใจหลักการบริหารบ้านเมืองของฟู่เสี่ยวกวนเสีย เพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่าอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งใดเป็นของจักรพรรดินั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง”
“ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นเฉกเช่นที่เห็นในทุกวันนี้ ฝ่าบาททรงมีพระราชดำริอย่างหนึ่ง ส่วนเสนาบดีก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ฝ่าบาทและเสนาบดีนั้นมิได้คิดไปในทิศทางเดียวกัน ! ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา!หากต้องการกำจัดความขัดแย้ง ฟู่เสี่ยวกวนต้องกลับมาเริ่มสอนหินยาน มหายานและวัชรยานให้แก่อู๋เทียนซื่อเสียใหม่… เพราะนี่มิใช่ความผิดของอู๋เทียนซื่อ แต่เป็นความพลั้งพลาดของฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“เขาประเมิณสติปัญญาของอู๋เทียนซื่อสูงจนเกินไป เขาลืมไปว่าตัวเขานั้นเปรียบดั่งพระพุทธองค์ ส่วนเทียนซื่อ…เป็นเพียงปุถุชนเท่านั้น ! ”
เมื่อจัวอี้สิงได้ยินดังนั้น จึงตกตะลึงขึ้นมาทันใด ตั้งแต่ที่พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยเอ่ยถึงตุ้ยเหลียน จนถึงตอนนี้ เขาได้แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจนแล้ว
การสั่งสอนมีเป็นพันหมื่นวิธี ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตระหนักเลยว่าตนได้ใช้วิธีฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติซึ่งเป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุดมาสอนคนที่จะรับช่วงต่อจากตน
หรือบางทีเขาอาจจะคิดว่าคนทุกคนในใต้หล้าสามารถมองปัญหาด้วยความคิดอันสูงส่งได้อย่างเขา เขาละเลยความจริงที่ว่าใต้หล้านี้มิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงเขาได้ โดยเฉพาะอู๋เทียนซื่อ !
อู๋เทียนซื่อได้รับการสั่งสอนจากเหวินสิงโจว และแนวคิดของเหวินสิงโจวกับฟู่เสี่ยวกวนก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นอู๋เทียนซื่อยังคงคิดแก้ไขปัญหาด้วยวิธีหินยาน ทว่าเสนาบดีทั้งสามฝ่าย รวมไปถึงขุนนางในราชสำนักที่ได้ติดตามฟู่เสี่ยวกวนมานานนั้น พวกเขาได้ยืนอยู่บนมหายาน หรือกระทั่งวัชรยานแล้ว !
“เช่นนั้นก็ให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมามาอธิบายทั้งหมดให้อู๋เทียนซื่อฟังอีกครา แต่หากไร้สติปัญญาโดยแท้จริง เห็นที…คงต้องลาจากศาสนาพุทธเสียแล้ว”
จัวอี้สิงยกมือขึ้นแล้วโค้งกายลง “ขอบคุณพระอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะหนทางที่ถูกต้อง ! ”
พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยลุกขึ้นยืน ยกสองมือขึ้นพนมแล้วเอ่ยอามิตตาพุทธ “เพื่อความสุขของมวลประชา หวังว่าท่านจัวจะมีดวงตาที่เห็นธรรม ! ”
พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยส่งจัวอี้สิงออกจากวัดหงฟู่ด้วยสายตา
และแล้วสายตาของชายชราก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด หลังที่โค้งงอของจัวอี้สิงค่อย ๆ ยืดตรงขึ้น
เขาเดินมิเร็วมากนัก ทว่าในแต่ละก้าวก็มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อไปถึงข้างรถม้า เขาจึงยืดเหยียดตัวตรงเป็นไม้บรรทัด !
จัวอี้สิงเดินขึ้นไปบนรถม้า บนรถม้าคันนั้นยังมีอีกคนนั่งอยู่ คนผู้นั้นก็คือหนานกงอี้หยู่นั่นเอง
“เจ้าเชื่อเรื่องการขอพรด้วยหรือ ? ”
จัวอี้สิงยิ้มร่าพลางตอบว่า “แต่ก่อนมิเชื่อ ทว่าบัดนี้ข้าเชื่อแล้วล่ะ”
“จะเอ่ยเยี่ยงไรดี ? ”
“ไปจวนเยี่ยนกันเถิด… เพื่อความสุขของมวลประชา หวังว่าท่านจัวจะมีดวงตาที่เห็นธรรม ! ”
เมื่อราตรีก่อน จัวเปี๋ยหลีได้เดินทางมาเยี่ยมจี้หยุนกุย และจี้หยุนกุยก็มิได้ปิดบังเรื่องต่าง ๆ เขาได้นำรายงานจากหอเทียนจียื่นให้จัวเปี๋ยหลีพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ โดยละเอียด
เมื่อจัวเปี๋ยหลีกลับไปถึงจวน เขาได้บอกเล่าถ้อยคำเหล่านี้ให้แก่จัวอี้สิงตามที่ได้ฟังมาทุกคำ ตอนนี้นี่เองที่จัวอี้สิงได้ทราบว่าอู๋เทียนซื่อกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา
เยี่ยนซีเหวินนั้นเตรียมที่จะถอดถอนอู๋เทียนซื่อออกจากตำแหน่งเมื่อราชสำนักกลับมาทำการ !
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด และเห็นทีจะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของอู๋เทียนซื่อเอาไว้ได้ !
“คิดจนเข้าใจแล้วหรือ ? ”
“เมื่อได้ยินคำกล่าวของพระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย ข้าจึงเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจแล้วก็ดี เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ ข้าเตรียมจะเกษียณและกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองกวนหยุน”
“อืม…ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง ไว้พวกเราไปเล่นหมากรุกพลางชมทะเลหมอกที่กวนหยุนถายด้วยกันเถิด ! ”