นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1328 ฉางอันตะลึง
ตอนที่ 1328 ฉางอันตะลึง
เมืองฉางอันในเดือนหนึ่งยังคงเย็นยะเยือก ฤดูใบไม้ผลิยังมามิถึง ฤดูหนาวยังมิไปไหน หิมะยังคงโปรยปรายลงมา
หิมะที่โปรยปรายลงมาได้ตกแต่งเมืองฉางอันให้กลายเป็นสีขาวโพลน ความครึกครื้นของเทศกาลปีใหม่จบสิ้นลง แต่แล้วเมืองฉางอันก็กลับมาคึกคักอีกครา
เพราะข่าวการประชุมราชสำนักเมื่อวานได้แพร่หลายไปทั่วทั้งต้าเซี่ย เมื่อชาวเมืองได้ยินข่าวครา…ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็คือการใส่สีตีไข่กับเรื่องที่เกิดขึ้น
เสนาบดีจะถอดถอนฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ?
เคยได้ยินมาว่าฝ่าบาทสามารถสั่งสังหารได้ทั้งตระกูลหรือกระทั่งสังหารเก้าชั่วโคตร มิเห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่าขุนนางสามารถถอดถอนจักรพรรดิได้
ท่ามกลางหิมะที่ยังคงกระหน่ำเทลงมา บนโรงน้ำชามีผู้คนนั่งเฉื่อยแฉะพลางสนทนาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผู้คนต่างก็ถกเถียงกันเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในงานประชุมราชสำนัก
มิใช่เรื่องที่เสนาบดีทั้งสามฝ่ายแถลงนโยบายประจำปี แต่เป็นเรื่องถอดถอนฝ่าบาทเสียมากกว่า
“นี่เป็นเรื่องจริง ! หลานชายของข้าเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ เมื่อคืนเขากลับมาบอกเล่ากับข้าด้วยตนเอง ! ”
“จะเอ่ยเยี่ยงไรดี ? ”
“เป็นเพราะฝ่าบาทประสงค์จะยึดธุรกิจบางอย่างมาเป็นของชาติบ้านเมือง อาทิเช่น ธุรกิจแร่ของตระกูลเจ้า และยังมีธุรกิจสิ่งทอของตระกูลเจ้าอีกด้วย เมื่อเสนาบดีเยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงมิเห็นด้วย เขากล่าวว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงใช้เวลาสร้างระบบการค้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ตั้งหลายปี ถึงได้มีบรรยากาศการค้าที่รุ่งเรืองและครึกครื้นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ! ”
“เสนาบดีเยี่ยนมิได้เอ่ยผิดแต่อย่างใด ถ้าหากว่ากิจการของตระกูลข้าถูกยึดไป… เช่นนั้นยังจะมีกิจการอันใดให้ข้าทำอีกเล่า ! ”
“ก็ใช่น่ะสิ ! ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างเสนาบดีเยี่ยนกับฝ่าบาทเยี่ยงไรเล่า หากเปิดกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมา ในนั้นมีบัญญัติอย่างชัดเจนว่าถ้าหากฝ่าบาททรงขัดขวางการพัฒนา เสนาบดีทั้งสามฝ่ายสามารถเสนอให้มีการถอดถอนตำแหน่งจักรพรรดิได้ และนี่มันก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้วมิใช่หรือ ? ”
คนทั้งโต๊ะหันมาจ้องหน้ากัน “เช่นนั้น…ฝ่าบาทถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือไม่ ? ”
“พระองค์ถูกกักบริเวณเรียบร้อยแล้ว แค่รอให้คณะรัฐมนตรีลงประชามติ ถ้าหากว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ… เช่นนั้นฝ่าบาทก็จะมิใช่ฝ่าบาทอีกต่อไป คอยดูว่าท้ายที่สุดแล้ว เสนาบดีทั้งสามฝ่ายจะลงความเห็นว่าจะจัดการกับพระองค์เยี่ยงไร นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง ! ”
“เรื่องอันใดกัน ? ”
“เสนาบดีเยี่ยนได้ออกคำสั่งให้ฮั่วหวยจิ่นนำกองทหารรักษาการณ์เข้าจับกุมหน่วยพระราชวังชั้นใน… เจ้าทราบเรื่องหน่วยพระราชวังชั้นในหรือไม่ ? มันก็คือราชสำนักชั้นใจที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งขึ้นมาแล้วเป็นที่ครหาของทุกคนเยี่ยงไรเล่า เสนาบดีเยี่ยนได้ออกคำสั่งให้ผู้บัญชาการฮั่วจับคนในหน่วยพระราชวังชั้นในให้หมด เรื่องนี้จัดการได้ยอดเยี่ยมยิ่ง คาดว่าฝ่าบาทอาจจะถูกขันทีในหน่วยพระราชวังชั้นในสะกตจิตเข้า มิเช่นนั้นพระโอรสของจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะทำเรื่องเหลวไหลได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“ทว่าจักรพรรดิก็ยังเป็นจักรพรรดิอยู่ดี ! อีกอย่างจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงเลือกจักรพรรดิพระองค์นี้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง และยังได้ยินมาว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงกับเสนาบดีเยี่ยนสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นก็หมายความว่าเสนาบดีเยี่ยนมีศักดิ์เป็นอาของฝ่าบาท… การที่เสนาบดีเยี่ยนทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ จะต้องทราบกันไปทั่วทั้งผืนปฐพี นี่มิเป็นการทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียหรอกหรือ ? ”
“อีกอย่างจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะต้องกลับมาจากการพิชิตศึกแดนไกลในสักวัน หากพระองค์กลับมาแล้วค้นพบว่าพระโอรสของพระองค์ถูกปลดออกจากบัลลังก์ เจ้าคิดว่าพระองค์จะทรงกริ้วหรือไม่ ? จักรพรรดิพระเจ้าหลวงมิใช่คนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากพระองค์ทรงกริ้วขึ้นมาล่ะก็…ทั้งสามสำนักหกกรมหรือกระทั่งคณะรัฐมนตรีที่ได้ลงประชามติถอดถอนฝ่าบาทจะมีจุดจบที่ดีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หลี่หยวนว่าย เจ้าช่างมิเข้าใจจักรพรรดิพระเจ้าหลวงเอาเสียเลย กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง ดังนั้นพระองค์ย่อมคาดคะเนไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องมีจักรพรรดิพระองค์ใดพระองค์หนึ่งทรงทำเรื่องที่ส่งผลเสียต่อต้าเซี่ย ! ”
“และจักรพรรดิพระองค์นี้ทรงได้ทำเรื่องที่เป็นผลเสียต่อต้าเซี่ยอย่างแท้จริง ดังนั้นการที่เสนาบดีทั้งสามฝ่ายจะถอดถอนพระองค์ออกจากตำแหน่งจะมีปัญหาอันใดได้กัน ? ข้าคิดว่าพระองค์มิเพียงจะมิกล่าวโทษเหล่าขุนนางเท่านั้น ทว่าพระองค์อาจจะโล่งพระทัยเสียมากกว่า ! ”
“ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเป็นผู้ที่อยู่กับความเป็นจริง พระองค์จะแยแสเรื่องภาพลักษณ์ได้เยี่ยงไร ! ”
“หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าต้าเซี่ยของเราจะไร้จักรพรรดิแล้วน่ะสิ ! ”
ชายชราผู้นั้นลูบเครายาวแล้วเผยอยิ้มเล็กน้อย “ไร้จักรพรรดิแล้วเยี่ยงไร ? เมื่อมิมีจอมเผด็จการไป ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ ! เมื่อมีเสนาบดีทั้งสามฝ่าย มีคณะรัฐมนตรีคอยควบคุม ต้าเซี่ยจะยังเป็นต้าเซี่ยดั่งวันวาน สบายใจได้ อันใดควรทำก็ทำเสีย ต้าเซี่ยจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ! ”
“……”
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งตรอกซอยน้อยใหญ่ในเมืองฉางอัน ราษฎรที่เสวนานากันเรื่องบ้านเมืองเป็นปกติอยู่แล้วนั้น ย่อมมิพลาดที่จะถกเถียงเรื่องใหญ่ที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้
พวกเขาย่อมตกตะลึงกับข่าวการถอดถอนจักรพรรดิที่เกิดขึ้น ทว่าความตะลึงนี้คงอยู่ได้มินานเท่าใดนัก มินานพวกเขาก็ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ เพียงแค่ยังรู้สึกแปลกใหม่ ความแปลกใหม่ที่ว่าก็คือเมื่อมิมีองค์จักรพรรดิ ก็ดูเหมือนว่ามิได้กระทบต่อธุรกิจและชีวิตของพวกเขาสักเท่าใดนัก
เมื่อหยุนซีเหยียนกลับมาถึงจวน
โหยวซีเฟิ่งถอดชุดขุนนางให้เขาด้วยสีหน้ากังวล จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดผ้าฝ้ายให้เขาพร้อมกับเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าช่างใจกล้าเสียจริง นั่นเป็นลูกเขาเชียวนะ พวกเจ้าจะถอดถอนเขาได้เยี่ยงไรกัน ? ”
หยุนซีเหยียนแสยะยิ้ม “ถ้าหากมิถอดถอนเขา…อนาคตมิเพียงแต่พวกเราจะมิมีความสุขเท่านั้น ทว่าราษฎรทั้งต้าเซี่ยก็จะมิมีความสุขด้วยเช่นกัน ! ”
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้สนใจเลย วันพรุ่งคณะรัฐมนตรีจะมีการลงมติ ตอนที่เลิกงานประชุมราชสำนัก ข้าได้สนทนากับพวกเยี่ยนซีเหวิน ท่านจัวและท่านหนานกง รวมถึงท่านเมิ่ง แท้ที่จริงเรื่องการถอดถอนฝ่าบาทเป็นเรื่องที่ท่านจัวได้เสนอต่อเยี่ยนซีเหวินในช่วงปีใหม่”
โหยวซีเฟิ่งอ้าปากค้างด้วยความตะลึง พลางจ้องมองไปยังหยุนซีเหยียน “แต่เขาเป็นทวดของฝ่าบาทมิใช่หรือ ? ”
“นี่เป็นความเก่งกาจของท่านจัว เขาทราบดีว่าหากฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะเกินการควบคุม ข้าขอเดาเหตุผลหลักว่าเป็นเพราะท่านจัวทราบดีว่าเยี่ยงไรฟู่เสี่ยวกวนก็ต้องกลับมาอยู่ดี ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เช่นนั้นก็ถอดถอนฝ่าบาทเสียก่อนดีกว่า อย่างน้อยวิธีนี้ก็พอจะรักษาชีวิตของฝ่าบาทเอาไว้ได้ ! ”
“เช่นนั้นการถอดถอนครานี้ย่อมมีอันใดร้ายแรงหรือเหนือความคาดหมาย วันพรุ่งนี้เมื่อผ่านการลงมติของคณะรัฐมนตรี อู๋เทียนซื่อก็จะมิใช่ฝ่าบาทอีกต่อไป แต่เขาจะยังอยู่ในพระราชวังได้ดังเดิม เพราะเยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวน มิอาจขังเขาเอาไว้ในคุกได้ ถือเสียว่าเป็นคุกจำแลงก็แล้วกัน”
โหยวซีเฟิ่งรู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่ก็มิปาน “อ่า…จริงสิ ท่านพ่อเดินทางมาถึงแล้ว”
“ท่านพ่อตาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อืม เพิ่งมาถึงในวันนี้”
หยุนซีเหยียนครุ่นคิดขึ้นมาได้ว่าบัดนี้ในคณะรัฐมนตรียังมีคนเพิ่มขึ้นมาบางส่วน
คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของราชวงศ์อู๋ทั้งสิ้น เช่น เซียวยวี่โหลวหรือจูเว่ยเป็นต้น
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้คือคนที่อู๋เทียนซื่อได้เดินทางไปเชิญให้กลับเข้าร่วมคณะรัฐมนตรีอีกครา คาดว่าเขาคงจะหวังให้คนเหล่านี้เป็นแรงเสริมให้แก่เขา ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะต้องผิดหวังเสียแล้วสิ
ท่านพ่อตาโหยวเซียนจือมิได้เผยโฉมขึ้นมาในงานประชุมราชสำนักครานี้…หยุนซีเหยียนส่ายศีรษะเล็กน้อยเพราะคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากตน
หยุนซีเหยียนเดินไปยังเรือนตะวันตก เห็นโหยวเซียนจือกำลังต้มชาอยู่ที่นั่น
เขาเงยหน้าขึ้นมองหยุนซีเหยียนแล้วเอ่ยถามว่า “ถูกถอดถอนจริงหรือ ? ”
“เรียนท่านพ่อตา ถูกถอดถอนจริง ๆ ขอรับ”
“ถอดถอนแล้วก็ดี… ข้ามาที่เมืองฉางอันครานี้เพราะหวังจะมาดูละครสักหน่อย แต่คาดมิถึงว่าจะได้เห็นตอนสำคัญเช่นนี้”
“นั่ง… นั่งลงแล้วเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
หยุนซีเหยียนนั่งลงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานประชุมราชสำนักให้ผู้เป็นพ่อตาฟังโดยละเอียด โหยวเซียนจือฟังอย่างตั้งใจ หลังจากที่ได้ฟังเขาก็ถอนหายใจออกมาเสียยืดยาว
“ดูเหมือนว่าการที่เขาแต่งตั้งระบบสามสำนักหกกรมและคณะรัฐมนตรีขึ้นมานั้น คงคิดเผื่อไว้แล้ว ว่าจะมิให้ต้าเซี่ยมีจักรพรรดิอีกต่อไป ! ”
หยุนซีเหยียนผงะตกใจ แม้แต่ตัวเขาเองยังมิเคยคิดมาก่อนเลยว่าต้าเซี่ยจะมิมีองค์จักรพรรดิ สิ่งที่เขาและเยี่ยนซีเหวินคิดก็คือฟู่เสี่ยวกวนมีบุตรชายมากมายถึงเพียงนั้น ค่อยฝึกใหม่อีกสักคนก็ยังได้
ทว่าประโยคนี้ของโหยวเซียนจือทำให้เขาถึงบางอ้อขึ้นมาทันที “ท่านพ่อตาหมายความว่า…”
“พวกเจ้าก็ทำในสิ่งที่ควรทำต่อไป จำต้องทำตัวให้คุ้นชินกับโครงสร้างของต้าเซี่ยในวันที่ไร้ซึ่งองค์จักรพรรดิ”
“หรือบางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะสลัดพันธนาการด้านความคิด ! ”