นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1329 สิ่งที่ปรากฎให้เห็น
ตอนที่ 1329 สิ่งที่ปรากฎให้เห็น
ในบันทึกพงศาวดารของต้าเซี่ยมิได้มีบรรยายว่ารัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หก เดือนหนึ่ง วันที่แปด เป็นการรัฐประหารคราใหญ่
แต่เลือกใช้คำว่าการปฏิวัติที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หก เดือนหนึ่ง วันที่แปด ถือเป็นวันสำคัญที่เปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยคน มาเป็นการปกครองด้วยกฎหมาย
เมื่อย้อนกลับไปมอง ตลอดสองปีที่อู๋เทียนซื่อขึ้นมากุมอำนาจในต้าเซี่ย มิว่าจะเป็นพงศาวดารหรือจะเป็นประวัติศาสตร์ที่เขียนกันในหมู่ปัญญาชนทั้งหลายต่างก็เห็นตรงกันว่าอู๋เทียนซื่อไร้ความสามารถในการปกครองต้าเซี่ย เขามิอาจนำพาให้ต้าเซี่ยเดินไปข้างหน้าได้
“เขาเป็นจักรพรรดิองค์ที่สองของต้าเซี่ย เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้แค่สองปี ในระหว่างที่ครองบัลลังก์ เขาได้ทำเรื่องเหลวแหลกเอาไว้มากมาย มิว่าจะเป็นเรื่องการสร้างตำหนัก การก่อตั้งหน่วยพระราชวังชั้นใน หรือการฝึกฝนกองทัพส่วนตัวขึ้นมา”
“เขาได้ขัดขวางความก้าวหน้าของต้าเซี่ย จากหนังสือว่าด้วยทุนที่จักรพรรดิพระเจ้าหลวงเคยประพันธ์ มีความหมายว่าการดำรงอยู่ของอำนาจจักรพรรดิมิเหมาะสมกับการพัฒนาไปสู่ยุคสมัยใหม่ของต้าเซี่ย”
“หากย้อนกลับไปมองตลอดชีวิตของปฐมจักรพรรดิ เมื่อสมัยที่พระองค์ยังประทับอยู่ในเมืองจินหลิง พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถและมุ่งมั่นอุตสาหะ หลังจากนั้นพระองค์ก็มิปล่อยวางเรื่องนี้อีกเลย”
“พระองค์ทรงเพาะเมล็ดพันธุ์ความคิดให้แก่บรรดาขุนนาง และมักจะรอให้เมล็ดพันธุ์นั้นแตกหน่อออกผลอยู่เสมอ”
“รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หก เดือนหนึ่ง วันที่แปด ในที่สุดเมล็ดพันธุ์นั้นก็ได้ผุดขึ้นมาจากพื้นธรณี อำนาจจักรพรรดิที่สืบทอดมานานนับพันปีได้ถูกล้มล้างในวันนี้ นับตั้งแต่นั้นมา ต้าเซี่ยก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ! ”
นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึง
และในขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบให้เหล่าขุนนางด้วย
มิมีจักรพรรดิแล้ว ทว่าทุกอย่างยังคงดำเนินไปดังเดิม
แต่ก่อนมิว่าเยี่ยงไรก็ตาม นโยบายที่มีความสำคัญจำต้องผ่านการเห็นชอบจากฝ่าบาททั้งหมด ทว่าบัดนี้มิมีขั้นตอนนั้นแล้ว และผู้คนก็สามารถปรับตัวได้อย่างดีเยี่ยม เพียงมินาน...ขุนนางในราชสำนักต่างก็ค้นพบว่าเมื่อมิมีขั้นตอนนี้ก็มิได้ส่งผลอันใดต่อต้าเซี่ยมากนัก
กระทั่งรู้สึกว่านโยบายมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ !
หกกรมยื่นเรื่องไปยังสามสำนัก เมื่อเสนาบดีทั้งสามฝ่ายอนุมัติ จากนั้นถึงจะส่งไปให้คณะรัฐมนตรีตรวจสอบโดยตรง เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วก็ส่งกลับไปให้ทั้งหกกรมดำเนินการต่อไป ทุกอย่างมิได้เกิดปัญญาดั่งที่ขุนนางเก่า ๆ ทั้งหลายได้คาดเดาไว้ อีกทั้งหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ ยังมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย…
……
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนสองอย่างรวดเร็ว
การถอดถอนจักรพรรดิเป็นที่ถกเถียงในหมู่ราษฎรมานานหลายวัน บัดนี้ได้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว สำหรับราษฎรเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเขามิได้เพ่งสายตาไปยังพระราชวังอันโอ่อ่าแห่งนั้นอีก ต่างก็กลับมาหมกหมุ่นอยู่กับชีวิตในแต่ละวันอย่างเร็วไว
สำหรับเรื่องการถอดถอนอู๋เทียนซื่อนั้น ถูกอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีในยามค่ำของวันที่เก้า เดือนหนึ่ง จัวอี้สิงในฐานะหัวหน้าของคณะรัฐมนตรีได้ยกมือขึ้นมาเป็นคนแรก สมาชิกที่เหลือต่างก็แสดงความเห็นด้วย
แม้กระทั่งเซียวยวี่โหลวและคนอื่น ๆ ที่ถูกอู๋เทียนซื่อเชิญมาจากเมืองกวนหยุน พวกเขาต่างก็ตกตะลึงยิ่งนัก และเพิ่งเข้าใจว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเห็นด้วย เพราะทั้งคณะรัฐมนตรีต่างก็เห็นชอบทั้งหมด
วันที่สิบ เดือนหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ออกหนังสือปลดตำแหน่งของอู๋เทียนซื่อ ขันทีในหน่วยพระราชวังชั้นในต่างก็ถูกตัดสินโทษโดยกรมราชทัณฑ์ อู๋เทียนซื่อสามารถพำนักอยู่ในตำหนักหยางซินได้ เเต่จะถูกจำกัดมิให้ออกมาจากตำหนักหย่างซินแม้แต่ก้าวเดียว !
วันที่สิบเอ็ด เดือนหนึ่ง จัวเปี๋ยหลีเสนาบดีกรมยุทธนาการได้เสนอต่อสำนักเสนาบดีให้สั่งการกองทัพบกต้าเซี่ยที่สองและสามไปจัดการกับกองทัพของท่าป๋าวั่งที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ย เสนาบดีทั้งสามฝ่ายเห็นชอบ คณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบ วันที่สิบสอง เดือนหนึ่ง คำสั่งนี้ได้ส่งผ่านรถไฟไปยังกองทัพของเฝิงซีและเว้ยอู๋ปิ้งที่เขตปกครองตนเองซีเซี่ย
ขุนนางในราชสำนักมิได้เกิดการผันแปรเนื่องจากการโค่นล้มอำนาจของจักรพรรดิ เพียงระยะเวลามิกี่วันหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยอมรับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และกลับไปวุ่นอยู่กับขั้นตอนการทำงานที่มิได้แตกต่างไปจากแต่ก่อนเท่าใดนัก
เมื่อหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยถูกเผยแพร่ออกไป ทั่วทั้งต้าเซี่ยจึงค่อย ๆ รับรู้เรื่องที่ฝ่าบาทถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ราษฎรต้าเซี่ยล้วนงงเป็นไก่ตาแตก และในระยะเวลาอันสั้นนั้นเอง เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังมื้ออาหารหรือหลังจากการดื่มชา ราษฎรส่วนหนึ่งกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าต้าเซี่ยจะเกิดความโกลาหลเนื่องด้วยสาเหตุนี้ ทว่าราษฎรส่วนมากกลับหัวเราะอย่างเรียบเฉย พวกเขาได้ค้นพบในตอนนั้นเองว่าองค์จักรพรรดิค่อย ๆ เสื่อมความสำคัญลงภายในใจของพวกเขา
มันมิได้สำคัญเฉกเช่นในอดีต อย่างน้อยชีวิตในตอนนี้ก็มิได้รับผลกระทบอันใดจากองค์จักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย
ขุนนางท้องถิ่นแต่ละระดับชั้นได้รับหนังสือจากสำนักเสนาบดีเป็นลำดับต่อมา บรรดาเสนาบดีรู้สึกหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง เพราะฝ่าบาทคือคนเลื่อนขั้นให้มีตำแหน่งเฉกเช่นทุกวันนี้ หากแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ แล้วนั้น พวกเขามีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่ในหนังสือฉบับนั้นได้อธิบายว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงถูกถอดถอนก็เท่านั้นเอง อีกทั้งยังปลอบใจขุนนางเหล่านั้นอีกด้วย
ขุนนางส่วนมากในต้าเซี่ยล้วนถูกฟู่เสี่ยวกวนแต่งตั้งขึ้นมาทั้งสิ้น ขุนนางเหล่านี้เพียงแค่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าหลังจากนั้นก็พากันส่ายศีรษะ คิดว่าเยี่ยนซีเหวินช่างเก่งกาจเสียจริง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมา เขาคงจะมอมสุราเยี่ยนซีเหวินจนเมามาย
และนี่ก็เป็นผลพวงมาจากเมล็ดพันธุ์ที่ได้เพาะเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้น ความคิดของขุนนางเหล่านี้แตกต่างไปจากวันวานอย่างเห็นได้ชัด
……
……
ณ เมืองฉางจิน
เมืองที่คราหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฝาน ทว่าบัดนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นต้าหลี่หนานเต้าแล้ว
ฝานเทียนหนิงอดีตจ่งตูได้ลาออกจากตำแหน่ง เขาและเซวี๋ยหยู่เยียนยังคงอาศัยอยูในเมืองฉางจินแห่งนี้ และได้มีลูกด้วยกันสามคน ตามคำเรียกร้องของฟู่เสี่ยวกวน
ชีวิตของพวกเขาค่อนข้างเงียบสงบลง เขาในฐานะที่เป็นองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝาน จับผลัดจับผลูมาเป็นจ่งตูคนหนึ่งของต้าเซี่ย หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งจ่งตูแล้วนั้น เขาสามารถทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเชิญเขาไปเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ เขาเดินทางไปยังเมืองฉางอันและได้ปฏิเสธคำเชิญนี้ไปหลังจากที่ดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนทั้งคืน เขาก็ได้เดินทางกลับมายังเมืองฉางจิน เพื่อใช้ชีวิตหลังปลดเกษียณอย่างสุขสบาย
ภายในห้อง เขาได้วางหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ต้าเซี่ยฉบับใหม่ลง จากนั้นก็จ้องมองไปยังภรรยาที่กำลังให้นมลูกชายทั้งสามคนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เยี่ยนซีเหวินจัดการได้เด็ดขาดจริง ๆ ! ”
“เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขาถอดถอนฝ่าบาทออกจากตำแหน่ง บัดนี้ต้าเซี่ยมิมีจักรพรรดิอีกต่อไปแล้ว”
เซวี๋ยหยู่เยียนตะลึงงัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “มิมีจักรพรรดิแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? นั่นเป็นบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวนเชียวนะ ! เยี่ยนซีเหวินมิกลัวว่าเขาจะกลับมาคิดบัญชีหรือ ? ”
“คิดบัญชีอันใดกัน ? อย่างมากสุดเขาก็แค่ผิดหวังกับบุตรชายเท่านั้น เจ้ามิรู้จักเขาดีพอ ช่วงนั้นตอนที่ข้าไปเยือนเมืองฉางอัน พวกเราได้ดื่มฉลองด้วยกัน เขากล่าวว่าประวัติศาสตร์จะต้องเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ประวัติศาสตร์เป็นดั่งรถไฟ จะมิมีอันใดมาขัดขวางมันได้ ! ”
“เขาบอกว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่อำนาจสูงสุดของจักรพรรดิจะมิดำรงอยู่อีกต่อไป แต่จะมีกฎหมายที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเข้ามาควบคุมความประพฤติของทุกคนแทน”
“ตอนนั้นข้ายังมิเชื่อ แต่บัดนี้ดูเหมือนว่า…เขาเอ่ยได้ถูกต้อง และนี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการ”
“ราตรีนั้นเขาบอกว่าเขาจะเดินทางออกไปจากต้าเซี่ย เพราะเขาต้องการให้ต้าเซี่ยคุ้นชินในวันที่มิมีเขา เขาจากไปครานี้ย่างเข้าสู่ปีที่สองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้าเซี่ยก็คุ้นชินกับวันที่มิมีเขาเข้าแล้วจริง ๆ และเหตุการณ์นี้ก็ได้กระตุ้นต้าเซี่ยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่”
เซวี๋ยหยู่เยียนส่งบุตรของนางไปให้แม่นม แล้วเอ่ยถามว่า “ตื่นเต้นหรือ ? ”
ฝานเทียนหนิงส่ายศีรษะ “เขาอยากเป็นเศรษฐีที่ดินที่มิต้องทำอันใด ส่วนข้าก็อยากเป็นอิสระและว่างเว้นจากการงาน แต่เมื่อวานข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากคูฉาน ข้าอยากจะไปดูแคว้นต้าฝานที่เขาสถาปนาขึ้นมากับตาเสียจริง”
เซวี๋ยหยู่เยียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จะไปเป็นขุนนางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่สักหน่อย ไปเพื่อสะสางปมความบาดหมางระหว่างคูฉานและฟูเสี่ยวกวน… ถ้าหากต้าฝานและต้าเซี่ยสถาปนาความสัมพันธ์ขึ้นมาได้จริง ๆ นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ”
“…จะเริ่มเดินทางเมื่อใดเล่า ? ”
“รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิก่อนก็แล้วกัน”