นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1335 ไร้ราตรี
ตอนที่ 1335 ไร้ราตรี
เรือเหาะนับพันของกองพลที่หนึ่งต่างทะยานขึ้นสู่ท้องนภาหมดทุกลำ
แน่นอนว่ามันดึงดูดความสนใจของศัตรูได้เป็นอย่างดี
บัดนี้จอมทัพมิชาลได้ผละตัวออกมาจากกำแพงเมืองแล้ว เขากลับมาที่หน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุด แล้วนำตัวแกรนด์ดยุกไลเดนเข้าไปยังสถานที่หลบภัยซึ่งตั้งอยู่ข้างกัน
“สถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
แกรนด์ดยุกไลเดนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ได้เอ่ยถามอย่างเกรงกลัว
เสียงระเบิดบนกำแพงดังสนั่น ดังจนกระทั่งได้ยินไปจนถึงหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุด แกรนด์ดยุกที่ยืนอยู่ด้านนอกของหน่วยบัญชาการได้ยกกล้องส่องทางไกลส่องไปยังขบวนเรือเหาะที่บินล่องอยู่เต็มท้องนภา ในใจรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“ข้าได้ออกคำสั่งให้ทหารทุกนายหลบเข้าไปในที่กำบัง ทหารบนหอสังเกตการณ์จับตามองการบุกเข้ามาทางภาคพื้นของข้าศึกอย่างมิคลาดสายตา”
“ทว่าข้าศึกมิได้บุกโจมตีเข้ามา แต่ต่อให้โจมตีเข้ามาก็มิเป็นอันใด เพราะพวกเขาได้เสริมการป้องกันด้วยปืนใหญ่เอาไว้แล้ว เหล่าทหารสามารถยิงจากข้างในป้อมปราการได้ ดังนั้นมิมีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว ! ”
“ถ้าหากว่าข้าศึกระเบิดกำแพงเมืองของพวกเรา…”
“ท่านแกรนด์ดยุกที่เคารพ การที่ข้าศึกบุกเข้ามาย่อมดีกว่า เช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าศึกจู่โจมเข้ามาเอง พวกเราเป็นกองทัพใหญ่ที่มีกำลังพลกว่าแปดแสนนาย ข้าศึกนั้นมาจากดินแดนอันไกลโพ้น หากตายไปคนหนึ่งก็เท่ากับว่าขาดกำลังพลไปหนึ่งคน เช่นนั้นท้ายที่สุดแล้วชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกเรา”
“ท่านแกรนด์ดยุกได้โปรดวางใจ มิว่าข้าศึกจะโจมตีหรือไม่ เยี่ยงไรก็ต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้อยู่ดี ถ้าหากมิโจมตี ดูจากเสบียงที่เมืองปาแลร์โมมีแล้วนั้น พวกเราสามารถยื้อเวลาข้าศึกได้”
“เพียงแต่ว่าหากข้าศึกบุกโจมตีเข้ามาเอง สงครามก็จะจบเร็วขึ้นเท่านั้นเอง”
เมื่อแกรนด์ดยุกไลเดนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าคำเอ่ยของจอมทัพนั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก
“หากข้าศึกวางระเบิด พวกเราเพียงหลบก็เท่านั้น หากข้าศึกเคลื่อนไหวทางภาคพื้น ทหารของพวกเราก็จะใช้ปืนใหญ่ยิงพวกมันให้เละ หากลองมองเช่นนี้จะเห็นได้ว่าพวกมันมิมีทางที่จะชนะพวกเราได้เลย”
แกรนด์ดยุกยิ้มร่าออกมา “เมื่อศึกครานี้สิ้นสุดลงเมื่อใด เมื่อข้ากลับถึงเมืองบาห์เรน ข้าจะยกยอในคุณงามความชอบของเจ้าให้แก่สมเด็จพระราชินีฟัง ! ”
“ขอบพระคุณท่านแกรนด์ดยุกเป็นอย่างยิ่ง ! ที่หลบภัยแห่งนี้มีครบทุกอย่างที่ใจปรารถนา มีทั้งสุรารสเลิศและอาหารอันโอชะ…รวมถึงสตรีรูปงาม ขอท่านแกรนด์ดยุคได้โปรดรอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่ ข้าผู้เป็นจอมทัพต้องไปนั่งบัญชาการศึกอยู่ที่หน่วยบัญชาการขั้นสูงสุดก่อน”
“อืม…ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า ! ”
จอมทัพมิชาลเดินออกมาจากที่หลบภัย เขาเดินทางกลับมายังหน่วยบัญชาการขั้นสูงสุด แล้วยกกล้องส่องทางไกลส่องขึ้นไปบนท้องนภาอีกครา
เขาจ้องมองเรือเหาะที่กำลังบินลงมาจอดบนพื้น !
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเอะใจสงสัย เรือเหาะสองลำนั้นอยู่ห่างจากหน่วยบัญชาการขั้นสูงสุดไปราว 100 เมตร พวกมันมิได้วางระเบิดแต่อย่างใด หรือว่าพวกมันกำลังจะตกลงมากันนะ ?
……
……
ระเบิดจากเรือเหาะต้าเซี่ยทำให้ทหารรักษาการณ์หน้าคลังสรรพาวุธพากันไปหลบซ่อนตัว บนหอสังเกตการณ์มิมีทหารแม้แต่นายเดียว หลี่ฉางซู่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์รอบกำแพงอีกครา กองกำลังที่ออกลาดตระเวนมีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และระหว่างกองกำลังทั้งสองมีช่องว่างระหว่างกันอย่างชัดเจน
เขากระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วหันไปสั่งการซุนเซี่ยวหูและเผิงเฉิง “ไปกันเถิด พวกเราสามคนเข้าไปยังคลังสรรพาวุธกัน ! ”
ทั้งสามได้เข้าไปในคลังสรรพาวุธอย่างเงียบเชียบท่ามกลางราตรีอันมืดมิดและเสียงระเบิดที่ดังสนั่น
ซุนเสี่ยวหูเดินมาถึงกำแพงด้านทิศใต้ จากนั้นก็กระโดดข้ามไปยืนอยู่บนกำแพงเเล้วก้มลงเพื่อเฝ้าระวังทหารฝ่ายศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น กองกำลังหนึ่งก็เดินผ่านเขาไป เขาจึงกระโดดลงจากกำแพงแล้วเข้าไปด้านใน เขาบุกเข้าไปยังอาคารหลังหนึ่งด้วยความว่องไว
และในตอนนั้นเองกองกำลังอีกกองหนึ่งก็เคลื่อนพลกลับมาจากมุมกำแพงพอดิบพอดี ซุนเสี่ยวหูรีบก้มลงหมอบในท่าเสืออยู่ในอาคารหลังนั้น
ทหารฝั่งตรงข้ามกำลังด่าพึมพำบางอย่างที่เขาเองก็มิเข้าใจ แต่คาดเดาได้ว่าน่าจะเอ่ยถึงการวางระเบิดของเรือเหาะต้าเซี่ย มิมีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังก้มตัวอยู่ห่างจากพวกเขาในระยะแค่หนึ่งจ้างเท่านั้น เมื่อพวกเขาเดินผ่านไป ซุนเสี่ยวหูจึงพลิกตัวยืนขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปตามแนวกำแพงจนมาถึงมุม ๆ หนึ่ง
เขายื่นศีรษะออกไปมองเห็นทหารยามยืนอยู่หน้าประตูสองนาย
เขานิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ชักกระบี่ที่อยู่บนหลังของตนออกมา เเล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาทหารยามทั้งสองที่ยืนรักษาการณ์อยู่หน้าประตู
ที่นั่นมีแสงไฟส่องสว่าง ทหารทั้งสองนายกำลังสนทนาอันใดบางอย่าง ราวกับมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีทหารต้าเซี่ยบุกเข้ามาในเมืองปาแลร์โม และยิ่งมิทราบว่าพวกศัตรูใจกล้าถึงขั้นเข้ามาโจมตีคลังสรรพาวุธแห่งนี้
ซุนเสี่ยวหูเดินเข้าไปข้างหลังทหารยามนายหนึ่งในระยะที่ห่างออกไปหนึ่งจ้าง และในตอนนั้นเอง ทหารยามคนที่ยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามก็หันหน้าเข้ามาพอดี !
ทหารนายนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันใด เหมือนว่าเขากำลังจะประมวลผลว่าซุนเสี่ยวหูคือผู้ใด !
และในตอนนี้ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะคับขันเช่นนี้ ซุนเอ้อร์หูได้กระโดดถีบสองเท้า แล้วจู่โจมเข้าไปหาทหารยามนายนั้นโดยที่เจ้าตัวยังมิได้ส่งเสียงใดออกมา เขารีบวิ่งไปเบื้องหน้าทหารยามแล้วแทงกระบี่ออกไปในทันใด !
กระบี่แทงทะลุหน้าอกของทหารยามนายนั้น
ทหารยามอีกหนึ่งนายยังมิทันได้ตอบสนอง ซุนเสี่ยวหูก็ได้กวัดแก่งกระบี่อีกครา แสงกระบี่ส่องประกายเยือกเย็น ทหารนายนั้นยกมือขึ้นมาป้องลำคอแล้วล้มตายในทันใด
ซุนเอ้อร์หูมิรอช้า เขาลากศพของนายทหารทั้งสองนายเข้ามาภายในคลังสรรพาวุธ เมื่อเข้ามายืนอยู่ในคลังสรรพาวุธ เห็นกล่องใหญ่มากมายเรียงรายอยู่ภายในโกดัง
เขางัดกล่องหนึ่งออกมาดู ข้างในนั้นมีปืนเมาเซอร์ในสภาพใหม่เอี่ยม
เขาหยิบปืนเมาเซอร์ขึ้นมาสองกระบอกแล้วสะพายไว้บนหลังของตน จากนั้นก็ไปงัดกล่องอีกสองกล่องที่อยู่บริเวณมุม ข้างในนั้นมีกระสุนบรรจุอยู่ แต่มิเห็นกระสุนของปืนใหญ่แต่อย่างใด
หรืออาจจะบรรจุอยู่ในกล่องใดกล่องหนึ่งในนี้ก็เป็นได้
เขามิมีเวลามากพอที่จะสำรวจให้ครบถ้วน ซุนเสี่ยวหูหยิบกระสุนออกมาสิบแผง จากนั้นก็หยิบน้ำมันก๊าดที่ซ่อนเอาไว้ตรงหน้าอกราดลงไปที่กล่องเหล่านี้
เขาหยิบกล่องไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดไฟแล้วโยนมันลงไปในกองอาวุธเหล่านั้น
เพียงชั่วอึดใจกล่องเหล่านั้น ต่างก็ตกอยู่ภายใต้เปลวไฟ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวออกไปนอกอาคารแห่งนั้นอย่างเร็วไว
ทว่ามิได้หนีออกไปแต่อย่างใด เขาวิ่งเข้าไปยังอาคารอีกหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปมิเกิน 10 จั้ง
เพียงครู่เดียวเปลวไฟที่ก่อตัวขึ้นมาจากอาคารหลังนั้นก็ขยายเป็นวงกว้าง จากนั้นมินานคลังสรรพาวุธก็ระเบิดจนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ !
ทหารหลายนายกรูเข้ามาหวังที่จะดับไฟลง ส่วนซุนเสี่ยวหูลอบยิ้มอย่างสะใจ จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการจุดไฟเผาอาคารแห่งที่สองขึ้นมา
……
……
การวางระเบิดบนกำแพงเมืองปาแลร์โมจะเสร็จสิ้นในอีกมิช้านี้ เรือเหาะสองลำที่มีหยูติ้งชานเป็นผู้บังคับบัญชาข้ามกำแพงเมืองเข้ามาแล้ว บัดนี้อยู่ห่างจากพื้นดินระยะ 10 จั้ง
จอมทัพมิชาลที่ยืนอยู่บนหน่วยบัญชาการขั้นสูงสุดใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตการเคลื่อนไหวของเรือเหาะสองลำนี้อย่างมิคลาดสายตา และในระหว่างที่เขากำลังสังเกตการอยู่นั่นเอง อยู่ ๆ เขาก็เห็นคนลงมาจากเรือเหาะลำนั้น !
นี่มันสูงเท่าใดกัน ?
พวกมันมิกลัวตกลงมากระแทกพื้นตายหรือเยี่ยงไร ?
มิได้การล่ะ !
อยู่ ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอสุรกายจากแดนบูรพาเหล่านี้มันสามารถบินได้ !
“ทหาร ทหาร… ! ”
“ข้าศึกบุกเข้ามาในเมืองแล้ว ข้าขอออกคำสั่งให้พวกเจ้าไปจัดการกับพวกมันให้เร็วที่สุด ! ”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง ! ”
“ช้าก่อน...กลับมานี่สิ ! ”
ในตอนนั้นเอง บนกล้องส่องทางไกลปรากฏแสงไฟสว่างจ้าขึ้นมา
เขารีบหันกล้องส่องทางไกลเข้าไป เห็นเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ !
มิชาลตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เพราะสถานที่ตรงนั้นเป็นหนึ่งในสิบสองคลังสรรพาวุธของเมืองนี้ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้มีเปลวเพลิงโพยพุ่งขึ้นมาได้กัน ?
เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เห็นว่าเรือเหาะของข้าศึกมิได้บินไปตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ ตกลงมันเกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้นมากันแน่ ?
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากทางทิศตะวันตก !
และก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาอีกคราเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นคือโกดังเก็บกระสุนปืนใหญ่ !
เขาหันกล้องส่องทางไกลไปยังโกดังกระสุนที่เปลวเพลิงกำลังลุกโชติช่วงชัชวาล ภาพสีแดงฉานของเปลวเพลิงทำให้หัวใจของจอมทัพมิชาลเจ็บช้ำ !
“รีบไปดับไฟเร็วเข้า ! รีบไปช่วยโกดังกระสุนปืนใหญ่เร็วเข้า ! ” จอมทัพมิชาลตะโกนสั่งการเสียงดังลั่น