นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1337 แมวตาบอด
ตอนที่ 1337 แมวตาบอด
“พ่อหนุ่ม เจ้ามีนามว่าอันใด ? มาจากกองพลที่เท่าใดกัน ? ”
ทหารเก่าอายุราว 40 ปีคนหนึ่งได้เอ่ยถามขณะที่กลุ่มที่เจ็ดกำลังเดินอยู่ในตรอกซอยแห่งหนึ่ง
“อ่า…ข้ามีนามว่าจงอู๋ มาจากกองพลที่สอง กองพลน้อยที่สาม กองพันที่แปด กองร้อยที่หก หมู่ที่สี่ แล้วเจ้าเล่า ? ”
“จ้าวซู่เซิง กองพลที่เจ็ด กองพลน้อยที่สอง กองพันที่เจ็ด…เจ้าคิดจะพาพวกเราไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าก็มิรู้เหมือนกัน พวกเขาบอกให้เคลื่อนไหวแบบอิสระมิใช่หรือ ? ”
จ้าวซู่เซิงยกยิ้มยิงฟัน เดิมทีทิศทางที่พวกเขาจะต้องมุ่งหน้าไปนั้นควรจะเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือเสียมากกว่า ทว่าพ่อหนุ่มผู้นี้กลับพาทุกคนวิ่งมั่วซั่วมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ท้ายที่สุด มิว่าเยี่ยงไรก็มีเป้าหมายเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือหวังว่าจะพบสายลับของหอเทียนจี เพื่อที่จะได้รายงานข่าวสารฉบับนั้นมา
“พ่อหนุ่ม หากเจ้าอยากจะพบสายลับของหอเทียนจี จำต้องให้พวกเขามาหาพวกเราเท่านั้น ดังนั้นพวกเราควรจะเคลื่อนไหวบางอย่างใช่หรือไม่ ? ”
จงอู๋ผงะ “อย่าเรียกว่าพ่อหนุ่ม ข้าอายุ 22 ปีแล้วนะ ! ”
“เอาเถิดพ่อหนุ่ม เจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วหรือยังเล่า ? ”
“ยังน่ะสิ…ทว่าไปขอเมียมาแล้ว ขอมาเกือบจะสี่ปีแล้วล่ะ หากข้าดวงแข็งมากพอ เมื่อเสร็จศึกครานี้ข้าก็จะกลับไปแต่งงาน”
“เจ้ามิกังวลว่าเมียเจ้าจะต้องรอนานหรือ ? ”
“มิมีทาง ก่อนจะออกเดินทางมารบครานี้ ข้าได้กลับไปหานางหนึ่งครา นางรับปากแล้วว่า นางจะรอข้าห้าปี แล้วเจ้าเล่า ? ลูกของเจ้าคงจะเติบใหญ่แล้วสินะ ? ”
จ้าวซู่เซิงแสดงสีหน้าที่มิอาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่าบัดนี้สิ่งที่ทุกคนเพ่งเล็งมิใช่บทสนทนาระหว่างกัน จึงมิมีผู้ใดสนใจกันและกัน
เขามิได้ตอบคำถามของจงอู๋ แต่กลับยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปทั้งอย่างนั้น “เมื่อกลับไปแต่งงานแล้วจะปลดประจำการหรือไม่ ? ”
“ยังมิแน่นอน ค่อยดูสถานการณ์ตอนนั้นอีกทีก็แล้วกัน ข้าเข้ามาเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบสี่ เพียงแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ถือปืนมานานรู้สึกวางมิลง… เจ้าเป็นทหารมานานเพียงใดแล้วเล่า ? ”
“ข้าหรือ…14 ปีได้แล้วล่ะ ! ”
จงอู๋ตะลึงงัน จากนั้นก็หันไปมองจ้าวซู่เซิงหนึ่งครา “เคยร่วมศึกบนที่ราบฮวาจ้งมาแล้วสินะ ? ”
ศึกบนที่ราบฮวาจ้งผิงเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ในตอนนั้นราชวงศ์อู๋ได้รวมเอกราชทั้งห้าแคว้นเข้าด้วยกัน และศึกคราใหญ่ที่ได้ถือเป็นศึกสถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมาถูกขนานนามว่าเป็นศึกก่อตั้งราชวงศ์
ในบรรดาทหารเหล่านั้น ทหารที่เคยร่วมศึกบนที่ราบฮวาจ้งมาต่างหากถึงจะถูกขนานนามว่าเป็นทหารเก่าได้อย่างแท้จริง ! อีกทั้งยังเป็นทหารเก่าที่คู่ควรต่อการเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง !
ทหารเหล่านี้ โดยมากจะได้เลื่อนขั้นขึ้นมา มิได้ติดแหง็กอยู่ที่ผู้บังคับหมู่เท่านั้น
จ้าวซู่เซิงพยักหน้าแล้วตอบสั้น ๆ แค่ “อืม”
แท้จริงแล้ว จ้าวซู่เซิงมิเพียงแต่ได้เข้าร่วมศึกบนที่ราบฮวาจ้งเมื่อรัชสมัยเทียนเต๋อที่สามเท่านั้น ทว่าเขายังได้เข้าร่วมศึกบนเซียวเหอหยวนก่อนหน้านั้นอีกด้วย !
ศึกบนเซียวเหอหยวนนั้นเกิดขึ้นเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบเอ็ด ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้นำกองทัพดาบเทวะไปปะทะกับแคว้นฮวงด้วยตนเอง !
ตอนนั้นเขายังเป็นแค่พลทหารใหม่ที่ถูกจัดให้อยู่ในกองทัพดาบเทวะกองพลที่หนึ่ง ภายใต้บังคับบัญชาของเฉินป๋อ แน่นอนว่าตอนนั้นเขาเป็นแค่พลทหาร ทว่าบัดนี้เขาได้ไต่เต้ามาเป็นผู้บัญชาการกองพันที่เจ็ดของกองพลน้อยที่สองแล้ว !
จงอู๋สำรวจดูท่าทีของจ้าวซู่เซิง พลางครุ่นคิดในใจว่านายทหารผู้นี้น่าจะเป็นทหารที่นิสัยมิดีมากนัก คาดว่าน่าจะเป็นประเภทที่ชอบหาลูกเล่นกลเม็ดในการหลบหลีกในสนามรบ จึงทำให้ผ่านมาสิบสี่ปีแล้วก็ยังมิได้รับความไว้วางใจให้รับตำแหน่งสำคัญ
หน่วยจู่โจมนี้จะต้องเลือกทหารฝีมือดี ทว่ามิรู้เหตุใดทหารนายนี้ถึงถูกคัดเลือกมาได้
จงอู๋มิได้เอ่ยความคิดของตนออกมา ในใจของเขารู้สึกดูถูกจ้าวซู่เซิงมากยิ่งนัก
กลุ่มที่เจ็ดทั้งแปดนายรีบเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า พวกเขาเดินไปตามตรอกที่เกือบจะเดินไปจนสุดตรอก จ้าวซู่เซิงก็ได้โพล่งออกมาว่า “ช้าก่อน... หยุด… หลบ ! ”
จงอู๋ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “มีอันใดกัน ? ”
“มีศัตรู ! รีบหลบเร็วเข้า ! ”
จงอู๋รีบหันหน้าไปมองทั่วสารทิศ จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา เมื่อหันกลับไปมอง เห็นจ้าวซู่เซิงเปิดประตูห้อง ๆ หนึ่ง “เข้ามานี่ ! ”
ทั้งเจ็ดคนมิรอช้า พวกเขาเข้าไปหลบในห้องนั้น จ้าวซู่เซิงปิดประตูลง ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงฝีก้าวข้างนอกก็ดังชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เสียงฝีเก้านั้นดังอลหม่านอยู่นานกว่าหนึ่งถ้วยชาก่อนที่เสียงฝีเท้านั้นจะอันตรธานหายไป
“คาดว่าน่าจะมีกำลังพลอยู่ที่ 1,000 นาย” จ้าวซู่เซิงปาดเหงื่อแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเรามีกันเพียง 8 คน จำต้องระวังสักหน่อย ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิน่าจะยังหนุ่มยังแน่น คงยังมิมีเมียกันสิท่า ? ”
“หน้าที่ของพวกเราคือต้องกำจัดข้าศึก ทั้งยังต้องพาชีวิตนี้ออกไปให้อยู่รอดปลอดภัยอีก เช่นนั้นระวังกันสักหน่อย ไปกันเถิด ! ”
จงอู๋เหลือบมองทหารเก่านายนี้ ทว่าในห้องนั้นมืดมากยิ่งนัก มืดจนมองเห็นได้มิชัด ทว่าจงอู๋พลันเกิดความเลื่อมใสในตัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย
สมาชิกทั้งแปดของกลุ่มที่เจ็ดได้ออกเดินทางบนตรอกซอยอีกครา ครานี้จงอู๋ระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม เขาได้นำอีกเจ็ดคนที่เหลือหลบกองลาดตระเวนถึงสามครา ท้ายที่สุดก็มาถึงอาคารขนาดใหญ่ที่มีแสงไฟสว่างโชติช่วง
ทั้งแปดกระโดดขึ้นไปบนหลังคาของอาคารหลังหนึ่ง จากนั้นก็หมอบอยู่บนหลังคา
“นี่คือสถานที่ที่เจ้าต้องการพาพวกข้ามาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จ้าวซู่เซิงเอ่ยถาม
“อืม” จงอู๋มองสำรวจอาคารขนาดใหญ่ สีหน้าของเขาเผยความรู้สึกตื่นเต้นออกมา “ก่อนออกเดินทางมารบ ท่านแม่ทัพกวนกำชับไว้เยี่ยงไรหรือ ? เมื่อมาถึงที่นี่สายตาของพวกเราจะบอดสนิททั้งสองข้าง ดังนั้นสามารถพึ่งพาการตัดสินใจของพวกเราได้เท่านั้น”
“แล้วเจ้าตัดสินใจเยี่ยงไรหรือ ? ”
“ข้าคิดว่าข้างในนี้จะต้องมีปลาตัวใหญ่หลบซ่อนอยู่เป็นแน่ ! พวกเจ้าลองคิดดูเถิด เมืองนี้มิค่อยมีแสงไฟส่องสว่างเท่าใดนัก ทว่าเหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงได้สว่างมากนักเล่า ? ”
จงอู๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้ววิเคราะห์ต่อ “พวกเราผ่านตรอกซอยต่าง ๆ มาหกแห่งด้วยกัน ทว่ายังมิได้ยินเสียงของราษฎรเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเราได้เข้าไปหลบในบ้านเรือนตั้งห้าแห่ง และแต่ละแห่งล้วนว่างเปล่า แสดงว่าเมืองแห่งนี้ได้มีการเตรียมการมาอย่างดีเยี่ยม เมื่อรู้ว่าต้าเซี่ยจะวางระเบิดในเมืองนี้ คาดว่าราษฎรน่าจะถูกพาไปหลบที่อื่นแล้ว”
“พวกเจ้าลองหันมาดูอาคารหลังนี้สิ หน้าตาของมันมิเหมือนกับบ้านเรือนหลังอื่น ๆ มันมีกำแพงล้อมรอบซึ่งกว้างใหญ่เป็นอย่าง บนกำแพงยังมีทหารคอยประจำการ อีกทั้งยังมีการวางกำลังป้องกันอย่างแน่นหนา ที่นี่จะต้องเป็นหน่วยบัญชาการทหารของศัตรูเป็นแน่ ! ”
“ฮ่า ๆ ” จงอู๋หัวเราะร่า แล้วเอ่ยออกมาเสียงแผ่วว่า “ถ้าหากพวกเราโจมตีหน่วยบัญชาการทหารของศัตรูเสีย จากนั้นก็ลงมือตัดศีรษะผู้บัญชาการ เช่นนี้พวกเราก็จะทำให้การโจมตีทางอากาศครานี้สำเร็จมิใช่หรือ ? ”
จ้าวซู่เซิงหันไปมองจงอู๋อีกหนึ่งครา รู้สึกว่าสิ่งที่พ่อหนุ่มผู้นี้วิเคราะห์ออกมานั้นมีเหตุมีผล
เขาหยิบกล้องส่องทางไกลมาสำรวจตรวจตราเวรยามบนกำแพง จากนั้นก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้จงอู๋ “เจ้าดูนี่สิ พวกเรามีการแค่ 7 คน เจ้าคิดว่าพวกเราจะจู่โจมที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”
จงอู๋รับกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องพลันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง บนกำแพงมิได้มีแค่นายทหารที่ยืนตรงรักษาการณ์อยู่เท่านั้น ทว่ายังมีป้อม หอธนูและหอสังเกตการณ์อีกด้วย
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าสถานที่ตรงนี้เป็นสถานที่สำคัญ แต่คำถามก็คือ…จะย่องเบาเข้าไปในกำแพงโดยที่มิโดนจับได้ได้เยี่ยงไรกัน ?
กลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกันเพียงแค่แปดคน ทว่าบนกำแพงจากที่เห็นน่าจะมีราวหนึ่งร้อยกว่าคน และมิทราบว่าข้างในนั้นมีสถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง
จงอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลูบระเบิดมือสองลูกที่แขวนเอาไว้ตรงเอว แล้วออกคำสั่งเป็นคราแรกในชีวิต
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะอ้อมไปทางทิศตะวันตก เพื่อหาช่องว่างโจมตีกำแพงทางทิศเหนือ”
“ศัตรูจะต้องแตกตื่นเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าลองหาช่องโหว่แล้วกระโดดข้ามกำแพงเมืองไป แต่จงจำเอาไว้ว่าอย่าต่อสู้เป็นอันขาด ! ”
“พวกเจ้าจงเข้าไปด้านในอาคารสูงนั่น ถ้าหากว่าพบผู้บัญชาการก็จงจับตัวมันมาให้ได้ แต่หากมิพบ…ครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ให้ทุกคนถอยร่นออกมา แล้วมารวมตัวกันที่นี่ ! ”
จ้าวซู่เซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาว่า “ข้าจะไปล่อศัตรูเอง ส่วนเจ้าพาพวกเขาเข้าไปเถิด”
“ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกคนต้องฟังคำสั่งของข้า ! ”
จ้าวซู่เซิงยิ้มร่าจนเห็นฟัน “ข้าคือผู้บัญชาการกองพันที่เจ็ดของกองพลน้อยที่สอง ! เจ้าเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย เจ้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของข้า ! ”