นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1338 เสียงดังกึกก้องท้องนภา
ตอนที่ 1338 เสียงดังกึกก้องท้องนภา
ราตรีอันมืดมิดย่อมเป็นเครื่องอำพรางที่ดีที่สุด
เป็นเพราะทหารบกต้าเซี่ยกลุ่มหนึ่งได้จู่โจมเมืองปาแลร์โมเข้ามากะทันหัน จึงทำให้การเสริมกำลังป้องกันของเมืองนี้ยิ่งทวีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
มิชาลได้ออกคำสั่งให้ทหารนับแสนนายเคลื่อนกำลังเข้ามาในเมืองแห่งนี้ พวกเขาได้แบ่งเป็นกองละ 100 นาย จำนวน 1,000 กอง ภารกิจของพวกเขาคือการกำจัดการหน่วยจู่โจมของต้าเซี่ย ดังนั้นเมืองทั้งเมืองจึงแทบจะไร้เงาของศัตรู
ทำให้ภารกิจของหลี่ฉางซู่ ซุนเสี่ยวหูและเฉินหยูซินเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถหลบกองลาดตระเวนของข้าศึกมาได้กองแล้วกองเล่า จนกระทั่งมาถึงคลังสรรพาวุธอีกแห่งหนึ่ง
เหตุเพราะคลังสรรพาวุธถูกวางเพลิงเสียหายไป 2 แห่ง คลังสรรพาวุธอีก 10 แห่งที่เหลือจึงยิ่งเสริมกำลังป้องกันแน่นหนาขึ้นไปอีก
ในตอนนี้นี่เองที่การระเบิดของกองทัพอากาศระลอกแรกได้สิ้นสุดลง กองทัพอากาศทะยานออกไปจากเมืองปาแลร์โม บัดนี้พวกเขากำลังล่องลอยอยู่เหนือที่ราบสีทอง
เมื่อไร้ซึ่งลูกระเบิดของกองทัพอากาศต้าเซี่ย ศัตรูจึงสามารถทุ่มกำลังมาป้องกันในเมืองได้อย่างเต็มที่
หลี่ฉางซู่เห็นคลังสรรพาวุธแห่งนั้นผ่านกล้องส่องทางไกล มิว่าจะเป็นหอคอยสังเกตการณ์หรือขบวนทหารลาดตระเวนก็ดูมีมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเราจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
หลี่ฉางซู่รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว พวกตนมีกันแค่ 3 คนเท่านั้น เกรงว่าอีกฝ่ายน่าจะมีกันราว 3,000 คน ตนจะล่อข้าศึกแล้วเข้าไปในคลังสรรพาวุธได้เยี่ยงไรกัน
ซุนเสี่ยวหูหยิบปืนที่นำมาจากคลังสรรพาวุธออกมา “หัวหน้า ฝีมือการยิงปืนของท่านเป็นเลิศ ท่านก็ยิงทหารที่อยู่บนหอสังเกตการณ์นั่นให้ตายเสียสิ ส่วนข้าจะใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวแล้วปีนขึ้นไป เมื่อเข้าไปข้างในได้แล้ว จะลองหาโอกาสดู ตกลงหรือไม่ ? ”
หลี่ฉางซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ เช่นนี้จะทำให้ศัตรูคนอื่น ๆ ตกใจกลัว ถึงตอนนั้นเกรงว่าพวกเราคงจะหนีมิพ้น
“ช้าก่อน ! ”
ในตอนนั้นเอง เฉินหยูซินก็ได้ชี้นิ้วไปที่นอกกำแพง “พวกเจ้าดูนั่นสิ มี…มีทหาร 10 นายปรากฏตัวขึ้นมา เหมือนว่ากำลังมุ่งหน้ามายังตรอกด้านล่างที่พวกเราอยู่พอดี”
“หัวหน้า พวกเราเข้าไปจัดการทหารสิบนายนี่ จากนั้นก็สวมชุดของพวกมันแล้วแอบเนียนเข้าไปดีหรือไม่”
ดวงตาของหลี่ฉางซู่เป็นประกายขึ้นมาทันใด เป็นวิธีการบุกโจมตีที่ค่อนข้างง่าย เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายซักถามขึ้นมา หากสื่อสารภาษาของพวกเขามิรู้เรื่อง… ถึงเวลาค่อยว่ากัน อย่างมากก็แค่หนีมิพ้นเท่านั้นเอง
“ได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ! ”
ทั้งสามพรางตัวท่ามกลางความมืดมิดอยู่บนหลังคาราวกับเสือชีต้าร์ เมื่อเห็นทหารสิบนายนี้เดินเข้ามา พวกเขาจึงส่ายหางไปมาอยู่บนหลังคา
เมื่อข้ามตรอกซอยนี้ไปก็จะเข้าใกล้คลังสรรพาวุธมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาได้ยินเสียงคลับคล้ายคลับคลาเสียงปืนดังแว่วมาเป็นระยะ คาดว่าน่าจะเป็นการปะทะกันระหว่างทหารต้าเซี่ยและกองทัพศัตรู
หลี่ฉางซู่โบกมือ พวกเขาทั้งสามคนก็ได้กระโดดโปรยตัวลงมาอย่างไร้ซุ่มเสียง มาอยู่ด้านหลังของศัตรูทั้งสิบคนนี้
พวกเขาดึงเอากริชออกมา จากนั้นก็รุกเข้าไปปิดปากศัตรูอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับเอากริชกรีดแทงบริเวณลำคอ
ทหารผู้เคราะห์ร้ายคนแรกยังมิทันได้ล้มลง พวกเขาก็ลงมือสังหารทหารคนที่สองคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกครู่หนึ่งหลังจากนั้นทหารฝ่ายศัตรูก็ถูกสังหารไปทั้งสิ้น 6 คน เมื่ออีกสี่คนได้ยินเสียงปึงปังข้างหลัง พวกเขาจึงหันกลับมามอง พวกหลี่ฉางซู่แทงกริชเข้าไปที่หน้าอกของพวกเขาพอดิบพอดี จากนั้นก็ฉวยโอกาสสังหารคนสุดท้ายไปด้วยเลย
มิมีความหวั่นวิตกใดเกิดขึ้นตลอดการรบ เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ พวกเขาก็ได้แสดงฝีมือออกมาอย่างอาจหาญ
“รีบเปลี่ยนเร็วเข้า ! ”
ทั้งสามถอดชุดทหารและหมวกเกราะของศัตรูออก จากนั้นก็ถอดกระสุนของพวกเขาออกมาสะพายไว้บนบ่าของตน แล้วลากซากศพไปไว้ในเรือนหลังหนึ่ง เมื่อทั้งสามปลอมตัวเป็นทหารฝ่ายศัตรูเสร็จแล้ว จึงเดินวางมาดออกไปยังคลังสรรพาวุธแห่งนั้น
พวกเขาเดินเข้าไปใกล้คลังสรรพาวุธมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารเวรยามทั้งสามเห็นก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันใด เพราะทั้งสามคนนี้สวมชุมทหารองค์รักษ์กลุ่มที่ใกล้ท่านจอมทัพมากที่สุด ทว่าพวกเขาเพิ่งถ่ายทอดคำสั่งของท่านจอมทัพไปและเพิ่งกลับไปเมื่อครู่เองมิใช่หรือ ?
เหตุใดถึงกลับมาอีกแล้วเล่า ?
ขาไปพวกเขามีกันทั้งสิ้น 10 คน ทว่ากลับมาครานี้เหลือเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น…
ใต้หล้านี้มักจะไร้ซึ่งเรื่องบังเอิญ ทหารองค์รักษ์ของท่านจอมทัพนั้นมีสถานะสูงส่งมากในหมู่ทหารด้วยกันเอง พวกเขามีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ท่านจอมทัพ ทั้งยังมีหน้าที่ในการถ่ายทอดคำสั่งของท่านจอมทัพอีกด้วย
ทหารเวรยามเหล่านี้เป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย เดิมทีพวกเขามิมีสิทธิ์สอบถามอันใด หากพวกเขาต้องการเข้ามาในคลังสรรพาวุธแห่งนี้ ทว่าทหารองค์รักษ์เหล่านี้เพิ่งจะจากไปได้มินาน และกลับมาเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น คาดว่าต้องมีอันใดมิชอบมาพากลเป็นแน่ จำต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านนายพลรักษาการณ์ทราบ
บริเวณประตูมีคบไฟคอยให้แสงสว่าง แต่เนื่องจากปีกหมวกของหลี่ฉางซู่นั้นค่อนข้างต่ำ ดวงไฟวับ ๆ แวม ๆ มิเพียงพอที่จะทำให้ทหารเวรยามเหล่านี้เห็นหน้าของพวกเขาได้ชัด
และบัดนี้ก็มีเสียงปืนดังมาจากตรอกซอยมิไกลนัก !
ทหารยามทุกคนถูกเสียงปืนนั่นดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปจนสิ้น พวกเขายกปืนในมือขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองทางต้นเสียงอย่างประหม่า โดยปล่อยให้พวกหลี่ฉางซู่สามคนเดินเข้าไปยังคลังสรรพาวุธได้สบาย ๆ
ดวงใจที่พะว้าพะวงของทั้งสามจึงผ่อนคลายลงในที่สุด !
หลี่ฉางซู่ยกมือขึ้นลูบหน้าผากพบว่าบนนั้นเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ทว่าความเสี่ยงและความลำบากมิได้ถูกขจัดให้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทหารรักษาการณ์ที่นี่ยังคงแน่นหนาดังเดิม
หน้าประตูบานใหญ่แต่ละแห่งมีทหารยามประจำการอยู่ทั้งสิ้น 10 คน และมีทหารลาดตระเวนวนรอบ ๆ โดยมิมีช่องว่างให้หยุดพัก
ทั้งสามคนได้เดินเฉียดไหล่ทหารยามเหล่านี้เข้าไป แต่ก็มิได้ตกเป็นเป้าสงสัยของทหารเวรยามเหล่านี้แต่อย่างใด
เมื่อวนคลังสรรพาวุธแห่งนี้ได้กว่าครึ่งรอบ หลี่ฉางซู่ก็ค้นพบว่ามีหน้าต่างบานสูงอยู่สองสามแห่งด้วยกัน ระดับความสูงแค่นี้มิได้ส่งผลอันใดต่อพวกเขา ทว่าจะบินเข้าไปตรงนั้นโดยมิตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าทหารลาดตระเวนได้เยี่ยงไรกัน ?
ทันใดนั้นเอง เสียงปืนด้านนอกก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ที่บังเอิญก็คือ เป็นหน่วยจู่โจมกลุ่มที่หนึ่งซึ่งมีจูซินหมิงเป็นผู้บังคับบัญชานั่นเอง
พวกเขารัวกระสุนใส่ทหารลาดตระเวน 100 นายบริเวณตรอกซอยด้านนอก
แน่นอนว่านายพลที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็ได้ยินเสียงปืนเช่นกัน เขาเกิดอาการประหม่าและหวั่นเกรงขึ้นมาทันใด ที่นี่เป็นคลังสรรพาวุธที่ใหญ่ที่สุดจากทั้งสิบสองแห่ง มิทราบว่าข้าศึกหาที่นี่พบได้เยี่ยงไรกัน ?
ทว่าบัดนี้มิใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือกำจัดกองทัพที่คิดจะวางเพลิงคลังสรรพาวุธแห่งนี้ให้หมด !
ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งทันใด…
“ทหารทั้งหมดรวมพลแล้วขึ้นไปประจำการบนกำแพงเมือง จงสกัดกั้นศัตรูไว้นอกกำแพง ! ”
เดิมทีนี่มิใช่ความผิดหนักหนาอันใด เพียงแต่พวกเขาคาดมิถึงว่าทหารฝ่ายศัตรูทั้งสามนายกำลังเดินวางหมากเข้ามาที่ด้านหลังคลังสรรพาวุธแห่งนี้
ทหารลาดตระเวนทั้งหมดรีบวิ่งผ่านพวกเขาไป ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ที่คลังสรรพาวุธพลันว่างเปล่ามิมีทหารฝ่ายศัตรูแม้แต่คนเดียว
“ช้าก่อน ! พวกเจ้าทั้งสองถอยห่างออกไปหน่อย ข้าจะเข้าไปเอง ! ”
“หัวหน้าให้ข้าเข้าไปเถิด งานนี้ข้าถนัด”
“ไม่ ! ครานี้ข้าจะลงมือเอง พวกเจ้าทั้งสองจงไสหัวออกไป ! นี่คือคำสั่งของข้า ! ”
หลี่ฉางซู่กระโดดพรวดขึ้นไปยังหน้าต่างบานสูงแห่งนั้น
ซุนเสี่ยวหูกับเฉินหยูซินจับปืนเอาไว้แน่น ทั้งสองหันมาสบตากัน แม้จะรู้สึกโชคดีแต่ก็หวังว่าหัวหน้าจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย
พวกเขาถอยห่างออกมาจากคลังสรรพาวุธแห่งนี้ จากนั้นก็ไปหลบอยู่มุมมืดแห่งหนึ่ง
เสียงปืนจากด้านนอกยังคงดังกระหึ่ม ทว่าครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงระเบิดที่ดังก้องท้องนภาก็ได้กลบเสียงปืนไปจนสิ้น…
หลี่ฉางซู่จ้องมองคลังสรรพาวุธที่ใหญ่โตมโหฬาร เขาก็เลือกใช้วิธีเดียวกันกับเป้าจื่ออย่างมิลังเล
เขานำระเบิดมาวางไว้กลางคลังสรรพาวุธแห่งนี้ จากนั้นก็จุดชนวนระเบิดขึ้นมา ท้ายที่สุดเขาก็มิมีโอกาสได้กลับออกไปอีกเลย…