นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1340 ทางตัน
ตอนที่ 1340 ทางตัน
จ้าวซู่เซิงกระโดดลงมาจากกำแพง
ต้นขาของเขาถูกยิงด้วยกระสุน ไหล่ของเขาก็ถูกยิงเช่นกัน !
ทว่าเขายังมิตาย
เขาตกลงไปนอกกำแพง พยายามตะเกียกตะกายกลิ้งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ตรอกซอยแห่งหนึ่ง เขากล้ำฝืนใจอดทนกับความเจ็บปวดจากการที่กระดูกซี่โครงหัก คลานเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
ในบ้านหลังนั้นมีตะเกียงคอยให้แสงสว่าง
มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้น
นางเป็นหญิงสาวอายุราว 20 ปีซึ่งเห็นหน้ามิค่อยชัดเท่าใดนัก !
หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ จากนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างเร็วไว นางจ้องมองจ้าวซู่เซิงที่กำลังนอนแน่นิ่งด้วยความตกใจกลัว จ้าวซู่เซิงรีบพลิกตัวหันเข้าไปมองนาง เมื่อมีแสงเทียนรำไร เขาจึงเห็นใบหน้าของหญิงสาวนางนั้นได้ชัดขึ้น สีหน้าของนางซีดเซียวและดูธรรมดาทั่วไป
“อย่ากลัว” จ้าวซู่เซิงยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ส่งเสียงซี้ดแสดงความเจ็บปวดออกมา เขากลั้นลมหายใจ คิดอยากจะเอาปืนยิงตนเองให้สิ้นเรื่องไป แต่หลังจากที่ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป เนื่องจากไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“แท้ที่จริงพวกเรามิใช่ผู้ร้าย พวกเราเป็นทหารของต้าเซี่ย พวกเราจะมิทำร้ายราษฎร”
จ้าวซู่เซิงราวกับลืมว่าฝ่ายตรงข้ามฟังมิออกว่าตนเอ่ยอันใด เขาเพียงแค่อยากจะพูดออกไป ประจวบเหมาะว่าที่นี่มีคนอยู่พอดี ส่วนคนผู้นั้นจะฟังออกหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ
เขาหายใจหอบเหนื่อย ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้สมองของเขาค่อย ๆ ชาลงเรื่อย ๆ เขารู้ดีว่าเขาสูญเสียเลือดมากจนเกินไป ถ้าหากว่ามิอาจเอากระสุนออกมาได้ เขาก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่ในมิช้า
“แม่นาง ถ้าหากว่าปีนั้นข้าแต่งงาน ลูกของข้าก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้านี่ล่ะ”
“ตอนนั้นข้าต้องเข้าร่วมกองทัพดาบเทวะ ข้าจึงยอมละทิ้งการแต่งงาน คู่หมั้นของข้ามีนามว่า…” จ้าวซู่เซิงพยายามอย่างหนักที่จะนึกถึงชื่อของนาง แต่ค้นพบว่าตนนึกชื่อของนางมิออกเสียแล้ว
“เจ้าดูสิ ข้าลืมแม้กระทั่งชื่อของนาง หลังจากที่เสร็จศึกบนเซียวเหอหยวน ข้าได้กลับบ้านหนึ่งครา และพบว่านางได้แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว”
จ้าวซู่เซิงยิ้มร่า “ข้าทำได้เพียงแค่มองดูนางอยู่ไกล ๆ สีหน้าของนางดูแดงเรื่อ รอยยิ้มของนาง…รอยยิ้มของนางนั้นหวานหยดย้อย สามีของนางเป็นพ่อค้าลาและม้า ได้ยินมาว่าหาเงินได้มิน้อย คาดว่านางคงจะมีชีวิตที่สุขสบายพอควร ข้าก็เลยสบายใจขึ้นมาหน่อย”
“หลังจากนั้น ข้าจึงค่อย ๆ เดินออกมา ข้าอยู่ในกองทัพจวบจนกระทั่งบัดนี้ เลยมิมีความคิดที่จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาอีก...”
แม้ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะฟังมิเข้าใจ แต่ด้วยน้ำเสียงของจ้าวซู่เซิงที่ฟังดูสงบและเป็นธรรมชาติจึงทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมา !
นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเทียนบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาจ้าวเซิงซู่อย่างระมัดระวัง
“หยุดพล่ามได้แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าดูแผลเอง”
นางลืมไปว่าอีกฝ่ายฟังภาษาของนางมิเข้าใจ มือข้างหนึ่งของนางถือเทียนเอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับหัวไหล่ของจ้าวซู่เซิง ตรงชุดเกราะมีรูโหว่ และรูนั้นก็มีเลือดสีแดงสดไหลเอื่อยออกมา
นางเป็นหมอ
ทว่าเขาคือศัตรูที่เข้ามารุกรานประเทศของนาง !
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงวางเทียนลง แล้วออกแรงพยุงจ้าวซู่เซิงขึ้นมา
“ปืน ปืน…” จ้าวซู่เซิงชี้ไปยังปืนที่ตกอยู่บนพื้น จากนั้นก็ชี้มาที่ศีรษะของตน เขาหันไปหัวเราะกับหญิงสาว “ช่วยอันใดหน่อยสิ ช่วยยิงปืนนี้ออกมาที ! ”
ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเข้าใจเจตนาของจ้าวซู่เซิง นางส่ายศีรษะไปมา สองแขนของนางสอดเข้าไปใต้รักแร้ของจ้าวซู่เซิง “ลุกขึ้น ข้าจะต้องช่วยเจ้าถอดชุดเกราะนี้ออกมา ขึ้นไปนอนบนเตียงเสีย ข้าจะต้องผ่าตัดให้เจ้า มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องตายแน่ ๆ ! ”
แน่นอนว่าจ้าวซู่เซิงย่อมมิเข้าใจในสิ่งที่นางเอ่ย เขามิรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นต้องการจะทำอันใด เขาแค่อยากตายให้มันจบ ๆ ไปเสียที
หญิงสาวออกแรงพยุงจ้าวซู่เซิง นำร่างของเขาไปพิงเข้ากับประตู ทันใดนั้นความเจ็บปวดได้ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก
เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด ทว่ามิได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด
หญิงสาวผู้นั้นหันมาดูอาการของจ้าวซู่เซิง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถอดชุดเกราะของจ้าวซู่เซิงออกมา เมื่อเห็นรอยกระสุนปืนสองจุดนั้น เห็นหน้าท้องที่จ้าวซู่เซิงเอามือมาป้องเอาไว้ นางจึงขมวดคิ้วทันพลัน
“รักษามิได้หรอก นอกเหนือจากแผลจากกระสุน ยังมีแผลจากการบาดเจ็บภายในอีก” จ้าวซู่เซิงชี้ไปยังบาดแผล จากนั้นก็โบกมือปัด เขายิ้มร่าแล้วชี้ไปยังปืนกระบอกนั้น แล้วชี้มายังศีรษะของตนเอง หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยุงเขาขึ้นไปบนเตียงอย่างระมัดระวัง
จ้าวซู่เซิงนอนราบลงบนเตียง ราวกับได้ผ่อนคลายร่างกายในทันใด
เตียงนี้มีขนาดมิใหญ่มากนัก ทว่านุ่มและอบอุ่นเป็นอย่างมาก
นานเพียงใดแล้วนะที่มิได้นอนเตียงที่ทั้งนุ่มและอุ่นถึงเพียงนี้ ?
บัดนี้เขาพลันรู้สึกผ่อนคลายลงและปล่อยวางทุกสิ่ง สมองของเขาเริ่มชามากขึ้นเรื่อย ๆ เขาค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ
“ตื่นนะ ! ”
หญิงสาวพยายามเรียกจ้าวซู่เซิงให้รู้สึกตัว จ้าวซู่เซิงลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขายิ้มให้หญิงสาวผู้นั้น “ข้าจะตายแล้ว มิมีอันใดจะฝากฝังทั้งนั้น ข้าหัวเดียวกระเทียมลีบ เดิมทีก็คิดอยากได้เงินปลดประจำการ... เงินก้อนนั้นถือเป็นเงินก้อนใหญ่ พอจะเลี้ยงอีกครึ่งชีวิตหนึ่งของข้าให้สุขสบายได้เลยล่ะ”
จ้าวซู่เซิงพร่ำบ่น ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามิมีตอนไหนที่อยากจะเอ่ยเท่ากับตอนนี้มาก่อน
เขาแค่อยากระบายความในใจที่เก็บมานานตลอดสิบกว่าปีให้คนแปลกหน้าฟัง ให้หญิงสาวที่ฟังเขามิรู้เรื่องได้ฟัง
เขาคิดว่าเมื่อเอ่ยมันออกไปแล้ว ตนจะได้ตายตาหลับเสียที
ส่วนหญิงสาวผู้นั้นกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์การผ่าตัด
อุปกรณ์ผ่าตัดเป็นเพียงอุปกรณ์ง่าย ๆ ทว่าบัดนี้นางต้องลองดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือชายแปลกหน้าผู้นี้จะต้องตายไป
นางฟังสิ่งที่ชายแปลกหน้าผู้นี้พร่ำเพ้อ แม้จะมิเข้าใจว่าเขากำลังเอ่ยถึงอันใด แต่เท่าที่ฟังดู…เหมือนว่าในคำเอ่ยของเขามิได้มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อความตายอยู่เลย
คำเอ่ยของเขาเป็นดั่งลำธารน้อย ๆ ตรงท่าเรือด้านหลัง ที่แม้จะไหลทว่ากลับไร้เสียง
บุรุษที่มิกลัวแม้แต่ความตายจะเอ่ยอันใดออกมาบ้างนะ ?
หรือบางทีเขาอาจจะคำนึงถึงภรรยา ญาติสนิทและสมิตรสหายที่อยู่แดนไกล
แต่จะต้องมิใช่ความรู้สึกเสียดายที่ต้องมาเข้าร่วมศึกทางไกลครานี้เป็นแน่
เขาอาจจะฝากฝังอันใดบางอย่าง แต่ก็น่าเสียดายที่ตนมิสามารถนำคำฝากฝังนี้กลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาได้
หลังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปก็แล้วกัน
สงครามบ้า !
พวกต้าเซี่ย…สมควรตาย !
หญิงสาวเริ่มทำการผ่าตัด หนังตาของจ้าวซู่เซิงเหมือนจะเพียรพยามอย่างหนัก สติของเขาเริ่มเลือนลาง ทว่าใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ เผยออกมาให้เห็น ปากของเขาเหมือนกำลังพึมพำบางอย่าง ทว่าขาด ๆ หาย ๆ และเสียงก็เริ่มเบาลงเรื่อย ๆ
……
……
ณ หน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุด
กลุ่มที่เจ็ดยังคงเหลือสมาชิกอีก 7 คน
จงอู๋และทหารอีกสี่คนที่เหลือปักหลักอยู่มุมระเบียงทางเดิน พวกเขาใช้ปืนไรเฟิลกระหน่ำยิงใส่กองทัพทหารองค์รักษ์ !
ทหารฝ่ายศัตรู 1,000 นายถูกเขากำจัดไปทั้งสิ้นสองร้อยกว่านาย ทั้งยังบีบบังคับจนทหารของฝ่ายศัตรูต้องถอยร่นไปอีกมุมหนึ่งของระเบียงทางเดิน
“พวกสวะ ครานี้พวกเจ้าทราบหรือยังว่ากองทัพต้าเซี่ยของพวกเราเก่งกาจเพียงใด” จงอู๋ยกยิ้มยิงฟัน
เขาเอ่ยถามพลางคว้าแผงกระสุนที่แขวนอยู่ตรงเอว ทันใดนั้นก็ต้องผงะตกใจเมื่อสิ่งที่คว้าได้มีแต่ความว่างเปล่า
เขาก้มหน้าลงพลางควานหารอบ ๆ ที่เอวยังมีระเบิดมืออยู่ ทว่าแผงกระสุนกลับมิเหลือแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองสหายอีกสี่คนที่เหลือ จึงได้ทราบว่าทุกคนมิเหลือกระสุนให้ใช้อีกแล้ว
เขาหันไปยิ้มขอโทษสหายอีกสี่คนที่เหลือ “เหลือกระสุนนัดสุดท้ายแล้วสินะ ทหารบกต้าเซี่ย ยอมตายทว่ามิยอมแพ้”