นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1341 ปาฏิหาริย์ในยามคับขัน
ตอนที่ 1341 ปาฏิหาริย์ในยามคับขัน
ณ ศูนย์บัญชาการทหารขั้นสูงสุด ทหารฝ่ายศัตรูจำนวนเจ็ดร้อยกว่าคนเดินเข้าไปหาพวกจงอู๋อย่างระมัดระวัง
จงอู๋ยกปืนขึ้นมาเตรียม เขายิงนายทหารรวดเดียวตายไป 3 คน และในแผงกระสุนก็เหลือกระสุนอีกเพียงแค่นัดเดียว
สหายร่วมรบอีก 4 คนที่เหลือก็เผชิญกับสถานการณ์เฉกเช่นเดียวกัน
ที่เอวของจงอู๋ยังเหลือระเบิดมืออีกหนึ่งลูก เขาหยิบระเบิดมือออกมา แล้วฉีกยิ้มร่า
“ข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเจ้ามีนามว่าอันใด”
“ทว่าหลังจากเสร็จศึกพิชิตแดนไกลครานี้ นามของพวกเราจะต้องถูกจักรพรรดิพระเจ้าหลวงสลักไว้อนุสรณ์สถาน”
“นามของพวกเราจะถูกจารึกลงไปบนแผ่นศิลา หรือบางทีอาจจะได้อยู่ใกล้กันอีกด้วย ถึงเวลานั้นอย่าลืมทักทายกันล่ะ”
นายทหารอีกสี่คนที่เหลือเผยรอยยิ้มออกมา บัดนี้พวกเขามิมีความหวาดกลัวต่อความตายที่กำลังย่างกรายเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
“แต่จะว่าไปแล้ว แน่นอนว่าการที่ได้มีชีวิตอยู่นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด มิใช่ว่าข้ากลัวตายหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้าคิดอยู่เสมอว่า เมื่อต้าเซี่ยรวมใต้หล้าได้แล้ว มันจะเป็นแบบใดกัน ? ”
ทหารนายหนึ่งที่มีอายุราว 30 ปีหยิบกล้องยาสูบขึ้นมา จุดไฟ แล้วสูบเข้าไปสองครา จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “จักรพรรดิพระเจ้าหลวงสถาปนาต้าเซี่ยขึ้นมา สถานที่แห่งนั้นเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างขวาง เมื่อได้เข้ามารับราชการทหาร พวกเรายังมิมีโอกาสไปเยี่ยมเยือนหลากหลายพื้นที่ในต้าเซี่ย หรือแม้แต่เมืองหลวงฉางอันก็ยังมิมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม”
“พวกเจ้าว่า…ถ้าหากอาณาเขตของต้าเซี่ยขยายมาถึงที่นี่ มันจะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดกัน ! ”
ทหารอีกนายหนึ่งซึ่งมีอายุราว 20 ปีก็หัวเราะพลางเอ่ยออกมาว่า “กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ พวกเราใช้เวลาเดินทางสองปีเต็ม ถ้าหากว่าต้าเซี่ยจะรวมประเทศขึ้นมา การจะมาที่นี่ได้นั้นมิง่ายเอาเสียเลย ”
“เจ้าโง่หรือเยี่ยงไรกัน ต้าเซี่ยมีรถไฟที่วิ่งได้เร็วถึงเพียงนั้น ถ้าหากว่าจักรพรรดิพระเจ้าหลวงจะทรงรวบรวมผืนปฐพีแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จำต้องมีรถไฟเดินทางไปมาหาสู่กัน ถ้าหากว่านั่งรถไฟ…ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็สามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้แล้ว”
“ก็จริง ข้าเคยนั่งรถไฟหนึ่งครา รู้สึกสบายสุด ๆ ไปเลยล่ะ และยังง่ายกว่าการควบม้าอีกด้วย”
“เอาล่ะ ต่อให้พวกเราต้องตายอยู่ที่นี่ แต่เยี่ยงไรพวกเราก็ต้องได้เห็นการพัฒนาอย่างแน่นอน ศัตรูใกล้เข้ามาแล้ว ระเบิดอีกสักสองสามคราเถิด”
ศัตรูอยู่ห่างจากพวกเขาในระยะ 3 จั้งเท่านั้น
เขาดึงชนวนออกมาแล้วเขวี้ยงระเบิดออกไปไกล
ฝ่ายศัตรูล้มลงระเนระนาดหลังจากที่เสียงระเบิดดังขึ้นมา
เขาลูบคลำปืนในมือของตน ปืนนี้อยู่กับเขามาสามปีแล้ว ระหว่างที่เดินทางมามิทราบว่ามีข้าศึกตกตายด้วยปืนกระบอกนี้แล้วกี่คน บัดนี้คนสุดท้ายที่ปืนกระบอกนี้จะมือสังหารก็คือตัวของเขาเอง
เขายกปืนขึ้นมา ปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ขมับของตนเอง ในจังหวะที่เขากำลังจะลั่นไกปืนนั่นเอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของทหารราว 30 คน “ช้าก่อน ! ”
จงอู๋ตะลึงงัน ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนปะทะกันอย่างรุนแรงดังเข้ามาในหู
จูซินหมิงนำทหารกลุ่มหนึ่งจำนวนหกสิบกว่านายลงมือสังหารจนเลือดนองเป็นทางยาว จากนั้นก็กรีธาทัพเข้าไปภายในหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุด
เขาได้ยินเสียงปืนและเสียงระเบิดดังขึ้นมาด้านในปราสาท บัดนี้เขาได้นำกองกำลังของตนพุ่งเข้ามาที่นี่
พวกเขายกขบวนเข้ามาที่ระเบียงทางเดินแห่งนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ระเบิดในมือของจงอู๋ระเบิดขึ้นมาพอดี
หัวหน้าทหารองค์รักษ์ประจำหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุดคาดมิถึงว่าพวกกหนูโสโครกจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และยิ่งคาดมิถึงว่าพวกมันจะมีกองหนุนอีกด้วย !
กลุ่มที่หนึ่งกระหน่ำโจมตีเข้ามาทางด้านหลัง ศัตรูค่อย ๆ ล้มตายลง ตรงทางเดินเต็มไปด้วยศพ โลหิตสีแดงฉานไหลเจิ่งนองไปทั่วบริเวณ !
ในเวลาหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น
กลุ่มที่หนึ่งก็ได้ทำลายกองทหารองค์รักษ์จนพังพินาศไปอย่างง่ายดาย จูซินหมิงยืนอยู่เบื้องหน้าจงอู๋
ใบหน้าเย็นชาของเขาเผยรอยยิ้มออกมา “พวกเจ้าเป็นกลุ่มที่เท่าใดกัน ? ”
จงอู๋ยืนตัวตรงแล้วตอบออกไปว่า “เรียนท่านที่เคารพ พวกข้าคือกองกำลังจู่โจมกลุ่มที่เจ็ดขอรับ ! ”
“เจ้าคือหัวหน้ากลุ่มเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“รายงานท่านที่เคารพ ข้ามิใช่หัวหน้า ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มแค่ชั่วคราวเท่านั้น หัวหน้ากลุ่มของพวกเราตกตายตั้งแต่ตอนกระโดดลงมาจากเรือเหาะ ! ”
จูซินหมิงขมวดคิ้วแน่น จ้องมองไปยังทหารห้านายที่มีกลิ่นเลือดโชยคลุ้ง “กลุ่มที่เจ็ดเหลือพวกเจ้าแค่ 5 คนเท่านั้นหรือ ? ”
“ยังมีทหารเก่าอีกหนึ่งนาย เขามีนามว่าจ้าวซู่เซิง เขาเป็นคนคุ้มกันให้พวกเราเข้ามาที่นี่ บัดนี้…บัดนี้ยังมิทราบชะตากรรมของเขาว่าเป็นเยี่ยงไร”
นั่นหมายความเขาว่าตายแล้ว
จูซินหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้ากองกำลังจู่โจมกลุ่มที่หนึ่ง ข้าขอออกคำสั่งให้พวกเจ้าทั้งห้าคน เข้ามาเป็นกลุ่มที่หนึ่งแล้วเคลื่อนไหวไปพร้อมกับข้า ! ”
……
……
ทันใดนั้นเสียงปืนในศูนย์บัญชาการทหารขั้นสูงสุดก็ดังสนั่นขึ้นมาอีกครา
จูซินหมิงหัวหน้ากลุ่มที่หนึ่งได้ออกคำสั่งให้สังหารทหารองค์รักษ์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปในศูนย์กลางของปราสาท
ในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกศูนย์บัญชาการทหารขั้นสูงสุด จ้าวซู่เซิงที่สติเลือนรางได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ
เสียงนั้นแผ่วเบา และดูเหมือนห่างไกลมากเช่นกัน ราวกับว่ามาจากปลายขอบฟ้า
เขามิเข้าใจว่าเสียงนั่นกำลังเอ่ยถึงเรื่องอันใด แต่เขารู้สึกว่าเสียงนั้นไพเราะเสียเหลือเกิน ไพเราะดั่งเสียงแห่งธรรมชาติ
เขาพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก รูม่านตาของเขาค่อย ๆ ปรับแสง จากนั้นก็ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้น
“เจ้าจะหลับตอนนี้มิได้ หากหลับเกรงว่าเจ้าจะมิฟื้นมาอีกเลย”
บัดนี้หญิงสาวผู้นั้นเหมือนจะลืมตัวว่าฝ่ายตรงข้ามมิเข้าใจในคำเอ่ยของตน
ทว่านางก็ยังเอ่ยอยู่อย่างนั้น เพื่อที่จะทำให้บุรุษผู้นี้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าบาดเจ็บสาหัส ข้านำเอากระสุนออกให้แล้วสองนัด ทว่ากระดูกซี่โครงตรงนี้พอจับดูแล้วเหมือนจะหักเป็นสามท่อน”
“น่าเสียดายที่อาจารย์ของข้ามิได้อยู่ที่นี่ ข้ามิอาจต่อกระดูกของเจ้าได้ คงทำได้เพียงเอาไม้มาดามเอาไว้เท่านั้น ถ้าหากว่ามันแทงเข้าไปที่ม้ามของเจ้าเมื่อใด เมื่อนั้นเจ้าคงต้องตายสถานเดียว ! ”
แม้ว่าจ้าวซู่เซิงจะฟังมิรู้เรื่อง แต่ก็เหมือนจะเข้าใจว่านางกำลังเอ่ยถึงเรื่องอันใดอยู่
เขาเผยรอยยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเบา ๆ
หญิงสาวหันไปมองเขาอีกหนึ่งครา “เจ้าเป็นผู้บุกรุก แท้ที่จริงข้าควรจะสังหารเจ้าเสีย ! แต่อาจารย์บอกข้าไว้ว่าเราเป็นหมอ ในสายตาของเราจะมีแค่คนไข้เท่านั้น จะมิมีการแบ่งแยกชนชั้นสถานะ…”
“ข้ามิทราบว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะรอดหรือไม่ ? แต่ข้าทราบว่าเจ้าคงกลัวที่จะกลับไปมิได้หรือหนีไปมิพ้น”
“เช่นนั้นท้ายที่สุดเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี แต่แน่นอนว่านี่มิเกี่ยวข้องอันใดกับข้า”
หญิงสาวเอ่ยออกมาพลางหยิบไม้กระดานมาสองแผ่น นางออกแรงสอดไม้กระดานแผ่นหนึ่งเข้าไปที่หลังของจ้าวซู่เซิง ความเจ็บปวดปานจะขาดใจทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาทราบดีว่าบัดนี้ตนตกที่นั่งลำบากแล้ว
อาการบาดเจ็บเช่นนี้อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึงครึ่งปีเลยทีเดียว
การเดินทางพิชิตแดนไกลของต้าเซี่ยมิอาจหยุดชะงักได้ พวกเขาจะต้องตีเมืองนี้จนแตกพ่าย จากนั้นก็จัดกองทัพใหม่แล้วเดินหน้าต่อไป
ส่วนตนนั้น…
เกรงว่านามของตนจะปรากฏอยู่ในรายชื่อทหารที่ตกตายในสงครามครานี้
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผู้บังคับบัญชากองพลน้อยที่สองกองพลเจ็ดแห่งกองทัพบกต้าเซี่ยจะมิใช่จ้าวซู่เซิงอีกต่อไป มิแน่เขาอาจต้องตายในเมืองนี้ หรือบางทีก็ใช้ชีวิตอย่างอัตคัดอยู่ในเมืองนี้ต่อไป
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เป็นทหารมา 14 ปี ถือว่ากองทัพเป็นดั่งครอบครัวของตน
ทว่าวันนี้เขาเป็นเหมือนเด็กที่เดินหนีออกจากบ้าน หว้าเหว่และไร้ซึ่งความช่วยเหลือ
เขาหวนคิดถึงศึกบนเซียวเหอหยวนในวันนั้น หวนคิดถึงศึกบนที่ราบฮวาจ้ง คิดถึงวันที่สนิทชิดใกล้กับสหายในกองทัพราวกับเป็นพี่น้อง และคิดถึงวันที่ตนได้จากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลแสนไกล
น้ำตาไหลออกมาจากหางตา ซึ่งสตรีนางนั้นหันมาเห็นเข้าพอดี
นางชะงักตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่ที่ทำการผ่าตัดเจ็บทรมานเพียงใดเขาก็ทนได้ ทว่าเหตุใดอยู่ ๆ ถึงร้องไห้ออกมาเล่า ?
จ้าวซู่เซิงร้องให้ออกมา โดยมีน้ำตาแค่หยดเดียวเท่านั้น
และน้ำตาหยดนี้เพื่อชีวิตที่ผ่านมา