นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1343 จับเป็นจอมทัพฝ่ายศัตรู
ตอนที่ 1343 จับเป็นจอมทัพฝ่ายศัตรู
กองกำลังจู่โจมที่เข้ามานั้นคือกองกำลังจู่โจมกลุ่มที่สามและสี่ !
ทหารเกือบ 200 นายจากทั้งสองกลุ่มได้กระหน่ำโจมตีศัตรูจากด้านหลัง ศัตรูราว 3,000 นายในตรอกซอยคับแคบแห่งนี้ต่างตื่นตระหนกตกใจ
เผิงยวี๋เยี่ยนยังคงกำดาบยาวของนางเอาไว้เเน่น ดาบของนางยังคงสาดแสงระยับฟาดมิยั้ง
ดาบนั้นเป็นดั่งสายฟ้าผ่าร่างศัตรู มันยังคงทำหน้าที่คร่าชีวิตศัตรูมิเลิกรา
หลี่เว้ยที่ยืนอยู่บนหลังคาหันไปมองข้างหลัง เขายังคงเพ่งเล็งลำกล้องปืนไปยังสนามรบเบื้องล่างอย่างมิไหวติง
เสียงปืนของเขาดังเป็นจังหวะ เสียงปืนที่ดังขึ้นมาแต่ละคราได้กำจัดภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับเผิงยวี๋เยี่ยน
และเผิงยวี๋เยี่ยนก็ทราบดีว่ามีคนกำลังช่วยนางอยู่ข้างบนนั้น นางมิทราบว่าเป็นผู้ใด และมิได้คิดด้วยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางพุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ดาบของนาง สายตาของนางมิได้หันไปมองบนหลังคานั่นด้วยซ้ำ เพราะสายตาของนางบัดนี้มีเพียงแค่ศัตรูเท่านั้น !
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ข้าศึกต่างก็ล้มระเรระนาด พวกเขามิคาดคิดเลยว่าจะมีดาบที่คมกริบแบบนี้อยู่ !
พวกเขามิคาดคิดเลยว่าจะมีกระบวนดาบที่อำมหิตเเบบนี้อยู่เช่นกัน !
และมือดาบยังสามารถเหาะเหินไปมาอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาได้อีกต่างหาก !
ผนวกกับพลังกระสุนอันแข็งแกร่งของกลุ่มที่สามและสี่ อีกทั้งกระสุนที่ปลิวว่อนอยู่บนศีรษะซึ่งก็มิทราบว่ามาจากที่ใด ในที่สุดศัตรูทั้งสามพันคนก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น
ซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา แม้จะมองมิเห็นคราบเลือดบนพื้น แต่เมื่อย่ำเท้าไปจะสัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดของเลือด
หลี่เว้ยกระโดดลงมาจากหลังคา
สองเเขนเผิงหยูเยี่ยนทิ้งลงข้างกาย นางเหนื่อยล้าเต็มทน ทว่าดาบในมือยังคงถือเอาไว้แน่น
“ข้าน้อยมีนามว่าหลี่เว้ย เป็นสายลับจากหอเทียนจี มิทราบว่าท่านแม่ทัพคือ… ? ”
“ข้ามีนามว่าเผิงยวี๋เยี่ยน”
“…ท่านแม่ทัพเผิงเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? เหตุใดท่านถึงมาออกรบด้วยตนเองเล่า ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนเผยอยิ้ม ทว่ามิได้เอ่ยตอบ “เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ที่พวกเราเข้ามาก็เพื่อต้องการแผนที่ป้องกันของเมืองนี้ พวกเจ้าได้มันมาแล้วหรือยัง ? แล้วใต้เท้าหลี่ฉางซู่เล่า ? ”
หลี่เว้ยก้มศีรษะลง เขาควักเอาผังป้องกันเมืองอันล้ำค่าให้เผิงยวี๋เยี่ยน “นี่เป็นรูปที่ใต้เท้าหลี่วาดมากับมือขอรับ ในนี้มีรายละเอียดคลังสรรพาวุธและโกดังเสบียงทั้งหมด รวมทั้งตำแหน่งหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุด”
“ใต้เท้าหลี่เขา… เพื่อหลอกล่อศัตรูและคุ้มกันให้กองกำลังจู่โจมเข้ามาในเมืองได้ เขาได้ระเบิดคลังสรรพาวุธแห่งนั้นทิ้งไปแล้ว เกรงว่า…เกรงว่ามิน่าจะรอดแล้วขอรับ ! ”
หลี่เว้ยหันไปมองสถานที่ที่ยังมีควันพวยพุ่งขึ้นมา เผิงยวี๋เยี่ยนก็มองไปยังที่ตรงนั้นเช่นกัน นางนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นก็เก็บเเผนที่นี้เอาไว้อย่างตั้งใจ “พวกเราจะแก้แค้นให้ใต้เท้าหลี่เอง รีบไปกันเถิด ! ”
“ไปที่ใดขอรับ ? ”
“ออกไปจากที่นี่กัน เมื่อมีผังป้องกันเมืองแล้ว เพียงให้กองทัพอากาศวางระเบิดคลังสรรพาวุธและคลังเสบียงของศัตรูเสีย ศึกครานี้ก็จะสิ้นสุดลงโดยเร็ว ! ”
เมื่อสิ้นเสียง เผิงยวี๋เยี่ยนจึงหันไปทางหัวหน้ากลุ่มที่สามและสี่ แล้วบัญชาการพวกเขา…
“ให้กองกำลังจู่โจมทั้งหมดรวมพลกันที่นี่ ! หลังจากที่พวกเขาทุกคนมาถึงที่นี่แล้วให้จุดพลุส่งสัญญาณ พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่สักที”
……
……
กองกำลังจู่โจมกลุ่มที่หนึ่งได้บุกเข้ามายังใจกลางหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุดภายใต้บังคับบัญชาของจูซินหมิง
พวกเขามิทราบว่าบัดนี้ได้กำจัดข้าศึกไปได้แล้วกี่คน ทว่าสหายร่วมรบที่อยู่ข้างกายพวกเขาในตอนนี้เหลือแค่ 36 คนเท่านั้น !
จงอู๋ยังคงมีชีวิตอยู่ ทว่าทหารอีกสี่นายที่เหลือของกลุ่มที่เจ็ดต่างก็พลีชีพในการจู่โจมครานี้ไปแล้ว
นายทหาร 36 กนายร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดได้ฝ่ามาถึงหน่วยบัญชาการทหารแห่งนี้ ทว่าอาคารหลังใหญ่แห่งนี้กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน !
“…หนีไปแล้วหรือ ? ”
จูซินหมิงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เขายอมแลกด้วยเดิมพันที่สูงถึงเพียงนี้ เดิมทีต้องการจะจับเป็นจอมทัพของฝ่ายศัตรูมาให้ได้
เพียงแค่นำตัวจอมทัพของศัตรูมาได้สถานการณ์ของสงครามครานี้ก็จะมิเหมือนเดิมอีกต่อไป
ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า !
“หัวหน้า ข้าคิดว่ามันจะต้องหลบอยู่ที่ใดสักแห่ง พวกเราลองค้นหาอีกทีดีหรือไม่ขอรับ ? ” จงอู๋มิจำยอม เพราะการตัดสินใจเข้ามาที่นี่ทำให้กลุ่มที่เจ็ดเหลือเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้
เขาอยากจะแก้แค้น !
แก้แค้นเพื่อพี่น้องที่ต้องสิ้นใจตาย !
เมื่อจูซินหมิงฟังดูแล้วคิดว่าสมเหตุสมผล ทว่าปราสาทใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อให้จับเชลยมาได้ แต่ก็สื่อสารกันมิรู้เรื่องอยู่ดี เขาจะไปหาจากที่ใดได้กัน ?
“ข้าคิดว่าที่นี่จะต้องมีห้องลับอย่างแน่นอน เหมือนตอนที่พวกเราเล่นซ่อนแอบกันตอนเด็ก ๆ ในเมื่อพวกเราเข้ามาอย่างอุกอาจเช่นนี้ พวกมันคงจะหาที่หลบอยู่ห้องใต้ดิน ! ”
“เจ้าหมายความว่ามันมีอุโมงค์ใต้ดินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ ! กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีสามโพรงเลยมิใช่หรือ ? ตัวเขาเป็นถึงจอมทัพ ดังนั้นย่อมต้องมีโพรงมากกว่านั้นอยู่แล้ว”
“อืม…พวกเรามีเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ถ้าหากว่าภายในครึ่งชั่วยามยังหามิเจอ เยี่ยงไรก้ต้องออกไปจากที่นี่ ! ”
“รับทราบ ! ”
ครานี้จูซินหมิงมิได้นำทัพ เขาได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้จงอู๋ “ในเมื่องเจ้าเก่งเรื่องซ่อนแอบ เช่นนั้นก็นำพวกเราไปเถิด ! ”
จงอู๋มิรีรอ เขารีบนำขบวนไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไป
บัดนี้จอมทัพที่กำลังซ่อนตัวอยู่ห้องใต้ดิน แกรนด์ดยุกไลเดนขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองจอมทัพมิชาลด้วยความมิพอใจ “ศัตรูยกทัพเข้ามาในเมืองปาแลร์โมพันกว่าคน ! ”
“ทว่าเมืองปาแลร์โมมีกองทัพจักรวรรดิทั้งสิ้น 800,000 นาย ! ”
“แม้แต่ปราสาทแห่งนี้ก็มีทหารองค์รักษ์ของเจ้าถึง 3,000 นาย ! ”
“ข้าศึกที่เข้ามาในปราสาทแห่งนี้มีแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น ! ”
“ท่านจอมทัพที่เคารพ ข้าศึกเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? พวกเขามีกำลังพลเพียง 100 คนก็สามารถเอาชนะกองกำลัง 3,000 คนได้แล้วหรือ และ 3,000 คนนั้นยังเป็นทหารองค์รักษ์ของเจ้าอีก...นี่มันมิใช่วิถีของจักรวรรดิอันเกรียงไกร ! ”
“นี่เป็นการทำให้จักรวรรดิเสื่อมเสียเกียรติ ! ”
“ถ้าหากว่าข่าวคราวนี้แพร่ไปถึงเมืองบาห์เรนเมื่อใด ถ้าหากว่าได้ยินถึงพระกรรณของสมเด็จพระราชินีล่ะก็… ท่านแม่ทัพที่เคารพ พระองค์จะทรงปฏิบัติต่อท่านเยี่ยงไร ? ”
จอมทัพมิชาลก้มศีรษะลงอย่างละอายใจ “ข้าก็คาดมิถึงว่าข้าศึกจะแข็งแกร่งเพียงนี้ แน่นอนว่านี่คือความผิดของข้าเอง ข้าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ บัดนี้น่าจะกำจัดศัตรูได้พอสมควรแล้ว ท่านแกรนดยุกได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะออกไปดูลาดเลาสักหน่อย”
ในขณะที่จอมทัพมิชาลกำลังลุกขึ้นยืน องครักษ์นายหนึ่งก็วิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล
เขาวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกตกใจ จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้ามิชาล สีหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว “ท่านจอมทัพที่เคารพ...”
มิชาลเริ่มใจมิดี “ว่ามา ! ”
ทหารองครักษ์นายนั้นกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก แล้วกล่าวรายงานบางสิ่งที่ทำให้มิชาลท้อแท้หมดหวัง “ท่านจอมทัพ…หน่วยบัญชาการขั้นสูงสุดของพวกเราถูกข้าศึกยึดแล้วขอรับ ! ”
เขายกจอกสุราขึ้นมา จากนั้นก็ปาทิ้งลงบนพื้น จ้องมองทหารองค์รักษ์นายนั้นตาเขม็งพลางกัดฟันกรอด “เจ้าหมายความว่า ข้าศึก 100 คนกำจัดทหารองครักษ์ 3,000 นายจนตายเกลี้ยงหมดเลยหรือ ? ! ”
“เรียน เรียนท่านจอมทัพ… พวกเรา พวกเรากำจัดพวกมันได้เพียงหยิบมือเดียว”
“ปัง… ! ”
มิชาลควักปืนขึ้นมายิงทหารองค์รักษ์เบื้องหน้า ในตอนที่ปืนของเขาดังขึ้นมานั่นเอง กลุ่มของจงอู๋มาถึงที่นี่เข้าพอดี
เขาได้ยินเสียงปืนดังลั่น ดังนั้นเขาจึงนำทัพเข้ามาตามเสียงปืน
ที่นั่นเป็นสวนดอกไม้
ที่สวนดอกไม้มีเรือนเล็กหลังหนึ่ง
กลุ่มที่หนึ่งเดินเข้าใกล้เรือนเล็กอย่างระมัดระวัง !
จงอู๋กระโจนหมอบลงบนพื้น พลางมองเข้าไปในเรือนเล็ก สีหน้าพลันเผยความยินดีออกมา “ที่นี่แหละ” เขาเอ่ยเสียงเบา