นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1345 เจิดจรัสดั่งเเสงพลุ
ตอนที่ 1345 เจิดจรัสดั่งเเสงพลุ
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไร ! ”
เฉินหยูซินคว้าแขนซุนเซี่ยวหูที่สาวเท้าก้าวออกไปเอาไว้ เขาถลึงตาจ้องซุนเสี่ยวหูแล้วเอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าทราบว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล หากจะต้องไป…พวกเราก็ต้องไปด้วยกัน ! ”
ซุนเสี่ยวหูนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าขึงขังขึ้นมาทันพลัน พลางจ้องมองไปที่เฉินหยูซินแล้วเอ่ยออกมาว่า “หัวหน้ารับข้าเข้ามาอยู่ที่หอเทียนจีเองกับมือตั้งแต่รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่หนึ่ง สองปีให้หลังจากนั้น ท่านหัวหน้าก็ได้สั่งสอนวิธีการเป็นสายลับที่ดีให้แก่ข้าด้วยตนเองเช่นกัน”
“ข้ามิมีพ่อตั้งแต่ยังเยาว์ ท่านหัวหน้า…เปรียบเสมือนพ่อในดวงใจของข้า ข้าสนิทกับเขามากว่าพ่อแท้ ๆ ด้วยซ้ำไป คราหนึ่งพวกเราเคยสัญญากันเอาไว้ว่า…เมื่อศึกครานี้จบลงเมื่อใด เมื่อพวกเรากลับต้าเซี่ย เมื่อถึงเวลาที่ข้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ท่านหัวหน้าจะเป็นผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบนสุดนั่น”
“ตัวข้าและภรรยาของข้าจะคุกเข่าต่อหน้าเขา จากนั้นก็ยกถ้วยชาให้เขาดื่ม แล้วเลี้ยงดูเขาประหนึ่งว่าเป็นบิดาแท้ ๆ ของตนเอง”
“ท่านหัวหน้าสุขภาพมิสู้ดีนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง อาการของเขาก็ยิ่งแย่ลง ข้าขอมิเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน บัดนี้เขาจากไปแล้ว จากไปอย่างโดดเดี่ยว ข้าจำต้องตามเขาไป ! ”
เมื่อเอ่ยจบ ซุนเสี่ยวหูก็ตบเข้าที่บ่าของเฉินหยูซินแล้วเดินจากไป ร่างของเขาได้เลือนหายไปจากตรอกซอยอันมืดมิดแห่งนั้น
เฉินหยูซินทอดสายตามองแผ่นหลังที่หายลับไป แล้วค่อย ๆ หลับตาลง
เขามิได้กลัวตาย ทว่าบัดนี้เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่าบัดนี้หอเทียนจีเหลือเพียงเขาและหลี่เว้ยแค่สองคนเท่านั้น
หนทางที่ต้องเดิน ยังอีกยาวไกล
……
……
เผิงยวี๋เยี่ยนเย็บแผลให้ตนเองอย่างลวก ๆ นางเหินขึ้นไปบนหลังคา ในใจรู้สึกวิตกกังวลมากยิ่งนัก เพราะกองกำลังจู่โจมสิบกลุ่ม บัดนี้เหลือรอดชีวิตมาแค่แปดกลุ่มเท่านั้น
ส่วนกลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่เจ็ดมิเหลือรอดกลับมาเลยสักราย
มิมีแม้แต่ข่าวคราวด้วยซ้ำไป
เมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นทหารฝ่ายศัตรูกำลังกรูกันเข้ามาเลือนราง
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เรือเหาะสองลำกำลังร่อนลงจอด ดูจากเวลาแล้ว ศัตรูอาจจะเป็นฝ่ายที่มาถึงก่อน และสุดท้ายเรือเหาะก็จะกลายเป็นเป้าหมายของศัตรู !
นางทราบดีว่าหนึ่งในเรือเหาะนั้นมีหยูติ้งซานบุตรชายของนางอยู่บนนั้น ทันใดนั้นนางก็ได้ทำการตัดสินใจใหม่อีกครา !
เผิงยวี๋เยี่ยนร่อนลงมาบนพื้น มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่เว้ย นางนำแผนที่ป้องกันเมืองส่งให้หลี่เว้ยแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า
“หลี่เว้ยแห่งหอเทียนจีจงฟังคำสั่งของข้า ! ”
หลี่เว้ยยืนตัวตรง “ท่านแม่ทัพโปรดรับสั่ง ! ”
“ข้าขอสั่งให้เจ้านำแผนที่ป้องกันเมืองนี้ขึ้นเรือเหาะไป จำต้องส่งมันให้ถึงมือของท่านแม่ทัพกวนโดยเร็วที่สุด ! ”
หลี่เว้ยผงะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเรือเหาะบนท้องนภา “…ท่านแม่ทัพเผิง พวกเราไปด้วยกันมิใช่หรือ ? ”
“เกรงว่าจะมิทันการเสียแล้ว ศัตรูใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจะต้องสกัดกั้นข้าศึกเอาไว้ข้างนอก เพื่อรับประกันว่าเรือเหาะจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภาได้อย่างราบรื่น ! ”
“แต่ว่า…”
“นี่คือคำสั่ง ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนตำหนิ จนหลี่เว้ยยอมหุบปาก
เผิงยวี๋เยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา “หลังจากที่พบบุตรชายทั้งสองคนของข้าแล้ว… จงบอกพวกเขาว่า…เมื่อคว้าชัยในศึกครานี้ได้เมื่อใด ให้เดินทางไปยังที่ราบชังซีตรงหลุมฝังศพของผู้เป็นบิดา แล้วจงเผาข่าวนี้ด้วย เพราะข้าเองก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน ! ”
นางหันกลับไปแล้วแผดเสียงดังลั่น “กองกำลังจู่โจมทุกคนจงฟังคำสั่ง… ให้ทหารทั้งหมดแบ่งเป็นสี่ทาง แล้วสกัดข้าศึกให้ห่างจากที่นี่ 100 จั้ง ต่อให้สู้จนทหารลดน้อยลงเต็มที แต่ก็ต้องรับประกันให้ได้ว่ารายงานฉบับนี้จะถูกส่งออกไป ! ”
“ออกเดินทาง… ! ”
กองกำลังจู่โจมที่เหลือเพียงแค่ 300 นายยกปืนขึ้นมาอีกครา จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหาทหารฝั่งตรงข้ามอย่างมิลังเล
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงปืนได้ดังประทุขึ้นมาอีกครา
เฉินหยูซินที่เพิ่งถ่อมาถึงที่นี่ ด้วยแสงไฟที่ริบหรี่ เขาเห็นหลี่เว้ยร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง
“เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลี่เว้ยกลืนน้ำลายลงหนึ่งอึก แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้า จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คนผู้นั้นคือแม่ทัพเผิงยวี๋เยี่ยน ข้าศึกเห็นสถานการณ์ตรงนี้เลยรีบกรูกันเข้ามา นาง… นาง…”
“เหล่าเฉิน เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี อีกประเดี๋ยวเมื่อเรือเหาะลงจอดแล้ว เจ้าจงนำแผนที่ป้องกันเมืองนี้ไปมอบให้ท่านแม่ทัพกวน ! ”
หลี่เว้ยส่งแผนที่ออกไป แต่เฉินหยูซินกลับมิรับ
เขาจ้องมองหลี่เว้ยแล้วเอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “มิใช่ว่าข้ากลัวตายหรอกนะ ! ข้าอยากจะไปขย้ำกับข้าศึกจนใจแทบขาด ! ”
“เจ้ารู้หรือไม่ ? บัดนี้หอเทียนจีเหลือพวกเราแค่สองคนแล้ว ! ”
“หลังจากนี้ยังมีหนทางที่ต้องเดินอีกยาวไกล มีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมายเท่าใด ? ”
“ตายนั้นง่าย ทว่าการมีชีวิตอยู่นี่สิยาก ! ”
“ซุนเสี่ยวหูอยากจะตามรอยเท้าของท่านหัวหน้า ข้าฉุดรั้งเขาเอาไว้มิได้ ส่วนเจ้าก็จะมาตายเสียง่าย ๆ แบบนี้ เช่นนี้มันจะไปมีความหมายอันใดกัน ? ”
“เหตุใดท่านแม่ทัพเผิงถึงนำทหารเหล่านั้นไปสกัดกั้นข้าศึกเล่า ? ก็เพื่อให้เจ้าได้มีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่มิใช่หรือ ? ”
“นี่ต่างหากล่ะคือเรื่องใหญ่ ! ส่วนข้าจะมิเข้าไปช่วยแม่ทัพเผิงเช่นกัน เพราะหลังจากนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พวกเราต้องร่วมด้วยช่วยกัน ! ”
หลี่เว้ยหลับตาลง หูของเขาได้ยินเสียงปืนดังมามิขาดสาย ภาพทุกฉากได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
เพื่อรายงานข่าวสารฉบับนี้ สายลับหอเทียนจี 7 นายได้สิ้นใจไปทั้งหมด 5 นายในการระเบิดสามครานั่น !
เพื่อรายงานข่าวสารฉบับนี้ กองกำลังจู่โจมถึงได้เสี่ยงเข้ามาในเมือง พวกเขามิมีแม้กระทั่ง…โอกาสที่จะหวนกลับไป
เขารู้ดีว่าที่ใดมีสงครามที่นั่นย่อมมีคนตาย ตั้งแต่วันที่เข้าร่วมกองทัพมา เขาก็รู้ดีว่าตนเองจะต้องตายสักวันหนึ่ง
ทว่าเมื่อเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าตน เขากลับรู้สึกทำใจยอมรับมิได้
“อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่น ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อคว้าชัยกลับมา หลังจากที่คว้าชัยมาแล้วนั้น…”
เฉินหยูซินหันไปมองทางทิศที่ตั้งของต้าเซี่ย รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา “หลังจากที่คว้าชัยมาได้แล้ว เส้นทางจากต้าเซี่ยมายังดินแดนแห่งนี้ก็จะถูกบุกเบิกเข้าหากัน”
“หลังจากนี้ไป กองทัพของพวกเราอาจจะได้ประจำการอยู่ที่นี่ บรรดานักธุรกิจของพวกเราก็คงจะโดยสารรถไฟมาค้าขายที่นี่”
“ท่านหัวหน้าเคยบอกเอาไว้แล้วมิใช่หรือว่าเมื่อเส้นทางสายนี้เดินทางไปมาหาสู่กันได้เมื่อใด มันจะกลายเป็นเส้นทางสายไหมทางบกของต้าเซี่ย และมันจะนำพาความมั่งคั่งมาสู่ต้าเซี่ยอย่างมหาศาล ! ”
“ถ้าหากว่าพวกเราโชคดีและมีชีวิตรอดไปถึงตอนนั้น พวกเราจะได้เห็นมันประจักษ์แก่สายตา”
“ถ้าหากว่าพวกเราตายเสียก่อนกลางทาง พวกเราก็จะมลายกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผืนปฐพีนี้… ทำให้เส้นทางแห่งนี้มีดอกไม้งดงามงอกเงยออกมา ! ”
หลี่เว้ยหันหน้าไปมองทางทิศตะวันออก สายตาของเขาราวกับเห็นดอกไม้งอกเงยเต็มถนนสายยาว
เขาทราบดีว่าถนนสายนี้เป็นถนนที่ก่อสร้างมาจากเลือดเนื้อของผู้บุกเบิกอย่างพวกเขา
ดอกไม้เหล่านั้นล้วนมีจิตวิญญาณ
แต่ละดวงวิญญาณได้ปกปักษ์รักษาถนนสายนี้เอาไว้ และจะเป็นพยานแด่ความรุ่งเรืองที่กำลังจะเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง
“หากซุนเสี่ยวหูนั่นงอกเงยเป็นดอกไม้ มันก็คงจะเบ่งบานได้งดงามเป็นอย่างยิ่ง”
ซุนเสี่ยวหูกำลังวิ่งไปที่คลังสรรพาวุธแห่งหนึ่งอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงปืนดังลั่นนั่นเอง
เขาวิ่งผ่านห่ากระสุน !
เขาพุ่งตัวเข้าหากำแพงอย่างมิกลัวตาย จากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา เขาถูกกระสุนยิงเข้าที่ขา จนกลิ้งเข้าไปในกำแพง ทว่าเขายังคงมุ่งหน้าวิ่งต่อไป
ไหล่ของเขาโดนกระสุน ขาอีกข้างหนึ่งของเขาก็โดนกระสุนเช่นเดียวกัน
ราวกับว่าเขามิได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่กระหน่ำเข้ามาทั่วเรือนร่าง เขามิได้สนใจเลือดสด ๆ ที่ไหลออกมาจากร่างของตนแม้แต่น้อย
เขายกปืนขึ้นมาแล้วกราดยิงทหารยามจำนวน 6 นาย ในขณะเดียวกัน กระสุนก็พุ่งเข้ามาบริเวณหน้าท้องของเขา
เขาพุ่งเข้าไปยังคลังสรรพาวุธ หยิบดินปืนขึ้นมาสาดไปทั่วกล่องเหล่านั้น พร้อมกับสาดไปบนเรือนร่างของตนเอง
เขาหันหน้ากลับไปแล้วแสยะยิ้มออกมา ราวกับเห็นเลือดที่รินไหลมาตลอดทางเป็นดั่งดอกไม้เบ่งบานงดงาม
“ตู้ม… ตู้ม… ตู้ม… ! ”
เสียงระเบิดดังต่อเนื่องคราแล้วคราเล่ามิขาดสาย
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ถูกกลบจนมิด
เผิงยวี๋เยี่ยนหันไปมองเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา นางชักดาบออกมาแผดเสียงคำรามดังลั่น “บุก...เพื่อต้าเซี่ยของพวกเรา ! ”
“บุก...เพื่อต้าเซี่ยของพวกเรา ! ”
เสียงนั้นดังกังวานยิ่งกว่าเสียงของระเบิดเสียอีก