นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1346 น้ำตาลูกผู้ชาย
ตอนที่ 1346 น้ำตาลูกผู้ชาย
ในบ้านหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่บนตรอกซอยเดียวกันกับหน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุดแห่งนั้น
แสงไฟที่ส่องริบหรี่มิเคยมอดดับ
หญิงสาวผู้นั้นที่มิได้มีหน้าตาโสภาคอยอยู่ข้างกายของจ้าวซู่เซิง
จ้าวซู่เชิงสลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางมิทราบว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือไม่
ในฐานะหมอคนหนึ่ง นางย่อมหวังให้คนไข้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทว่าในฐานะชาวฝูหล่างจีที่พำนักอยู่ในเมืองปาแลร์โม นางกลับหวังให้ศัตรูผู้รุกรานตายจากไปในตอนนี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังสะเทือนมาจากสถานที่ห่างไกล หญิงสาวหันศีรษะกลับไปมอง แน่นอนว่านางมองมิเห็นอันใด ดังนั้นนางจึงเบนสายตากลับมามองชายผู้นั้นอีก เห็นชายผู้นั้นลืมตาขึ้นมา กระทั่งมีรอยยิ้มเผยออกมาให้เห็นตรงมุมปากอีกด้วย
จ้าวซู่เชิงถูกเสียงระเบิดรบกวนจนตกใจตื่นขึ้นมา
แม้ร่างของเขาจะอยู่บนเตียง แต่เขารู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น
เขาตะแคงศีรษะหันหน้าไปยังทิศทางที่ประตูนั้นปิดอยู่ “เมืองนี้ ใกล้แตกเต็มทีแล้ว”
“แต่เจ้าสบายใจได้ ทหารต้าเซี่ยของพวกเราจะมิเข่นฆ่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ และยิ่งมิมีทางทำลายเมืองนี้”
หญิงสาวฟังด้วยความฉงน นางรู้สึกว่าน้ำเสียงของชายผู้นั้นมีความเรียบเฉย แต่ในความเรียบเฉยนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจแฝงอยู่
“เจ้ามีสมเด็จพระราชินีผู้ยิ่งใหญ่ แต่ข้ามีจักรพรรดิพระเจ้าหลวงที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ! ”
“ใต้หล้าแห่งนี้จะต้องยอมสยบใต้พระบาทของจักรพรรดิพระเจ้าหลวง…แม้แต่สมเด็จพระราชินีของเจ้าก็มิใช่ข้อยกเว้น”
……
……
กลุ่มที่หนึ่งของกองกำลังจู่โจมที่เหลือรอดแค่ 32 คนนั้น กรูกันเข้ามาที่จุดรวมพลภายใต้การนำของจูซินหมิง
แกรนด์ดยุกไลเดนและแม่ทัพมิชาลถูกมัดมือไขว้หลัง พวกเขาถูกทหารสองคนแบกเอาไว้บนบ่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยประสบเหตุการณ์ที่น่าเวทนาแบบนี้เสียที่ไหนกัน ?
แกรนด์ดยุกไลเดนท้อแท้สิ้นหวัง เขาก่นด่าบรรพบุรุษแปดชั่วโครตของแม่ทัพมิชาลนับสิบครา…
กองทัพตั้ง 800,000 นาย !
ที่หน่วยบัญชาการทหารขั้นสูงสุดมีองครักษ์ตั้งมากมายถึงเพียงนั้น !
ทว่ากลับถูกศัตรูแค่ 1,000 คนโจมตีจนมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ !
ทหารองครักษ์ที่มีอยู่นับพันนายถูกทหารฝ่ายศัตรูเพียงมิกี่สิบนายกำจัดจนสิ้น !
ตนเป็นถึงแกรนด์ดยุกแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกข้าศึกจับตัวไปเป็นเชลย !
นี่มันน่าอับอายเพียงใดกัน ?
เดิมทีหลงคิดว่าภารกิจในเมืองปาแลร์โมกำลังดำเนินไปได้สวย คาดมิถึงเลยจริง ๆ ว่าจะตกอยู่ในสถาวะวิกฤตเช่นนี้
จนกระทั่งบัดนี้ แกรนด์ดยุกไลเดนก็ยังมิเชื่อว่านี่เกิดจากความกล้าหาญเหนือมนุษย์มนาของทหารต้าเซี่ย เขายังคงปักใจเชื่อว่านี่เป็นเพราะมิชาลไร้ซึ่งความสามารถ
ส่วนมิชาล บัดนี้เขาค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาจากความตื่นตระหนก
เขาเพิ่งระลึกได้สองสิ่งด้วยกัน เรื่องแรกกองทัพที่มาจากแดนบูรพานี้มีอาวุธที่ล้ำหน้ากว่าฝูหล่างจี !
และกองทัพนี้ยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก มิเพียงแต่มีความมุ่งมั่นในการสู้รบเท่านั้น ทว่าทักษะในการรบของพวกเขาก็มิธรรมดาเช่นกัน
เดิมทีเขาหลงคิดว่าตนให้ความสำคัญกับกองทัพนี้มากพอแล้ว บัดนี้ถึงได้ทราบว่าตนดูถูกพวกเขามากจนเกินไป
แล้วศึกครานี้จะดำเนินต่อไปเยี่ยงไร ?
ข้าศึกจะใช้ตนและแกรนด์ดยุกไลเดนกดดันเหล่าทหารเพื่อบังคับเปิดประตูเมืองใช่หรือไม่ ?
มิได้ !
จะให้เป็นแบบนี้มิได้เด็ดขาด !
ฝูหล่างจีมิมีเหตุผลใดต้องยอมจำนน !
แม้ว่าตนจะถูกจับได้ แต่ขอเพียงแม่ทัพทั้งสี่สามารถปกปักษ์รักษาเมืองปาแลร์โมเอาไว้ได้ ข้าศึกก็จะย่างกรายเข้ามามิได้แน่นอน !
มิชาลตัดสินใจที่จะสละชีวิตของตนเอง สายตาของเขาจ้องมองไปยังแสงไฟที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา คลังสรรพาวุธถูกทำลายเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง แต่ก็มิเป็นไร เพราะเมืองปาแลร์โมยังมีคลังสรรพาวุธอีกแปดแห่งด้วยกัน ซึ่งเพียงพอที่จะสกัดกั้นการรุกคืบของศัตรู
เขามิทราบว่าศัตรูจะจับตนไปที่ใด แต่เขาคิดว่าศัตรูมิมีทางหนีพ้นจากเมืองปาแลร์โมไปได้
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เห็นเรือเหาะลำมหึมาค่อย ๆ ร่อนลงมา
จัดการเจ้านี่เสีย !
มิชาลแผดเสียงคำรามภายในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนรัวดังมาจากสถานที่ไกล ๆ ที่ใดสักแห่ง
กองที่หนึ่งได้เดินมาถึงจุดรวมพลแล้ว
จูซินหมิงกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือน มองดูลาดเลาจากที่ไกล ๆ ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เขาก็กระโดดลงมาบนพื้น แล้วเอ่ยออกมาอย่างตั้งใจว่า…
“จงอู๋จงฟังคำสั่งของข้า ! ”
จงอู๋ยืนตรงแล้วถวายความเคารพ “จงอู๋น้อมรับคำบัญชาจากท่านหัวหน้าขอรับ ! ”
“เจ้าจงนำทหารสองคน พาตัวเชลยสองคนนี้ส่งมอบให้ท่านแม่ทัพกวน ! ”
“…ท่านหัวหน้า เหตุใดมิไปด้วยกันเล่าขอรับ ? ”
จูซินหมิงตบบ่าจงอู๋แล้วแสยะยิ้มออกมา “พวกข้าต้องไปช่วยท่านแม่ทัพเผิง คุ้มกันให้เรือเหาะจากไปได้อย่างปลอดภัย…”
ในระหว่างที่เอ่ย เขาหันไปหาหลี่เว้ยและเฉินหยูซินที่กำลังรออยู่ตรงนั้น พลางเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนของหอเทียนจีใช่หรือไม่ ? ”
“ขอรับ ! ”
“ได้ของมาหรือยัง ? ”
“ได้มาแล้วขอรับ ! ”
“ดี ! ”
เขาเอ่ยออกมาเพียงคำว่าดี จากนั้นก็หันศีรษะไปหาทหารที่เหลือ
“พวกเราอาจจะต้องตกตายอยู่ที่นี่ เจ้าจำคำที่แม่ทัพกวนเคยกล่าวเอาไว้ได้หรือไม่… เขากล่าวประโยคที่คราหนึ่งจักรพรรดิพระเจ้าหลวงทรงตรัสเอาไว้ เยี่ยงไรเสียคนเราก็ต้องตาย ความตายบางคนบางเบาราวกับขนนก ทว่าความตายของบางคนหนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน”
“พวกเราทำเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของต้าเซี่ย เพื่อให้ต้าเซี่ยเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป การตายของพวกเรา…จะต้องหนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน”
“จงตามข้ามา พวกเราไปกำจัดศัตรูเหล่านั้นกัน หลังจากนั้น…พวกเราค่อยไปพบกันที่ใต้แหล่งบาดาลทั้งเก้า ! ”
“บุก ! ”
จูซินหมิงนำกลุ่มที่หนึ่งจำนวนสามสิบกว่าคนเดินจากไป
จงอู๋แผดเสียงคำรามออกมาว่า “ท่านหัวหน้า ข้าจะไปด้วย ! ”
จูซินหมิงมิแม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง เขาโบกมือปัดแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นทหารชั้นผู้น้อย จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ! ”
พวกเขาเดินฝ่าเข้าไปในความมืด เดินเข้าไปท่ามกลางเสียงปืนที่กระหึ่มดัง
พวกเขาไปรวมพลกับเผิงยวี๋เยี่ยน ยกปืนในมือขึ้นมา แล้วถาโถมเข้าหาศัตรูดั่งสายน้ำ !
เรือเหาะร่อนลงมาจอดแล้ว หยูติ้งซานที่ยืนอยู่บนเรือเหาะทอดสายตามองศึกที่ตั้งอยู่ไกลออกไป หัวใจของเขากระตุกขึ้นมาทันใด เพราะเขาทราบดีว่ามารดาของเขาจะต้องอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล้ำกลืนน้ำตาลงไป มันช่างขมขื่นยิ่งนัก “รีบขึ้นมา… ออกบิน... ! ” เขาแผดเสียงสั่งการดังลั่น
จากนั้นเรือเหาะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องนภาอีกครา
เผิงยวี๋เยี่ยนที่อยู่ในสนามรบ เผยรอยยิ้มแห่งความโล่งอกออกมา
เพราะนางทราบดีว่าแผนการรบในศึกครานี้ประสบความสำเร็จแล้ว
และนางก็ทราบว่าบุตรชายของตนเองได้กลับไปอย่างปลอดภัยแล้ว
ทั้งยังทราบอีกว่าบุรุษแห่งต้าเซี่ยที่ยังอยู่ตรงนี้จะมิสามารถหวนกลับไปได้อีก
แม่ทัพมิชาลและแกรนด์ดยุกไลเดนที่ถูกนำตัวขึ้นมาบนเรือเหาะแทบมิอยากจะเชื่อว่าทหารที่เหลืออยู่ จำนวนเพียงหยิบมือนั้นสามารถสกัดกั้นทหารนับหมื่นของตนได้
หลี่เว้ยกุมสองมือเอาไว้แน่น เขามองไปยังสนามรบแห่งนั้น แล้วมองไปยังเปลวไฟที่ยังคงลุกโชน เขาหลับตาลงช้า ๆ แล้วค่อย ๆก้มศีรษะลง
หัวหน้า ขอให้พวกท่านหลับให้สบาย
หนทางที่เหลือต่อจากนี้ ข้าและเหล่าเฉินจะช่วยสานต่อเอง พวกเราจะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อให้พวกท่านได้เห็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของศึกครานี้ !
น้ำตาของจงอู๋ไหลพราก
กลุ่มที่เจ็ดเหลือเขามีชีวิตรอดแค่คนเดียว
บัดนี้เขาได้เข้าร่วมกับกลุ่มที่หนึ่ง
สุดท้ายกลุ่มที่หนึ่งก็เหลือเขาและทหารอีกหนึ่งนายที่มีชีวิตรอดกลับมาได้
หน่วยจู่โจม 1,000 นาย เหลือพวกเขาเพียง 2 คนเท่านั้น
อยู่ ๆ เขาพลันเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายสงครามขึ้นมา อยู่ ๆ ก็หวังให้ศึกครานี้จบลงโดยเร็ว เขามิอยากให้ผู้ใดตกตายเพิ่มอีก อยากให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่ต้าเซี่ย
ศึกครานี้จะสิ้นสุดเมื่อใดกัน ?
ทหารชั้นผู้น้อยมิทราบ เขาทราบเพียงว่าจำต้องเดินไปบนเส้นทางสายนี้ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ