นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1348 เผชิญหน้า
ตอนที่ 1348 เผชิญหน้า
จักรพรรดิพระเจ้าหลวงที่ทุกคนต่างคำนึงหา บัดนี้เขาอยู่ที่ใดกันนะ ?
ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ขบวนเรือลำใหญ่ยักษ์กำลังฝ่าหมู่คลื่นเคลื่อนไปข้างหน้า
ตั้งแต่จากอิงเทียนมา เรือลำนี้ก็ได้โลดแล่นอยู่ท่ามกลางทะเลเป็นเวลาสามเดือนติด !
ตามเเผนที่ล่องเรือซึ่งขโมยมาจากฝูหล่างจี เมื่อล่องมหาสมุทรมาสามเดือน จะได้พบเจอกับท่าเรือสามแห่ง ซึ่งเป็นสามแห่งที่มีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์
ขบวนเรือได้เทียบท่าเพื่อเติมเสบียง มิได้สู้รบกับท่าเรือเหล่านั้นแต่อย่างใด แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังเดินลงมาจากเรือรบ ทั้งยังเดินไปเที่ยวเล่นในท่าเรือโดยมีองครักษ์คอยคุ้มกัน
ราษฎรที่อยู่อาศัยในแถบนี้ รวมถึงทหารถูกกองทัพอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้ตกใจกลัวจนหัวหด พวกเขาจึงมิได้โจมตีฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด
ระยะเวลาที่เรือจอดเทียบท่านั้นสั้นมากยิ่งนัก โดยปกติจะออกเดินทางต่ออีกสามหรือสี่วันให้หลังจากนั้น
ดูจากเเผนที่เเล้ว บัดนี้ระยะทางอยู่ห่างจากฝูหล่างจีอีกครึ่งเดือนโดยประมาณ
ฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นสามของเรือฉางอันได้กวาดสายตามองไปทั่วทุกสารทิศ ขบวนเรือรบจำนวน 180 ลำได้แบ่งออกเป็นหกกลุ่มและแล่นไปบนผิวน้ำอย่างเป็นระเบียบ
ข้างหลังของแต่ละกลุ่มจะมีเรือเสบียงขนาดใหญ่ราวแปดถึงเก้าลำ
ขบวนเรือกระโจนเข้าหาคลื่นโอ่อ่า มองดูงดงามยิ่งนัก
เรือฉางอันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเรือรบกลุ่มที่หนึ่ง แม่ทัพของเรือฉางอันกำลังส่องกล้องส่องทางไกลไปเบื้องหน้า
ท้องนภาสีฟ้าสดใส ท้องนภากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทั้งสี่ด้านนอกจากน้ำทะเลก็มองมิเห็นอันใดอีกเลย
ฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังทอดสายตามองมหาสมุทรเช่นกันพลันรู้สึกใจหายขึ้นมาทันใด
โลกใบนี้แม้จะมีหลายอย่างแตกต่างจากโลกที่จากมา ทว่าต้าเซี่ยแห่งนี้ถือเป็นรากฐานของตน
บัดนี้ตนมาถึงโลกใบนี้ได้สิบกว่าปีแล้ว ท้ายที่สุดก็สร้างรากฐานได้สำเร็จ ทั้งยังประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ทำให้ต้าเซี่ยล้ำหน้าเกินทวีปยุโรปอันห่างไกลแห่งนี้
ต้าเซี่ยบนโลกใบนี้จะมิใช่ต้าเซี่ยที่ต้องทนกล้ำกลืนโดนประเทศอื่นดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับกัน… ต้าเซี่ยจะต้องกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศชั้นนำของโลกใบนี้ !
การที่ฝูหล่างจีสามารถแล่นเรือมาไกลถึงน่านน้ำของต้าเซี่ยได้เมื่อหลายปีก่อน หมายความว่าการทหารของฝูหล่างจีนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
ทุกวันนี้ต้าเซี่ยก้าวหน้าไปไกลกว่าในอดีตมากโข ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของกองทัพเรือต้าเซี่ย รวมถึงความสามารถในการสู้รบของทหารต้าเซี่ย การจะเอาชนะกองทัพเรือฝูหล่างจีนั้นมิใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็มิได้ประมาท เพราะหลังจากเกิดการปะทะกับฝูหล่างจีคราแรกเวลาก็ได้ล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว หลังจากนั้นฝูหล่างจีก็มิได้ย่างกรายเข้ามาอีก ดังนั้นทุกวันนี้ความสามารถของกองทัพเรือฝูหล่างจีจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงกวนเสี่ยวซี ทหารกองทัพบกที่หนึ่งขึ้นมาได้ บัดนี้พวกเขาเดินทางถึงที่ใดแล้วนะ ?
พวกเขาต้องเดินเท้าข้ามผ่านดินแดนมาหลายพันลี้ พวกเขาจะเดินทางมาถึงทวีปยุโรปได้ปลอดภัยใช่หรือไม่ ?
กองทัพเรือและกองทัพบกจะมารวมตัวกันที่ทวีปยุโรปได้สำเร็จหรือไม่ ?
เรื่องนี้เขามิสามารถควบคุมได้ สิ่งที่เขาทำได้ก็คือสั่งให้กองทัพเรือจู่โจมน่านน้ำของฝูหล่างจีและโจมตีพวกเขาให้พ่ายแพ้ หลังจากนั้นค่อยขึ้นฝั่งตรงท่าเรือของฝูหล่างจี
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็ได้จัดแจงต้มชาไปด้วย
ผู้บังคับบัญชากองทัพเรือที่หนึ่งจั่วมู่ได้วางกล้องส่องทางไกลลง แล้วหันกลับมาหาฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่
“จากการประชุมทางการทหารล่าสุด บัดนี้พวกเราได้เข้าสู่น่านน้ำอันตรายแล้ว ข้าน้อยได้สนทนากับเผิงหลาง เฉินฉงซานและผู้บัญชาการแต่ละกองทัพเรียบร้อยแล้ว ได้หารือและเปลี่ยนแผนการรบของท่านเล็กน้อย”
“เปลี่ยนเป็นเยี่ยงไร ? ” ฟู่เสี่ยวกวนผงะ
“กองทัพเรือที่หนึ่งมิสามารถเป็นแนวหน้าได้ โดยจะปัดความรับผิดชอบนี้ให้เป็นกองทัพเรือที่สองแทน กองทัพเรือที่สามและสี่จะเป็นปีกซ้าย ส่วนกองทัพเรือที่ห้าและหกจะเป็นปีกขวา… ตำแหน่งของกองทัพเรือที่หนึ่งจะอยู่แนวหลัง อยู่ตรงกลางระหว่างสองปีก ขอท่านแม่ทัพได้โปรดประทานอภัยด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองจั่วมู่ แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจถึงความหวังดีของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ถึงได้ปรับเปลี่ยนแผนการรบนี้
เพราะเยี่ยงไรตนก็เป็นถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวง และเรือฉางอันยังเป็นเรือธงของกองทัพเรืออีกด้วย ศึกกลางทะเลนั้นหนักหนาพอ ๆ กับศึกบนบก มิว่าผู้ใดก็มิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง
ถ้าหากว่ามีกระสุนยิงมาโดนเรือฉางอันเข้า หรือว่ามีระเบิดจนทำให้เขาถึงแก่ความตาย เช่นนั้นต่อให้ฝูหล่างจีจะราบเป็นหน้ากลองแต่ก็มิอาจเอ่ยได้เต็มปากว่าชนะ
เพียงแต่ว่าความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนนั้น เขาอยากจะอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับเสียงกระหึ่มของปืนใหญ่และบรรยากาศที่คลาคล่ำไปด้วยการต่อสู้
เขาย่อมมิกล่าวโทษจั่วมู่ แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มแทน “พวกเจ้านี่หนา…นับวันยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ! ”
จั่วมูยิ้มร่า “ทั้งหมดนี้มิมีอันใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของท่านแม่ทัพ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น พลางลูบเครายาวใต้คาง “ไป๋ยู่เหลียนสอนพวกเจ้ามาเยี่ยงนี้หรือ ? ”
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าจั่วมู่ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเขินอาย “นี่…นี่ก็คงปิดบังท่านมิได้สินะ ก่อนที่จะออกเดินทางมาจากทวีปอิงเทียน ผู้บัญชาการไป๋ได้เรียกพวกเราไปรวมพลเพื่อตกลงกันเรื่องนี้”
“เขากล่าวว่าท่านจะต้องอยากอยู่ด้านหน้าสุดเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้พวกเราปรับเปลี่ยนแผนการได้ตามความเหมาะสม แต่มีข้อแม้หนึ่งซึ่งนั่นก็คือท่านแม่ทัพจะต้องปลอดภัย… ผู้บัญชาการไป๋กล่าวว่าอย่าให้ท่านเข้าไปก่อความวุ่นวายเด็ดขาด”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งตัวตรงพร้อมกับถลึงตาโต “เรื่องการสู้รบ เป็นข้าสอนไป๋ยู่เหลียนมาเองกับมือแท้ ๆ ! เขาเพิ่งจะมาร่ำเรียนตอนที่ข้าก่อตั้งกองทัพดาบเทวะขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับหาว่าข้าสร้างความวุ่นวายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เหอะ ๆ ” จั่วมู่ยกยิ้มอย่างเขินอาย “ผู้บัญชาการไป๋กล่าวว่า… ต่างคนต่างมีเรื่องที่ถนัดมิเหมือนกัน หลายปีมานี้ท่านได้บริหารต้าเซี่ยดีเลิศประเสริฐศรี ทว่าท่านมิได้บัญชาการสงครามมานานหลายปีแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศึกทางทะเลแล้ว เห็นทีพวกเราจะมีความถนัดมากกว่า”
“ดังนั้นขอท่านอย่าได้โกรธเคือง อีกอย่างชื่อเสียงของศึกครานี้ไร้ซึ่งประโยชน์อันใด ให้พวกเราจัดการเสียดีกว่า ส่วนท่านนั่งดื่มชาให้สบายใจเถิด คอยดูว่าพวกเราจะสู้ศึกครานี้เยี่ยงไร”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ดึงดัน เขารินชาให้จั่วมู่ “ก็ได้ ! เมื่อศึกครานี้ชนะเมื่อใด เมื่อพวกเราคว้าชัยมาได้ ข้าจะให้องค์จักรพรรดิพระราชทานรางวัลเกียรติยศให้แก่พวกเจ้า ! ”
“ขอบพระทัยจักรพรรดิพระเจ้าหลวง ! ”
“จั่วมู่เอ๋ย พวกเราจากต้าเซี่ยมาสองปีแล้ว ทหารเหล่านั้นรู้สึกอ่อนไหวในใจบ้างแล้วหรือยัง ? ”
จั่วมู่นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบว่า “ถ้าหากจะบอกว่ามิคิดถึงเลยก็เห็นจะเป็นคำโกหก ข้าได้สนทนากับฟางจาวหยางมาบ้าง เหล่าทหารคิดถึงบ้านเกิดอย่างจริง แต่ก็มิได้ส่งผลกระทบอันใดกับการเดินทางครานี้”
“ซึ่งก็หมายความว่า พวกเขายังหวังที่จะรบกับฝูหล่างจี เช่นนี้จึงจะทำให้เวลาสองปีที่เสียไปมิสูญเปล่า”
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราจำต้องดูแลความรู้สึกในใจของพวกเขาให้ดี เวลาสองปี ช่วงเวลานี้มันน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง ทว่าความเบื่อยหน่ายน่าจะจบสิ้นลงเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะ…”
เมื่อสิ้นเสียงของฟู่เสี่ยวกวน ทหารบนหอสังเกตการณ์ก็มีเสียงระฆังฉุกเฉินดังขึ้นมา ทหารนายหนึ่งวิ่งปรี่เข้ามาอย่างเร็วไว
“รายงานผู้บังคับบัญชา พวกเราเจอกองทัพเรือมิทราบจำนวนอยู่เบื้องหน้าขอรับ ! ”